ตอนที่ 18 ยอมรับมารดา บำรุงครรภ์ (1)
อวิ๋นจูได้ยินคำว่าท่านแม่ที่ช้ามายี่สิบกว่าปีคำนี้ หัวใจก็สั่นสะท้าน ขอบตาร้อนผ่าวน้ำตาร่วงลงมาทันใด
ฮองเฮาเยี่ยหลัวมองนางอย่าอ่อนแรง “ท่านแม่ อย่าร้องไห้นะเจ้าคะ”
อวิ๋นจูน้ำตาทะลักเป็นสาย นางคว้ามือของอีกฝ่ายมากุมไว้แน่น “แม่ไม่ร้อง…แม่ไม่ร้อง…”
เฉียวเวยมองดูจนปวดใจ เพื่อคำว่าท่านแม่คำนี้ อวิ๋นจูทุ่มเทไปมากเหลือเกิน นางใช้ช่วงเวลาอันงดงามทั้งหมดในชีวิตไปกับการออกเดินทางตามหาวิธีรักษาบุตรสาว ความทุกข์ทรมานยี่สิบปีผ่านไปไวราวกับเพียงวันเดียว ในที่สุดวันที่ได้อยู่พร้อมหน้ากันก็มาถึง
“ท่านน้า ท่านจำเรื่องราวก่อนหน้านี้ได้หรือไม่” จีหมิงซิวถาม
ฮองเฮาเยี่ยหลัวส่ายหน้าอย่างมึนงง
อวิ๋นจูน้ำตาคลอมองนาง นางเองก็หันไปมองอวิ๋นจู นางขยับร่างกายอันอ่อนแรงวางใบหน้าหนุนกลางฝ่ามือของนาง “ท่านแม่”
ทั้งที่ลืมเลือนทุกสิ่งหมดแล้ว ทว่ากลับรู้ว่าคนผู้นี้คือมารดาของตนเอง
ฮองเฮาเยี่ยหลัวเหมือนลูกแมวน้อยอ่อนแรงตัวหนึ่งที่อยากจะร้องเหมียวๆ อิงแอบหลับใหลอยู่ในอ้อมแขนมารดาของตน
อวิ๋นจูกอดนาง ลูบเส้นผมยาวสลวยของนางอย่างรักใคร่ ราวกับว่าได้สิ่งที่สูญเสียไปกลับคืนมาทั้งหมดในชั่วพริบตา หัวใจถูกเติมเต็มจนล้นปรี่ นางเกือบจะพูดอะไรไม่ออกแล้ว…
จีหมิงซิวมองดูแม่ลูกที่ได้มาอยู่พร้อมหน้ากันในที่สุด แล้วพาเฉียวเวยถอยออกไปด้านนอกอย่างรู้จักกาลเทศะ พรากจากกันมานานถึงเพียงนี้ก็สมควรให้เวลากับพื้นที่แก่ทั้งสองคนสักหน่อย สองแม่ลูกจะได้มีเวลาใกล้ชิดกัน
จีหมิงซิวปิดประตูห้องให้ทั้งสองคน
ภายในห้องมีเสียงอันอ่อนโยนของอวิ๋นจูดังออกมาแผ่วเบา ทำให้คนนึกถึงกิ่งหลิวในฤดูใบไม้ผลิ หรือไม่ก็นึกถึงก้อนเมฆขาวที่ลอยละล่องก้อนแล้วก้อนเล่าบนท้องนภาสีคราม
จีหมิงซิวกับเฉียวเวยกลับไปที่เรือนหลัก พวกเขาไม่อยู่ ตกกลางคืนลูกน้อยสองคนคงหวาดกลัวจนนอนไม่หลับ ฟู่เสวี่ยเยียนจึงอุ้มลูกน้อยทั้งสองคนไปอยู่ด้วย ตอนนี้พวกเขาจึงหลับฝันหวานอยู่ในห้อง
จีหมิงซิวไม่ได้หลับตานอนมาสองวันสองคืนเพื่อตามหาเฉียวเวย เฉียวเวยได้นอนมากกว่าเขาหนึ่งคืน แต่ก็ทนการเดินทางระหกระเหินระยะทางไกลเช่นนี้ไม่ไหวเช่นกัน หลังจากอันตรายคลี่คลายแล้ว ทั้งสองคนจึงรู้สึกว่าความเหนื่อยล้าโหมซัดเข้าใส่ดุจคลื่นทลายขุนเขา ยามนี้จึงไม่มีใครไปอุ้มเด็กๆ มาทั้งนั้น
