“ฮ่าฮ่า” ฉินจิ่วเกอปิดหน้า “ข้าแค่ล้อเล่นเฉยๆ พวกเราออกไปสังหารเหล่ามารร้าย ชักกระบี่ออกมา พิทักษ์คุณธรรม”
“พิทักษ์คุณธรรม หมื่นปี!”
ผู้คนทั้งหมดร่ำร้องก้องกึก ฉินจิ่วเกอคล้ายเดือนห้อมล้อมดาว เปิดประตูค่าย พุ่งทะยานเข้าไปลงมือเปิดฉาก
เพื่อคงไว้ซึ่งคุณธรรมอันสูงส่ง ทุกผู้คนขวัญกล้าเทียมฟ้า แล่นถลาออกไปอย่างฮึกเหิมห้าวหาญ
ภายนอกมีคนอยู่สามคน กำลังตะเกียกตะกายเดินฝ่าพายุทรายมาอย่างยากลำบาก พลันได้ยินเสียงโห่ร้องอึกทึกสะท้านข้างหู เมื่อรวมกับพายุอันมืดทะมื่นครอบฟ้าคลุมดิน เห็นคนพุ่งโผล่ออกมานับสิบ ห้อมล้อมเข้ามาราวพวกมันเป็นเกี๊ยวนึ่ง
“อะไรกัน? สวรรค์คิดดับชะตาข้าแน่!”
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนั้น คนทั้งสามไม่รู้อีโหน่อีเหน่ คิดว่าตนเองพบกับโจรดักปล้นเข้าแล้ว
สามารถตั้งตนเป็นจ้าวแห่งขุนเขา พลังฝีมืออย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่าพิสุทธิ์ไพศาล ด้วยสภาพของพวกมันสามในยามนี้ เกรงว่าคงต้องฝังสังขารไว้แน่นอนแล้ว
คนนับสิบค่อยๆ แยกออกทางสองฟากข้าง ตรงกลาง ปรากฏฉินจิ่วเกอเหินร่างลงจากกำแพงสูง เอ่ยเสียงหนัก “พวกท่านวางใจเถอะ พวกเราคือกองทัพธรรม ถือมารยาทธรรมเนียม เพียงต้องการเงินไม่ต้องการชีวิต”
คนทั้งสามสูดลมหายใจเย็นเยียบ ฟังประโยคนี้ ก็ทราบได้ว่าพวกมันพบกับตัวบัดซบเต็มสิบเข้าแล้ว
พายุสลาตันลดระดับลงเล็กน้อย ท้องฟ้ามัวหม่นทะมึนปรากฏเสี้ยวดวงอาทิตย์โผล่พ้นออกมา ฉินจิ่วเกอมองดูคนทั้งสามได้ชัดตา ที่แท้เป็นบุรุษสามคน
น่าเสียดาย หากผู้มาเป็นหญิงงาม เช่นนั้นก็จะกลายเป็นตำนานอันงดงามแล้ว
สามคนนั้นมีสองคนเป็นผู้ชรา พลังฝีมือชั้นพิสุทธิ์ไพศาล รับบาดเจ็บสาหัส ยังมีบุรุษหนุ่มอีกหนึ่งคน เสื้อผ้ายับเยิน รับบาดเจ็บสถานเบา
เมื่อเห็นท่าทางของโจรร้ายฉินจิ่วเกอ บุรุษหนุ่มตระหนักดีว่าวันนี้ยากรอดพ้นหายนะ ยิ่งได้ยินทางเบื้องหลังแว่วเสียงโห่ร้องไล่ล่าตามติด ที่แท้คนชั่วที่ตามล่าพวกมันทางด้านหลังก็มาถึงแล้ว
“หวาาา ที่แท้คือลมอำพัน นี่ ไฉนหน้าไม่คุ้นเอาซะเลย?”
