ซูมู่ซวนตะลึงลาน เมื่อครู่เป็นตายยากจำแนก แน่นอนว่าวาจาที่กล่าวย่อมอวดโอ้เกินจริงเป็นธรรมดา คนใกล้ตายไหนเลยจะเกรงกลัวอันใด

แต่ว่ารอให้มันรอดชีวิตไปได้ก่อนเถอะน่า มารดามันเถอะ!

ส่งมอบศิลาวิญญาณห้าหมื่นก้อนในคราวเดียว กลับเมืองล่วนโต้วเมื่อไหร่ คงไม่พ้นถูกบิดาถลกหนังศีรษะออกมา

“พี่หวัง เชิญแขกทั้งสามเข้ามานั่งในค่ายลมอำพันก่อนดีกว่า ข้าจะออกไปทำธุระสักหน่อย”

ฉินจิ่วเกอย่อมต้องเก็บสมบัติพวกนั้นเข้าตัว ค่ายประหารเทพเองก็เสียหายไม่น้อย ตอนนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะซ้ำเติมพวกมัน ไม่สิ ต้องเรียกว่าช่วงชิงของโจรมาแจกจ่ายแก่ผู้ยากไร้จึงจะถูก

ฉินจิ่วเกอนำสินค้าจากตระกูลซูกลับมาได้เมื่อไหร่ รถม้าหลายสิบคันพวกนั้น มูลค่าย่อมเหนือกว่ากองคาราวานที่เดินทางมาจากเมืองซวนอู่อย่างแน่นอน

ตอนนี้ สินค้าพวกนี้ล้วนมีป้ายยี่ห้อของฉินจิ่วเกอแปะไว้หมดแล้ว ตกเป็นของส่วนตัวของมันแต่เพียงผู้เดียว

นี่จึงจะเรียกว่าความสุข เพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่วัน ศิลาวิญญาณหลายหมื่นก็ตกถึงมือ ฉินจิ่วเกอนัยน์ตาเป็นประกายสุกใส รู้สึกเบาสบายไปทั่วทั้งร่าง

ฟ้ามืดแล้ว ลมมรสุมท้ายที่สุดก็หยุดลง มันตัดสินใจที่จะพักคืนหนึ่ง พรุ่งนี้ค่อยออกจากค่ายลมอำพัน

หากนายเหนือแซ่หลิวแห่งค่ายประหารเทพบุกตะลุยกลับมาเห็นสภาพค่ายลมอำพันที่ถูกรื้อค้นปล้นชิงยิ่งกว่ากองโจรมาปล้นเองเข้า เชื่อว่าคงต้องกระอักเลือดออกมาหลายถัง

พอเห็นทรัพย์สมบัติประจำตระกูลล้วนมีแซ่ฉินกำกับไว้ อาวุโสตระกูลซูทั้งสองท่านก็ทำใจรับไม่ได้ พากันดึงชายเสื้อซูมู่ซวนร้องห่มร้องไห้จนน้ำมูกเปรอะเปื้อนตัวอีกฝ่ายไปหมด

รับไม่ได้ รับไม่ได้จริงๆ

ซูมู่ซวนเองก็แทบระเบิดอยู่รอมร่อ ท่าทางคล้ายจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ หลายปีที่ผ่านมาพวกมันตระกูลซูล้วนถูกกดขี่ข่มเหงขนานหนัก ตอนนี้ความหวังทั้งหมดที่จะทำให้ตระกูลกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งก็คือศิลาวิญญาณหลายหมื่นนี้เอง

ในเมื่อความหวังได้ถูกโจรร้ายดักปล้นเอาไปหมดแล้ว ซูมู่ซวนก็ไม่คิดที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ตัดสินใจว่าจะไปแลกชีวิตกับเจ้าเดียรัจฉานนั่นให้รู้แล้วรู้รอด

“ประมุขน้อย”

อาวุโสท่านหนึ่งที่กำลังร้องไห้น้ำตานองอยู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้ ที่สำคัญเรื่องนี้ยังสำคัญกว่าศิลาวิญญาณหลายหมื่นนั่นอีก เกี่ยวเนื่องกับความอยู่รอดของตระกูลซู “ประมุขน้อย แม้ระดับวรยุทธ์ของเจ้าเด็กนั่นจะต่ำต้อย แต่พลังสู้รบกลับไม่ธรรมดา หากให้มันเป็นตัวแทนท่าน บางทีอาจช่วยให้ตระกูลซูเรารอดพ้นจากหายนะนี้ไปได้”