หลังจากอาบน้ำอย่างเร็วๆ ในที่สุดทั้งสองคนก็เอนกายลงบนเตียงกว้างอันนุ่มนิ่ม
เฉียวเวยมองเขาอย่างประหลาดใจ “ท่านไม่ได้นอนมาสองวันสองคืนไม่ใช่หรือ ท่านไม่ง่วงหรือไร”
จีหมิงซิวตอบว่า “รอเจ้าหลับก่อน ข้าค่อยนอน”
“ข้าไม่หนีไปไหนเสียหน่อย” เฉียวเวยพึมพำ
จีหมิงซิวถอนหายใจอย่างเห็นด้วยปนไม่เห็นด้วย “ใช่สิ ไม่หนีไปไหนหรอก เพียงแต่ไม่ระวัง ‘พลัดตก’ หน้าผาเท่านั้น มีอะไรใหญ่โตกันเล่า”
เฉียวเวยหุบปากฉับอย่างขุ่นเคือง
เรื่องนี้แม้นางไม่ใช่คนผิด แต่สุดท้ายก็ทำให้เขาต้องหวาดหวั่นวิตกอยู่ดี ปล่อยให้เขาบ่นสักประโยคสองประโยคย่อมสมควรแล้ว
“แต่…จะว่าไปแล้ว หนนี้พวกเราได้ลาภจากคราวเคราะห์ หากข้ากับแม่ทัพน้อยมู่ไม่ตกลงไป ก็ไม่แน่ว่าจะได้พบท่านยายกับซิ่วฉินนะ” เฉียวเวยเอ่ยเสียงเบา
“แม่ทัพน้อยมู่หรือ” ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีเหยียดริมฝีปากอย่างเย็นชา นอนอยู่ในอ้อมแขนของเขาแต่ยังมีใจไปคิดถึงบุรุษคนอื่นอีก!
เฉียวเวยง่วงจนเริ่มสะลึมสะลือแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าสามีของตนกำลังอาการหึงกำเริบอีกครั้ง “ข้าขอบอกท่าน หนนี้ต้องขอบคุณเขาจริงๆ ธนูดอกนั้นแต่เดิมจะยิงมาที่ข้า แต่เขาช่วยบังข้าเอาไว้ หากไม่ได้เขาบังธนูดอกนั้น ข้ากับ…”
พูดได้ครึ่งหนึ่ง เฉียวเวยก็พลันตระหนักได้ว่าตนเองเกือบจะหลุดปากบางอย่างออกไป
“เจ้ากับ…” ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดียกมุมปากยิ้มมองนาง
เฉียวเวยแววตาวูบไหว “กับอะไรกันเล่า ข้าจะบอกว่าข้าก็ ข้าก็เป็นไปได้มากว่าจะ…ตายอยู่ตรงนั้นแล้ว หลังจากพลัดตกหน้าผาก็ได้พึ่งใบบุญของเขาถึงร่วงลงมาโดยไม่บาดเจ็บอะไร”
แม่ทัพน้อยมู่ไม่ได้ช่วยแต่นางเท่านั้น แต่เป็นนางกับลูกในท้องของนาง บุญคุณใหญ่หลวงหนนี้ เรียกได้ว่าไม่สิ่งใดตอบแทนได้ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เจ้าหมอนี่ยังจะมาหึงผู้อื่นอีก ข้าจะไม่บอกเขาเรื่องท้อง จะไม่บอกเด็ดขาด!