ผู้มา คือบุรุษหน้าดำหัวล้านเลี่ยนร่างผอมซูบ มันรู้จักว่าสถานที่นี้คือลมอำพัน ย่อมเป็นขุนโจรในละแวกเมืองล่วนโต้ว เข้าร่วมบริษัทฆ่าคนปล้นวางเพลิงจำกัดเช่นกัน
“ลมอำพันเปลี่ยนเถ้าแก่แล้ว เป็นข้าเอง” ฉินจิ่วเกอยกหัวแม่มือวาดเข้าหาตัว บรรดาผู้คุ้มกันกองคาราวานที่ด้านข้างอับอายยิ่ง ต่างยกมือขึ้นปิดหน้าทีละคนๆ ใบหน้าแดงเห่อด้วยความอัปยศอดสู
“ช่างเถอะ เปลี่ยนก็เปลี่ยน”
ชายฉกรรจ์หน้าดำสูดดมออก ภายในลมพายุทราย ยังเจือไว้ด้วยกลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง ด้วยสติป้ญญาของมัน แน่นอนว่าย่อมไม่โง่เขลาพอจะหลุดปากหาเรื่องใส่ตัว
นอกจากนี้ มันได้รับคำสั่งจากเถ้าแก่ของมันมา ต้องสังหารคนทั้งสามให้จงได้ ยามนี้เบื้องหน้าเป็นหุ้นส่วนบริษัทฆ่าคนวางเพลิงปล้นชิงทรัพย์เช่นกัน ไหว้วานมันส่งเสริมสักเล็กน้อยไม่เห็นจะเป็นไร
“ที่แท้ค่ายลมอำพันเปลี่ยนนายเหนือ เสียมารยาทแล้ว วันหน้าข้าย่อมนำของขวัญมาคารวะ แสดงความยินดีต่อนายคนใหม่!” บุรุษหน้าดำไม่ลืมเลือนมารยาท ท่วงท่าสง่างามละเอียดอ่อนเรียกความรู้สึกที่ดีจากฉินจิ่วเกอ
ดูสิ นี่จึงจะเรียกว่ารู้ความ ไม่เพียงรู้จักแสดงความยินดีต่อการเข้ารับตำแหน่งใหม่ของมัน ที่พิเศษยิ่งคือจากปากคำที่กล่าว ยังจำเอาของกำนัลเฉลิมฉลองมาให้ นี่ต่างหากที่ทิ่มเข้ากลางกระดองใจของฉินจิ่วเกออย่างจัง
“ไหนเลยไหนเลย ขอถามท่านเรียกว่าอะไร”
“ผู้น้อยแซ่หลิว” ชายหน้าดำพลังฝีมือชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลางเช่นกัน พลังฝีมือไม่อ่อนด้อย กลับเพียงเทียบเท่านายโจรที่สอง ค่ายโจรของมัน เปรียบกับลมอำพันยังเข้มแข็งกว่าเล็กน้อย
“ที่แท้เป็นนายท่านหลิว เลื่อมใสนามยิ่งใหญ่มานาน”
ฉินจิ่วเกอทักทายอีกฝ่ายอย่างไหลลื่น การสนทนากับคนมีปัญญาไม่ใช่เรื่องเสียแรงเปล่า
คนคุ้มกันคาราวานคล้ายบังเกิดความเข้าใจขึ้น ฉินจิ่วเกอผู้นี้ดีปนร้าย ล้วนไม่เคยกระทำการเพื่อรับใช้เมตตาจริยะอันใด แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางยื่นมือออกไปด้วยเจตนาดี
ในเมื่อคนทั้งหลายล้วนไม่มีใครกล่าววาจา นายท่านหลิวเองก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ รักษาท่วงท่าสูงส่งเหนือคนไว้
กำลังพลและม้าสองกลุ่มหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง ประกบเข้าหากัน ห้อมล้อมคนทั้งสามไว้ตรงกลางราวแฮมเบอร์เกอร์ แน่นหนาจนน้ำยังไม่อาจฝ่าออกไปได้
“ไม่ทราบนายโจรหลิวมีเรื่องอันใด?”