“จริงรึ? ตระกูลซูของเราใกล้จะสิ้นสลายลงเต็มที หากมันสามารถช่วยเหลือตระกูลเราไว้ได้ เช่นนั้นก็ผูกมิตรกับมันไว้ ด้วยพรสวรรค์ระดับนี้ ไม่ช้าก็เร็วย่อมสร้างชื่อเสียงในเผ่ามนุษย์ได้แน่”

ซูมู่ซวนกลั้นน้ำตาที่กำลังจะหยดแหมะลงมาเอาไว้ สมมติว่า.. แค่บางที.. เผื่อว่าจะเป็นไปได้.. ว่าฉินจิ่วเกอผู้นั้นจะมีวิธีพลิกสถานการณ์กลับมาได้จริงๆ ละก็

เพียงแต่ เรื่องนายเหนือแซ่หลิวได้ทำให้ทุกคนตระหนักว่าฉินจิ่วเกอผู้นี้ไม่ใช่คนดีอย่างเด็ดขาด

ในขณะเดียวกัน ฉินจิ่วเกอก็ไม่ใช่คนเลว มันเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง ย่อมไม่อาจทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองได้

ขอให้มันช่วยย่อมไม่ใช่เรื่องยาก ยิ่งถ้าให้เงินมันด้วยละก็ คุณชายฉินหากบอกให้ไปขวาก็จะไม่ไปซ้ายเด็ดขาด

ต่อให้ท่านใช้ศิลาวิญญาณเป็นอาวุธปลิดชีพมัน ยามตายไปมันก็จะยังยิ้มแย้มไม่มีทางกลายเป็นวิญญาณอาฆาตกลับมาเด็ดขาด

เมื่อราตรีครอบคลุม ดินแดนอันรกร้างก็ยิ่งทวีความวิเวกวังเวงขึ้นกว่าเดิม

ฝุ่นทรายลอยฟุ้ง ซากศพต้นไม้เหี่ยว จันทราส่องแสงซีดเซียว ปราศจากร่องรอยมนุษย์

ตลอดทั้งเมืองเทียนเอิน มีแค่ละแวกรอบนอกเท่านั้นที่กองโจรจะปล้นชิงโดยไม่ยั้งมือไว้ไมตรี จากจุดนี้สามารถคาดการณ์ได้ว่าบริเวณส่วนในของเมืองนั้นน่าหวาดสะพรึงกลัวปานใด

ฉินจิ่วเกอนั่งอยู่นอกค่ายลมอำพัน ท่ามกลางขุนเขาแมกไม้สงบ มีกองไฟอยู่เคียงข้าง แม้โดดเดี่ยวหากก็ยังอบอุ่น

ภายใต้แสงไฟ ใบหน้าไร้ที่ติอ่อนวัยของชายหนุ่มปรากฏแสงสีทองฉาบทาอยู่ชั้นหนึ่ง รูปพรรณอันคมคายยังแฝงความอ่อนโยนนิ่งสงบเอาไว้

นภากว้างไกลแลเอกภพ จันทราคืนถิ่น

นั่งอยู่กลางทะเลทรายโดดเดี่ยวเอกา ม่านฟ้าคลี่คลุมลงรอบทิศ หมู่ดาวแพรวพราวบนฟากฟ้า

รายล้อมด้วยฟ้าดิน มนุษย์ช่างเล็กจ้อยดั่งฝุ่นผง เพียงอาบไล้อยู่กลางสายลมเย็นเยียบยามราตรี กลับสั่นสะท้านจนแทบทรงตัวไม่อยู่

ยุทธภพกว้าง ขุนเขาซากศพทะเลโลหิต กองทัพอันแสนยานุภาพ

โลกปราศจากความเท่าเทียม ดีชั่วยากแบ่งแยก

ฉินจิ่วเกอปิดเปลือกตา ปล่อยใจลอยล่องไปอย่างปลอดโปร่ง นั่งผิงไฟอยู่ลำพัง จอกสุราข้างตัวไม่ได้พร่องลงไปเลยแม้แต่หยดเดียว