อีกด้านหนึ่งเฉียวเจิงได้ยินเสียงดังเอะอะจึงรีบออกมาจากห้อง เขาไม่พูดพร่ำก็เคาะประตูห้องของทั้งสองคนทันที “เสี่ยวเวย เสี่ยวเวย! ลูกกลับมาแล้วใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ” เฉียวเวยตอบ
จีหมิงซิวเพิ่งจะกอดคนได้ไม่เท่าไร ยังไม่ทันกอดจนหนำใจก็ถูกภรรยา ‘ถีบตกเตียง’ เขาลุกขึ้นไปเปิดประตูให้พ่อตา
เฉียวเจิงรีบร้อนเข้ามาในห้อง เขาเดินมาถึงข้างเตียงแล้วถามอย่างกังวล “เสี่ยวเวยเจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
เฉียวเวยนั่งลง “ข้าไม่เป็นอะไร ตอนนี้ดึกแล้ว เหตุใดท่านจึงตื่นขึ้นมาเล่า”
เฉียวเจิงเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “ข้าจะหลับลงได้ที่ไหนกัน ข้าเอาแต่ฝันร้ายทั้งคืน ฝันว่าเจ้าไม่กลับมา…”
เฉียวเวยยิ้ม “ฝันมักจะเป็นตรงข้าม ท่านไม่เห็นหรือข้ากลับมาอย่างสบายดีนี่แล้วอย่างไร”
“ให้ข้าตรวจดูหน่อยสิ!” เฉียวเจิงคว้าข้อมือของเฉียวเวยมาจับชีพจรอย่างถี่ถ้วน เดิมอยากจะตรวจดูว่าลูกสาวมีอาการบาดเจ็บหรือเปล่า ทว่าจับเจอจุดชีพจรลื่นเข้า
จุดชีพจรลื่นเป็นจุดชีพจรสำหรับตรวจโรคอย่างเช่นโรคที่เกิดจากเสลดและเสมหะ อาการที่เกิดจากอาหารตกค้างในกระเพาะและลำไส้และกลุ่มอาการร้อนเป็นต้น และมันยังเป็นจุดชีพจรหลักในการตรวจการตั้งครรภ์อีกด้วย ยามสตรีที่ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บจับพบชีพจรลื่นเข้าย่อมหมายความว่าตั้งครรภ์อยู่
ดวงตาของเฉียวเจิงเบิกถลนทันใด “โอ๊ะ โอ๊ะ โอ๊ะ! ลูกสาวนี่เจ้า…”
เฉียวเวยส่งสายตาให้บิดาของตนเองทันที
เฉียวเจิงตกตะลึง เขามองเฉียวเวยแล้วเหลียวกลับไปมองจีหมิงซิวที่อยู่ด้านหลัง
ตั้งแต่เขาเดินเข้าประตูมาสายตาของจีหมิงซิวก็ไม่เคยละออกจากร่างของเขา เวลานี้เห็นอาการประหลาดของเขาก็เอ่ยปากถามอย่างอดไม่ได้ “ร่างกายของเสี่ยวเวยมีอะไรผิดปกติหรือ”
เฉียวเจิงกะพริบตา แล้วตอบด้วยสีหน้าขึงขัง “ไม่มี ไม่มีอะไรเลย”
จีหมิงซิวหัวเราะ “ถ้าเช่นนั้นเมื่อครู่ท่านตกใจอะไรขนาดนั้นเล่า”
เฉียวเจิงกระแอม แล้วตอบเสียงหลง “ข้าตกใจที่นางพลัดตกมาจากที่สูงขนาดนั้นแต่ไม่เป็นอะไรเลยสักนิดเดียว! ทำไม เจ้าไม่ประหลาดใจหรือ”
จีหมิงซิวยิ้มน้อยๆ “แน่นอนข้าย่อมประหลาดใจเช่นกัน”
“ก็นั่นน่ะสิ” เฉียวเจิงเหยียดหลังตรง แล้วพูดอย่างองอาจน่าเกรงขาม “ไม่ว่าอย่างไรก็พบความตระหนกตกใจมา ร่างกายย่อมไม่เหมือนก่อนหน้านี้ เจ้าต้องดูแลให้ถี่ถ้วนขึ้นหน่อย อย่าทำให้นางบาดเจ็บ”
จีหมิงซิวรับปากแต่โดยดี “ขอบพระคุณท่านพ่อที่ตักเตือน ข้าจดจำเอาไว้แล้ว”
“อืม” เฉียวเจิงลุกขึ้นยืนอย่างค่อนข้างพอใจ เขาแลกสายตากับลูกสาวเหมือนจะบอกว่าแผนการสำเร็จแล้ว
เฉียวเจิงเห็นเจ้าหนุ่มนี่ขัดตามานานแล้ว เขาไม่เพียงแต่ยึดหัวผักกาดขาวน้อยของบ้านเขาไป แต่ยังเอาผักดองไหเก่าอย่างเหอจั๋วไปด้วย ส่วนเฉียวเจิงแย่งผักมาไม่ได้สักใบ ตอนนี้หัวผักกาดขาวจิ๋วกำลังจะเกิดมาแล้ว อีกฝ่ายอย่าฝันว่าจะมาแย่งจากเขาได้อีก!
เฉียวเวยมองท้องของลูกสาวอย่างพึงพอใจ หัวผักกาดขาวจิ๋ว ท่านตาต่างหากที่ดีกับเจ้าที่สุด!