ฉินจิ่วเกอออกปากถามอีกครั้ง มันที่จริงมองออกแต่แรก
นายโจรหลิวเค้นเสียงหัวร่อสามคำ เอ่ยอย่างไม่นำพา “ทำการค้าไม่ต้องลงทุนเล็กๆ น้อยๆ รับคำสั่งมากำจัดคนขวางหูขวางตาไม่กี่คน”
“ว่าแล้ว ข้ารู้แต่แรกว่าต้องเป็นพวกมันบงการมา สารเลว!” ในสามคนที่หนีเอาชีวิตรอดมานั้น บุรุษหนุ่มออกปากด่าทอด้วยความเหลืออด ใบหน้าทอแววสิ้นหวัง
อาวุโสทั้งสองชัดเจนว่ารับผิดชอบหน้าที่จัดการเรื่องราวต่าง ๆ ในตระกูล ฝืนยกร่างบาดเจ็บสาหัสขึ้นหยัดยืน เสียงแหบพร่า “นายน้อยหนีไป พวกเรามีชีวิตมาพอแล้ว ช่วยถ่วงเวลาแก่ท่าน”
“อาวุโสทั้งสองสละชีวิตเพื่อข้า มู่ซวนไหนเลยจะเอาตัวรอดเพียงลำพัง ตายก็ตายเถอะ”
“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมยิ่ง” เฝ้ามองดราม่าอันกินใจ ฉินจิ่วเกอและนายโจรหลิวมิอาจไม่ปรบมือชื่นชม นัยน์ตาพลันแห้งผาก คิดร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา
เห็นอีกฝ่ายจิตใจตรงกัน ฉินจิ่วเกอจู่ๆ ก็ทำท่าสนิทสนมกับนายโจรหลิว ถามว่า “นายโจรหลิวท่านคิดทำอย่างไร?”
“เกรงใจแล้ว เกรงใจแล้ว ข้ารับคำสั่งมา สังหารนายน้อยนี่กับสองอาวุโสแล้วแน่นอนว่าย่อมมีค่าตอบแทน วันนี้รบกวนสหายทั้งหลายของค่ายลมอำพัน ให้ถือว่าข้านายโจรหลิวกระทำไม่ถูกต้อง ทรัพย์สินเงินทองบนร่างพวกมันล้วนเป็นของพวกท่าน เป็นอย่างไร?”
ฉินจิ่วเกอลอบทอดถอน คนผู้นี้กระทำการไหลลื่นรอบด้าน ช่างละเอียดรอบคอบจนหยาดน้ำไม่กระเซ็น ไม่ล่วงเกินผู้ใดแม้แต่น้อย
ดูแล้วโจรปล้นชิงนี้แม้แซ่หลิว ทว่าปราศจากท่วงท่าอวดเบ่งลำพอง หากแต่จิตใจละเอียดรอบคอบ นายโจรหลิวเองก็มองสำรวจฉินจิ่วเกอ มันสามารถกำจัดนายเหนือลมอำพันลงได้ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจมองข้าม ยิ่งไม่ต้องกล่าวว่าอีกฝ่ายพูดจารักษามารยาทกับมัน
นายโจรหลิวออกปากแสดงเจตนา ข้าเพียงต้องการศีรษะคน ส่วนแหวนมิติเงินทอง พวกเจ้าก็เอาไปแบ่งสันปันส่วน ต่างกำไรไม่น้อย
เมื่อรู้ความคิดของอีกฝ่าย ฉินจิ่วเกอหัวเราะฮ่าฮ่า ครุ่นคิดคำนึงว่าการค้านี้คุ้มค่าอย่างยิ่ง ต้องกล่าวว่า “ดี นายโจรหลิวท่านมีน้ำใจสหายนัก เรานายโจรเพียงแรกพบก็ถูกชะตา รอสักครู่เข้าไปในค่ายลมอำพัน ยินยอมดื่มน้ำสาบานเป็นพี่น้องกับท่าน”
“กล่าวได้ดี กล่าวได้ดี”
เมื่อจัดแจงแบ่งผลประโยชน์ลงตัว นายโจรหลิวยินดียิ่ง ช่างคุ้มค่าที่มันพาคนไล่ฆ่าตามติดมา นายน้อยตระกูลใหญ่ผู้นี้ มีห้าอาวุโสพิสุทธิ์ไพศาลติดตามเดินทางมาด้วย ส่งผลให้พวกมันสูญเสียมือดีไปไม่น้อย