“ออกมาเถอะ” ยืดตัวตรงพลางปัดคราบฝุ่นเลือดที่ติดอยู่ตามตัวไปด้วย “ข้าไม่ใช่เดรัจฉานที่กัดคนไม่เลือกหน้าเสียหน่อย”

พบเห็นสีหน้าที่เหมือนจะบอกว่านอกจากจะถูกหมากัดแล้ว ยังต้องเดินผ่านหน้าหมาตัวนั้นไปให้ได้อีกของซูมู่ซวนเข้า ฉินจิ่วเกอก็รู้สึกหงุดหงิดเป็นกำลัง ตัวข้าเป็นมิตรกับมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทุกชนิด เจ้าทำเช่นนี้แปลว่ากระไร?

ซูมู่ซวนสะกดความไม่สบายใจในใจเอาไว้ ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งข้างกองเพลิงอย่างประดักประเดิด สองมือกุมไว้เหนือเข่า “อะแฮ่ม อากาศคืนนี้ไม่เลวเลยทีเดียว”

“เจ้าว่างั้น? ” ฉินจิ่วเกอแหงนหน้ามองฟ้า ดูพยับเมฆที่ปกคลุมแสงจันทร์ ความมืดที่ไม่มีแสงดาวให้เห็น “เจ้ามาที่นี่เพื่อคืนเงิน? ”

บรรยากาศกลายเป็นเงียบสงัดอย่างเฉียบพลัน มีเพียงเสียงเปลวไฟที่ยังคงดังเปรี๊ยะๆ ดั่งอสนีบาต ฉินจิ่วเกอแยกเขี้ยวขาวสล้าง สีหน้าขู่ขวัญผู้พบเห็น

“ไม่มี ข้าไม่มีเงินจริงๆ” ซูมู่ซวนรีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน ไม่วายยังใช้น้ำเสียงเจรจาเป็นการเป็นงาน “ท่านช่วยพวกเราอีกสักเรื่องได้หรือไม่? ”

“สถานการณ์ของพวกเจ้าตระกูลซูไม่ค่อยจะสู้ดีนะข้าว่า แน่ใจหรือว่าพวกเจ้าจะเอาเงินมาให้ข้าได้? ”

เพื่อให้แน่ใจว่าศิลาวิญญาณห้าหมื่นก้อนจะตกเป็นของตนจริงๆ ฉินจิ่วเกอเลยไถ่ถามเอากับหวังต้าเกอถึงสถานการณ์ภายในเมืองล่วนโต้วเป็นการเฉพาะ

เมืองล่วนโต้วตั้งอยู่บริเวณชายขอบของเมืองเทียนเอิน เทียบกับที่อื่นๆ นับว่ามั่นคงกว่า แต่การแก่งแย่งแข่งขันภายในเมืองกลับเป็นไปอย่างดุเดือด แถมช่วงนี้ตระกูลซูยังถูกตระกูลใหญ่ประจำเมืองล่วนโต้วอย่างเมืองหยวนกดขี่ การค้าภายในตระกูลก็หดตัวลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ขาดอีกเพียงนิดเดียวตระกูลซูก็จะถูกบดขยี้จนไม่เหลืออะไรอีก

คนตรงหน้ามันนี้ สมควรเป็นศิษย์สายตรงประจำตระกูลซู ซูมู่ซวน

ได้ยินว่าตระกูลหยวนแห่งเมืองล่วนโต้วถึงกับมีชนชั้นกลั่นดวงธาตุนั่งแท่นบัญชาการ!

ควรทราบว่า เมืองล่วนโต้วเป็นเพียงเมืองชายแดนเล็กๆ ท่ามกลางเมืองนับสิบของเมืองเทียนเอินเท่านั้น นอกเมืองมีพิสุทธิ์ไพศาลที่ผันตัวไปเป็นโจรอยู่ไม่น้อย

ในเมือง พิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดไม่อาจนับเป็นอะไร มีแต่กลั่นดวงธาตุเท่านั้นที่จะนับว่าเป็นผู้กุมบังเหียนที่แท้จริง

ฉินจิ่วเกอไม่ชอบปัญหา โดยเฉพาะปัญหาตรงหน้ามันนี้ที่เกี่ยวพันไปถึงชนชั้นกลั่นดวงธาตุประจำตระกูลหยวน มาคิดดูแล้ว นายเหนือแซ่หลิวแห่งค่ายประหารเทพก็รับทอดเจตนารมณ์ของตระกูลหยวนให้มาสกัดฆ่าซูมู่ซวน ผูกปมความบาดหมางเอาไว้เรียบร้อย