เฉียวเจิงสื่อสารกับหัวผักกาดขาวจิ๋วเสร็จก็รู้สึกว่าตนเองฟื้นกลับมามีเลือดเต็มเปี่ยมในพริบตา เขาสะบัดแขนสองข้างอย่างเปี่ยมพละกำลัง ตวาดเสียงดังคำหนึ่งแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างดุดันน่าเกรงขาม
จีหมิงซิวมองพ่อตาของตนเองด้วยแววตาแปลกใจ จากนั้นจึงหันมามองภรรยาของตนเองอย่างครุ่นคิด “พวกเจ้ามีเรื่องอะไรปิดบังข้าอยู่ใช่หรือไม่”
“เปล่า” หัวหน้าพรรคเฉียวตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด พูดจบก็ม้วนตัวอยู่ในผ้าห่ม หันข้างนอนตะแคงเข้าหาด้านในของเตียง จากนั้นยกมุมปากยิ้มอย่างชั่วร้ายในมุมที่จีหมิงซิวมองไม่เห็น ข้าจะปล่อยให้ท่านเป็นเหมือนเจ้าซื่อบื้อ รอจนข้าคลอดลูกออกมาถึงเพิ่งรู้ ดูซิว่าท่านจะทำอย่างไร!
“เอ๋ เกิดอะไรขึ้น เจ้าฉี่ราดได้อย่างไร เจ้า เจ้า เจ้า…” จีหมิงซิวชี้กระโปรงของเฉียวเวยอย่างตื่นตระหนก
เฉียวเวยตอบอย่างเย่อหยิ่ง “ข้าไม่ได้ฉี่ราด ข้ากำลังน้ำคร่ำแตกต่างหาก”
“น้ำคร่ำแตกหมายความว่าอย่างไร” จีหมิงซิวตกใจกลัวจนตัวสั่น ยกเล็บขึ้นมากัด
เฉียวเวยสะบัดผมอย่างสง่างาม ตอบอย่างมาดเทพธิดา “ก็หมายความว่าข้าจะคลอดแล้วอย่างไรเล่า”
“อะไรนะ เจ้าจะคลอดแล้วหรือ!” จีหมิงซิวตกใจจนร่วงลงไปก้นจ้ำเบ้าที่พื้น “เจ้าตั้งครรภ์ตั้งแต่เมื่อใด เหตุไฉนข้าไม่รู้! สวรรค์ เจ้าปิดบังเรื่องใดจากข้าบ้างเนี่ย!”
เฉียวเวยยิ้มอย่างหยิ่งยโส “คนซื่อบื้อ ข้าตั้งครรภ์มาสิบเดือนแล้วยังมองไม่ออก”
โฮะๆ โฮะๆ โฮะๆ….
ภาพในจินตนาการนี้ช่างงดงามเหลือเกิน!
หัวหน้าพรรคเฉียวหัวเราะอย่างชั่วร้ายพลางกอดหมอนนอนหลับไป
จีหมิงซิวมองนางหัวเราะคิกคัก
คิดว่าเขาเป็นเจ้าโง่อย่างหมิงเยี่ยคนนั้นจริงๆ หรือ
…
หลังจากเฉียวเวยงีบหลับตอนกลางวัน พอนางลืมตาตื่นขึ้นมาจีหมิงซิวก็ไม่อยู่แล้ว ด้านนอกห้องมีเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กๆ ดังลอยมา นางสวมเสื้อผ้าจนเรียบร้อย พอล้างหน้าล้างตาเสร็จก็หันมาเห็นกาหยกใบน้อยที่ใช้น้ำร้อนรักษาความอุ่นวางอยู่บนโต๊ะ
นางเปิดฝากาน้ำออกดูก็พบว่าเป็นน้ำนมแพะที่ต้มไล่กลิ่นคาวแล้วกาหนึ่ง ในน้ำนมแพะใส่น้ำตาล รสชาติหวานละมุน
แปลกจริง ในห้องมีของเช่นนี้ได้อย่างไร
ของเจ้าตุ้ยนุ้ยหรือ
ไม่ใช่แน่ หากมีของอร่อยเช่นนี้อยู่ เจ้าตุ้ยนุ้ยคงเลียจนเกลี้ยงไปนานแล้ว ท่านพ่อของนางจะต้องตั้งใจต้มมาบำรุงนางแน่ๆ!
น้ำนมแพะกานี้รสชาติไม่เลว เฉียวเวยดื่มจนหมดกาอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
ไม่นานก็มีสาวใช้ยกถาดอาหารเข้ามา
ปลาแห้งตัวเล็ก เนื้อผัดพริกเขียว น้ำแกงถั่วดำกระดูกหมู แป้งยัดไส้เนื้อผัดงา ไข่ตุ๋น…ทั้งหมดล้วนเป็นอาหารบำรุงสำหรับสตรีมีครรภ์ บิดาของนางช่างใส่ใจจริงๆ!