“นายท่านช้าก่อน” บุรุษหนุ่มที่ถูกไล่ฆ่าพลันเอ่ย “หากสามารถช่วยเหลือข้า มู่ซวนยินดีจ่ายออกแปดพันศิลาวิญญาณ ข้าคือศิษย์ของตระกูลซูเมืองล่วนโต้ว เชื่อข้าเถอะ ช่วยชีวิตข้า ท่านจะได้ผลประโยชน์มากกว่า”
“น่าขัน ข้าและนายโจรหลิวน้ำใจตรงกัน เพียงแปดพันศิลาวิญญาณ ไหนเลยจะทำลายสัมพันธ์พี่น้องของเราได้”
ฉินจิ่วเกอเดินเข้ามา ตบบ่านายโจรหลิวด้วยความเร่าร้อน จริงจังจริงใจยิ่ง
นายโจรหลิวไม่เอ่ยวาจา คงมิใช่ว่าเสน่ห์บนร่างของมันรุนแรงจนเกินไป ถึงขนาดมีคนคิดสาบานเป็นพี่น้องกับมันจริงๆ?
ซูมู่ซวนแยกเขี้ยวอีกครั้ง ตระกูลซูของพวกมันยามนี้ก็มิใช่จะร่ำรวย อาวุโสทั้งสองเองก็รับบาดเจ็บสาหัส ประกายแววตาต้องสาดแสงความหวัง มีชีวิต ซูมู่ซวนต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
“สองหมื่นศิลาวิญญาณ!” นั่นเท่ากับทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลซู ซูมู่ซวนกัดฟันเข่นเขี้ยว ให้สัญญาณอาวุโสที่บาดเจ็บสาหัสทั้งสองให้เงียบปากไว้
สองหมื่น
ฉินจิ่วเกอใช้แววตาเผ็ดร้อนชั่วร้ายเหลือบมองนายโจรหลิว มันไล่ล่าตระกูลซู สังหารหนึ่งพันสูญเสียแปดร้อย ทางฝั่งของนายโจรหลิวยามนี้เหลือมันเป็นพิสุทธิ์ไพศาลเพียงลำพังแล้ว
“น่าขัน ข้าและนายโจรฉิน ล้วนจริงใจต่อกัน” นายโจรหลิวตบอก อา น้ำใจสหาย ต้องหาวาจามาบรรยายความสัมพันธ์ฉันพี่น้องอันแนบแน่นของมันและฉินจิ่วเกอให้ได้
ขณะกำลังจะสรรหาถ้อยคำมาพรรณนา นายโจรหลิวกลับคาดไม่ถึง ฉินจิ่วเกอที่เมื่อครู่มันเรียกพี่เรียกน้องกันนั้น เพียงพริบตาก็ลงมือต่อมัน ใช้ความเร็วดุจสายฟ้าลอบจู่โจม!
ตามทฤษฎีของฉินจิ่วเกอ กับพวกอันธพาลแล้วไม่อาจพูดเรื่องกฎกติกาอันใดได้ อย่างไรล้วนแต่เป็นโจรร้าย ไม่มีผู้ใดใจซื่อมือสะอาด คนประเภทนี้ ต่อให้ตกตายยังไม่อาจเยียวยา
ซูมู่ซวนเห็นฉินจิ่วเกอไม่เคลื่อนไหว ดังนั้นเอ่ยว่า “พวกมันยังชิงสินค้าของตระกูลซูเราไป มูลค่าร่วมสามหมื่นศิลาวิญญาณ พวกที่คุ้มกันสินค้าอยู่ยามนี้มีแต่โจรร้ายที่บาดเจ็บหนัก หากนายท่านคิดรับกลับคืนมา ง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ”
ยากจะคาด ที่จริงฉินจิ่วเกอตระเตรียมลงมือแล้ว เมื่อได้ยินคำว่าสามหมื่นศิลาวิญญาณ
หวาวววว รวมกันแล้วเท่ากับห้าหมื่นศิลาวิญญาณเชียวนะ!