“สถานการณ์ตระกูลซูของพวกเจ้าไม่สู้ดีเอาเสียเลย ตระกูลหยวนมีกลั่นดวงธาตุนั่งแท่นบัญชา แล้วเจ้าอาศัยอะไรถึงคิดว่าข้าจะช่วยพวกเจ้าได้? ”

หากให้อาวุโสใหญ่ออกหน้าเอง ตระกูลหยวนกระจ้อยร่อยนี้แค่มองดูยังเปลืองสายตา เพียงแต่อาวุโสใหญ่ไม่มีทางเอาตัวมาพัวพันกับเรื่องทำนองนี้ เพราะงั้นก็ช่วยไม่ได้

ซูมู่ซวนคิดแล้วคิดอีก ภายใต้แรงกดดันของพยัคฆ์จอมเจ้าเล่ห์ สีหน้าของมันจึงคล้ายกับฟองน้ำที่ถูกบีบขยำ

“เดิมทีตระกูลซูของพวกเราเคยเป็นตระกูลใหญ่ประจำเมืองล่วนโต้วมาก่อน ในตระกูลแม้จะไม่มีชนชั้นกลั่นดวงธาตุคอยดูแล แต่ก็คบค้าสมาคมกับผู้คนเป็นจำนวนมาก ซึ่งช่วยป้องกันมรดกสามร้อยปีของตระกูลเราเอาไว้”

“โฮ่? เช่นนั้นตระกูลหยวนอะไรนั่นโผล่มาได้ยังไง? ”

ทันทีที่เอ่ยถึงตระกูลหยวน ใบหน้าของซูมู่ซวนก็มีแต่ความคั่งแค้น นัยน์ตาลุกเป็นเพลิง ร้อนแรงจนแทบจะดับกองไฟตรงหน้าอยู่แล้ว

ฉินจิ่วเกอเข้าใจในบัดดล ดูท่าตระกูลหยวนจะกรรโชกทรัพย์ไปจากตระกูลซูไม่น้อย เท่าที่ดูความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายจะต้องมีมูลค่าสูงกว่าหลายหมื่นศิลาวิญญาณแน่นอน ร่ำรวยเงินทองกันแท้ๆ

“ตระกูลหยวนเพิ่งย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองล่วนโต้วในช่วงสิบปีนี้เอง ว่ากันว่าเดิมทีพวกมันเคยปักหลักอยู่ในเมืองเทียนเอินมาก่อน แต่เพราะไปล่วงเกินยอดฝีมือท่านหนึ่งเข้า จึงถูกบีบไล่ให้มาซุกหัวอยู่ที่เมืองล่วนโต้ว”

“ตระกูลหยวนไม่พอใจกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ตั้งใจจะกลับมาผงาดใหม่อีกครั้ง จะทำเช่นนั้นได้จำต้องมีกำลังทรัพย์ที่เพียงพอ ตระกูลซูของเรามีเส้นสายสมาคมเหนือใต้ออกตก และก็เป็นเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้ตระกูลหยวนตั้งใจจะฮุบกลืนตระกูลของพวกเรา”

จะผิดหรือถูกสุดท้ายก็ไม่พ้นเรื่องเงินทอง ฉินจิ่วเกอทอดตามองท้องฟ้าอันเปิดโล่ง รู้สึกว่าตัวเองช่างเล็กจ้อยเหมือนฝุ่นผง

“ตระกูลหยวนมีชนชั้นกลั่นดวงธาตุขึ้นนำ จากที่ข้าดู ตระกูลซูของพวกเจ้าสมควรรับมือพวกมันไม่อยู่ถูกหรือไม่? ”

ฉินจิ่วเกอฉงนใจไม่หาย ด้วยกำลังของตระกูลหยวน หากคิดจัดการกับตระกูลซูที่มีแต่เงินหากไร้กำลังย่อมง่ายดายยิ่งกว่าอะไร แล้วทำไมต้องมาเล่นแง่กันอยู่อย่างนี้ด้วย?