เอาทั้งพรรคจอกประกายสิทธิ์มาขายทอดตลาด ยังอาจรวบรวมเงินได้ห้าหมื่นศิลาวิญญาณ เงินจำนวนมากมายขนาดนั้น
มองดูสีหน้ายิ้มย่องของนายโจรหลิว ฉินจิ่วเกอไม่ต่างจากคนขายเนื้อที่กำลังเงื้อมีดอีโต้ ก่อนลงมือ ย่อมไม่กระโตกกระตากจนเนื้อแตกตื่น
“ฝ่ามือกิเลนครองฟ้า!” ฝ่ามือที่โอบนายโจรหลิวไว้ ฉินจิ่วเกอฟาดใส่ทางด้านหลังมันอย่างถนัดถนี่ ไม่ออมมือไว้ไมตรี
ฝ่ามือยักษ์ใหญ่โตตะปบใส่กลางหลังของนายโจรหลิว แผ่นหลังของมันก็เปลี่ยนเป็นเลือดเนื้อเลอะเลือนโดยพลัน โลหิตสดไหลนองเป็นท้องธาร
“เจ้า บัดซบ!” นายโจรหลิวกระอักโลหิต ไม่คาดว่าอีกฝ่ายคิดฉีกหน้าลงมือก็ฉีกหน้า ไหนว่าเป็นพี่น้องร่วมสาบาน?
ทั้งยังไม่คาดว่า เด็กน้อยปราณสุริยันขั้นปลายผู้หนึ่งกลับสามารถทำร้ายมันบาดเจ็บได้จริงๆ นายโจรหลิวตัวเปล่าเล่าเปลือย ไร้ซึ่งกระจำกำบังจิตอันใดทั้งหลายแหล่ ฝ่ามือนี้ของฉินจิ่วเกอ ทำร้ายมันบาดเจ็บสาหัสในทันที
พรวดดด!
ศรโลหิตพุ่งออกมาอีกครั้ง นายโจรหลิวพิโรธโกรธกริ้วจนตาเบิกโพลง ทว่ากลับไม่อาจรวบรวมกำลังได้ ได้แต่กระแทกนั่งลงกับพื้น ปล่อยให้ลูกน้องพยุงไว้
“ฮ่าฮ่า” ฉินจิ่วเกอแผนร้ายสัมฤทธิผล คิดลงมือสังหาร นายโจรหลิวเองก็เป็นคนเด็ดเดี่ยวดุดัน ถีบลูกน้องอันภักดีออกมาหลายคนเพื่อรับหน้าแทน ตัวคนหลบหนีหัวซุน
ฉินจิ่วเกอสามารถต้านรับพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลาง ทว่าไม่อาจเหนี่ยวรั้งพวกมันไว้ไม่ให้หลบหนี ได้แต่เบิกตามองดูนายโจรหลิวเหินทะยานไปไกลในทุ่งร้าง
“นายโจรหลิว ข้าไม่ได้ตั้งใจ ท่านกลับมาเถอะ ข้าจะได้ขอขมาต่อท่าน” ฉินจิ่วเกอตะโกน
“ไสหัวไป!”
เสียงอัดแน่นด้วยความอาฆาตลอยมาตามลม
“ข้าสัตย์ซื่อจริงใจยิ่ง เชื่อข้าเถอะ”
“บัดซบ เจ้าคอยดูเถอะ พวกเราค่ายประหารเทพ จะเอาเลือดล้างบางพวกเจ้าให้หมด”
โง่เง่า ฉินจิ่วเกอลอบก่นด่าในใจ ที่จริงตัวมันไม่ได้คลุกคลีในเมืองเทียนเอิน ถ้าแน่จริงก็เข้าไปเผ่ามนุษย์ ดูซิว่าเรานายท่านจะให้เจ้าตายอย่างไร
“ยังจะมาค่ายประหารเทพอันใด ค่ายประหารหมูน่ะสิ!”