ซูมู่ซวนแค่นเสียงเย็น “ตระกูลหยวนแข็งแกร่งก็จริง แต่ตระกูลซูเองก็ไม่ใช่ไก่อ่อนเหมือนกัน ในตระกูลเรามีพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดอยู่ห้าท่าน คิดกวาดล้างพวกเราให้เหี้ยน ตระกูลหยวนของพวกมันไสหัวออกไปจากเมืองล่วนโต้วก่อนเถอะ! ”

หลิวเชียนจอมโจรผู้โด่งดังแห่งเผ่ามนุษย์ยังเป็นแค่พิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดเท่านั้น

ในกรณีที่กลั่นดวงธาตุไม่ลงมือ มันสามารถปล้นชิงฆ่าล้างไปทั่วเผ่ามนุษย์ได้ตามอำเภอใจ

แต่ตระกูลซูที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินกิจการการค้าเป็นหลักถึงกับมีพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดอยู่ห้าท่าน แสดงให้เห็นว่าในละแวกเมืองเทียนเอินแห่งนี้การช่วงชิงอำนาจเป็นไปอย่างดุเดือดเพียงไร

“ห้าพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด หากต้องรับมือกับกลั่นดวงธาตุ เกรงว่าจะไม่พอ”

ฉินจิ่วเกอส่ายหน้า แม้แต่สวีเซิ่งที่เพิ่งเข้าสู่กลั่นดวงธาตุขั้นหนึ่งได้ไม่นาน หากต้องให้มันกำจัดชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ระดับการฝึกปรือและปริมาณแต่ไรก็ไม่อาจนำมาเทียบเปรียบกันได้อยู่แล้ว

“ตระกูลซูของพวกเรามีสายสัมพันธ์กับสมาคมนักปรุงยาประจำเมืองล่วนโต้วอยู่” ซูมู่ซวนกัดฟันกล่าว นี่คือไพ่ตายเพียงใบเดียวของตระกูลซู เป็นเส้นฟางเส้นสุดท้ายที่สามารถป้องกันการฮูบกลืนจากตระกูลหยวน

สมาคมนักปรุงยาครอบคลุมกระจายไปทั่วทวีปฉงหลิงรวมถึงนอกทวีป นักปรุงยาถือเป็นขุมกำลังหลักที่ไม่มีใครกล้าตอแยด้วย

ในเมืองเทียนเอิน กลั่นดวงธาตุยังไม่ได้รับความยอมรับเท่านักปรุงยา ใครกล้าล่วงเกินพวกมัน ยังไม่ต้องพูดถึงอีกฝ่าย แค่สมาคมนักปรุงยาที่หยั่งรากลึกก็ล้วนสามารถสำแดงอำนาจบดขยี้ให้ฝ่ายนั้นแหลกเละคาที่ได้แล้ว

ดังนั้น สมาคมนักปรุงยาแม้จะไม่ได้เข้าร่วมช่วยเหลือการแย่งชิงอำนาจในเมืองเทียนเอิน แต่สถานะของพวกมันก็เป็นที่ประจักษ์

“ในอดีต บรรพชนตระกูลซูของพวกเราเคยสร้างบุญคุณเอาไว้กับนักปรุงยาระดับสี่ท่านหนึ่ง ใต้เท้าท่านนั้นยินดีที่จะป้องกันไม่ให้ตระกูลซูของเราถูกตระกูลหยวนฮุบกลืนไป เพียงแต่นักปรุงยาไม่อาจแหกกฎของเมืองล่วนโต้วอย่างโจ่งแจ้ง ดังนั้นใต้เท้าท่านนั้นจึงเดินทางไปที่ตระกูลหยวน เสนอให้มีการจัดการแข่งขันระหว่างผู้เยาว์เพื่อตัดสินผู้แพ้ชนะ”

ให้ตระกูลซูเลือกศิษย์ออกมาแข่งขันบนเวทีกับตระกูลหยวน หากชนะ นักปรุงยาระดับสี่ท่านนั้นจะช่วยให้ตระกูลซูรอดพ้นภัยวิกฤติในครั้งนี้

หากแพ้ นักปรุงยาระดับสี่ท่านนั้นแม้จะสามารถหยั่งเชิงกีดกันกลั่นดวงธาตุผู้นั้นได้ แต่ก็ใช่ว่าจะทำได้ตลอดไป น่ากลัวว่าตระกูลซูที่มีมรดกสามร้อยปีจะต้องสิ้นชื่อไปจากเมืองล่วนโต้วเสียแล้ว

“เจ้าก็เลยอยากให้ข้าเข้าแข่งขัน?” ท้ายที่สุดฉินจิ่วเกอก็เปิดกระปุกสุราที่วางไว้ข้างตัวพร้อมส่งให้ซูมู่ซวน เดิมเข้าไปซะ ดื่มเยอะๆ จะได้สติเลอะเลือนจำอะไรไม่ได้

ซูมู่ซวนกำลังสลดหดหู่ เห็นฉินจิ่วเกอยื่นส่งจอกสุรามาให้ ก็รีบซัดโฮกเข้าปากด้วยความอหังการ์ ไม่มีหกเลอะออกมาแม้เพียงหยดเดียว

ฉินจิ่วเกอพึงพอใจกับท่าทีของอีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง ว่าง่ายจริงๆ แบบนี้ค่อยพูดจารู้เรื่องหน่อย

“ใช่ หากเจ้ายอมลงแข่ง ตระกูลซูย่อมให้เจ้าได้ทุกอย่าง ขอเพียงรักษาไม่ให้ตระกูลซูของเราต้องถูกกลืนกินไปก็พอ”

ซูมู่ซวนเริ่มเมากรึ่ม ใบหน้าขึ้นเป็นสีชมพู ตัวมันเองเป็นศิษย์สายตรงจากเมืองล่วนโต้ว ปกติอาศัยอำนาจจากตระกูลจึงปล่อยปละละเลยเรื่องการฝึกปรือ

จวบกระทั่งเมื่อตระกูลซูจวนจะถูกกดขี่จนสิ้นชื่อ ตนเองถูกคนไล่ล่าหมายเอาชีวิต ซูมู่ซวนถึงค่อยตระหนักถึงความสำคัญของการยืนด้วยลำแข้งตัวเอง

“รุ่นเยาว์ตระกูลหยวนพวกนั้นพละกำลังเป็นเช่นไรบ้าง? ”

“อย่างน้อยย่อมต้องมีพิสุทธิ์ไพศาลขั้นต้น” ซูมู่ซวนไม่กล้าระบุชี้ชัด

“เจ้าคงรู้เงื่อนไขสินะ”

ซูมู่ซวนยังคงเมามายอยู่บ้าง ฉินจิ่วเกอจึงเริ่มล่อลวงอีกฝ่าย ตระกูลซูมีทุนรอนอะไรเก็บงำไว้รีบเอาออกมาให้หมด

“ตระกูลซูของเราให้ศิลาวิญญาณเจ้าไม่ได้แล้ว จะมีก็แค่สมบัติ” ซูมู่ซวนเมาแล้ว เริ่มพูดจาไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ค่อยๆ บอกกล่าวงบประมาณของตระกูลซูออกมา

ฉินจิ่วเกอเหมือนอสรพิษที่ซ่อนอยู่ในสวนรอจู่โจมเหยื่อ ลัดเลื้อยอยู่รอบตัวซูมู่ซวน เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงชั่วช้า “สมบัติอะไร? ”

“ตระกูลซูของเรามีกู่ชี่ (สมบัติบรรพกาล) อยู่! ”

“กู่ชี่ (ความซื่อตรง) ?”

“อืม เป็นศาสตราบรรพกาล”

ซูมู่ซวนหนังตาเริ่มหนัก ปล่อยตัวไปกับความรู้สึกชายิบๆ ตามร่างกาย แม้แต่จิตใจยังคล้ายลอยละล่อง กลั่นดวงธาตุตระกูลหยวนอะไรนั่น มันไม่รับรู้อีกแล้ว

“พี่ซูเอ๋ย มีความซื่อตรงไม่ได้แปลว่าจะมีข้าวทาน นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คนที่มีความซื่อตรงตายไวและตายก่อนใครเพื่อน” ฉินจิ่วเกอผิดหวัง “ท่านดูสิดวงตะวันบนท้องฟ้าเป็นทรงกลม ดวงจันทร์ก็เป็นทรงกลม แม้แต่โลกที่เราอยู่ก็เป็นทรงกลม ดังนั้นเวลาจะทำอะไรก็ต้องคล่องแคล่วลื่นไหลหน่อย”

.

.

.