ฉินจิ่วเกอด่าทอจบก็รามือ ท่ามกลางสายตาหวาดหวั่นขวัญผวาของผู้คน หยุดยืนเบื้องหน้าซูมู่ซวน
“ขอบพระคุณนายท่าน” หนึ่งในอาวุโสตระกูลซูเอ่ยขอบพระคุณ มองไม่ออกจริงๆ นายท่านนี้กลับเต็มเปี่ยมด้วยจิตผดุงธรรมะ ช่างเป็นโจรใจคุณธรรมแท้ๆ
ในแววตาของฉินจิ่วเกอคล้ายทอประกายวาววับ ใช้สายตาของขุนโจรกวาดมองกวางน้อยโง่งมทั้งสาม ฝ่ามือถูไถไปมาไม่หยุดราวถูกไฟลน
“เงินเล่า?”
ฉินจิ่วเกอไม่เกรงอกเกรงใจ กับเรื่องเงินๆ ทองๆ มันตรงไปตรงมายิ่ง
“เอ๋?” ซูมู่ซวนตะลึงจนโง่งม เจ้าตรงเกินไปหน่อยกระมัง
“ไม่มีหรือ?”
ประกายตาของฉินจิ่วเกอแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ ไม่งั้นกำจัดสามคนนี้ทิ้งซะ เอาศีรษะมันไปเสาะหาโจรแซ่หลิวทำการแลกเปลี่ยน เชื่อว่าเมื่อนายโจรเห็นศีรษะที่ฉินจิ่วเกอหิ้วมาขออภัยด้วยความจริงใจ นายโจรแซ่หลิวผู้กำลังเจ็บปวดรวดร้าวใจสลาย คงไม่สับสังหารมันจนตายคาที่
“มีมี”
ซูมู่ซวนไม่ลังเลรีรอ หากกล้าติดค้าง คนที่เบื้องหน้าพวกมันย่อมกล้าเชือดทั้งสามทิ้ง
ในเมืองเทียนเอิน ทั้งหมดไร้ซึ่งกฎกติกาใดๆ
เมื่อรวมกับทรัพย์สินทั้งหมดของอาวุโสทั้งสอง เพียงได้แปดพันศิลาวิญญาณ ยังห่างไกลจากสองหมื่นมากมายนัก
จากสายลมรำเพยแปรเปลี่ยนเป็นลมมรสุมฆ่าฟัน เห็นแววตาของอีกฝ่ายหมดความอดทน ซูมู่ซวนเร่งกล่าวอธิบาย “ท่านที่เคารพ บนร่างของพวกเรามีเพียงแปดพันศิลาวิญญาณจริง ทว่าสินค้าของพวกเราที่นำมา มูลค่าถึงสามหมื่นศิลาวิญญาณ ย่อมสามารถชดเชยแก่ท่านได้”
ฉินจิ่วเกอแย้มยิ้ม เอ่ยว่า
“นายน้อยซูคล้ายลืมเลือนแล้ว เมื่อครู่ท่านพูดออกจากปากเอง นอกจากสองหมื่นศิลาวิญญาณแล้ว ยังมีสินค้ามูลค่าสามหมื่นศิลาวิญญาณของตระกูลซูที่เข็นมา ทั้งหมดล้วนเป็นของข้า”
“ซึ่งก็หมายความว่า ตอนนี้พวกเจ้าสามคนคือยาจกตูดเปล่าร่างเปลือย นอกจากแหวนมิติและสินค้าที่ต้องให้ข้าทั้งสิ้น พวกเจ้ายังติดค้างข้าอยู่อีกหนึ่งหมื่นสองพันศิลาวิญญาณ”
.
.
.