ตอนที่ 19-1 ยอมรับมารดา บำรุงครรภ์ (2)
หลังจากทราบว่าตนเองตั้งครรภ์ ปริมาณอาหารของเฉียวเวยก็เพิ่มมากขึ้น ก่อนพลัดตกหน้าผานางยังไม่กินเก่งมากกว่าปกติเลยแท้ๆ…
ในใจนางแอบคิดว่าเรื่องนี้ช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวจริงๆ!
หลังจากกวาดอาหารบนโต๊ะจนเกลี้ยง เฉียวเวยก็ประคองท้องที่กลมดิกไปเดินเล่นในลานบ้าน หิมะที่ทับถมอยู่บนทางเดินถูกกวาดจนสะอาดเอี่ยมแล้ว แต่บนสนามหญ้ายังเหลืออยู่อีกมากมาย เจ้าซาลาเปาน้อยสองคนใช้สองมือน้อยที่ถูกความหนาวเล่นงานจนแดงก่ำปั้นมนุษย์หิมะหน้าตาดงามอยู่หลายตัว
ตัวที่จิ่งอวิ๋นปั้น เฉียวเวยยังมองออกว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่ง แต่ตัวที่วั่งซูปั้น ยากจะใช้คำพูดมาพรรณนาอยู่เล็กน้อย
“ท่านยายทวด ท่านดูมนุษย์หิมะที่ข้าปั้นสวยหรือไม่” วั่งซูเบิ่งดวงตากลมโตแวววาวคู่นั้น มือน้อยไพล่อยู่ด้านหลังร่าง ร่างกายน้อยๆ เอียงมาทางขวานิดๆ ปลายเท้าข้างขวากระดกขึ้นมาหน่อยๆ ตั้งอกตั้งใจใช้ความน่ารักเล่นงานอย่างจริงจัง
อวิ๋นจูไหนเลยจะเคยเห็นเด็กน้อยที่น่ารักถึงเพียงนี้ หัวใจที่ถูกปิดผนึกจนฝุ่นจับมานานหลายปีถูกความน่ารักหลอมละลายในพริบตา นางไม่สนแล้วว่าวั่งซูจะปั้นตัวอะไร แต่ตอบอย่างจริงจังว่า “สวยมาก สวยมากจริงๆ!”
เฉียวเวยมองกองหิมะเละเทะกองนั้นแล้วมุมปากกระตุก ท่านยายท่านโกหกหน้าตายเช่นนี้จะดีจริงหรือ
วั่งซูตอบเสียงนุ่มนิ่ม “ท่านยายทวด ข้าท่องบทกวีได้ด้วยนะเจ้าคะ”
อวิ๋นจูถามเสียงอ่อนโยน “เช่นนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นเจ้าลองท่องให้ท่านยายทวดฟังสักหน่อย”
วั่งซูยืดหน้าอกน้อยๆ ของนาง จากนั้นจึงโคลงศีรษะ ท่องออกมาอย่างมีจังหวะเป็นของตนเอง “ห่าน ห่าน ห่าน…ส่ง เสียงร้อง…ก้องฟ้า ขนขาว…ลอย…เหนือน้ำเขียว ขาแดง…แหวก…ว่ายผิวน้ำ!”
อวิ๋นจูเอ่ยชม “ท่องได้ดีมากจริงๆ!”
เฉียวเวยคิดในใจ ท่านลองให้นางท่องบทที่สองดูสิ
วั่งซูผู้ตุ้ยนุ้ยบอกต่อ “ท่านยายทวด ข้ายังเขียนตัวอักษรเก่งมากด้วย!”
“เขียนให้ยายทวดดูหน่อยได้หรือไม่” อวิ๋นจูถาม
วั่งซูผายมือ “ข้าเขียนเรียบร้อยแล้ว ท่านรอประเดี๋ยว ข้าจะไปหยิบมาเดี๋ยวนี้!”
กล่าวจบวั่งซูก็วิ่งตึงตังไปทางห้องหนังสือ ไม่ทันไรมือของเจ้าตุ้ยนุ้ยก็กำกระดาษขาวที่มีตัวอักษรสีดำแผ่นหนึ่งกลับมา ตัวอักษรบนกระดาษงดงามตรงตามตำราแต่ก็มีส่วนที่แปลกใหม่ ลายเส้นพลิ้วไหวดุจสายน้ำ ทั้งงดงามและพลิ้วไหว งามกว่าตัวอักษรที่ผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยเป็นผู้เขียน
จิ่งอวิ๋นเหลือบมองกระดาษคัดอักษรของตนเอง แล้วถามด้วยสีหน้านิ่งสงบ “น้องสาว ตัวอักษรที่เจ้าเอามาให้ท่านยายทวดดูเขียนอะไรไว้หรือ ให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่”
“ไม่ ไม่ ไม่…ไม่ให้ท่านดู!” วั่งซูใช้ร่างกายน้อยๆ บังพี่ชายเอาไว้
จิ่งอวิ๋นบอกว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าเขียนอะไรไว้ อ่านให้ท่านยายทวดฟังหน่อยสิ”
วั่งซูมองตัวอักษรแปดตัวที่มีแต่ลายเส้นฉวัดเฉวียนบนนั้นกับตัวอักษรเล็กๆ สองตัวที่ลงชื่อเอาไว้ นางเกาศีรษะพลางเค้นสมองคิด เขียนว่าอะไรกันนะ
อักษรสี่ตัว อักษรสี่ตัว แล้วก็ชื่ออีกชื่อหนึ่ง บวกลบคูณหารดูแล้วน่าจะเป็น…
วั่งซูยืดหน้าอกน้อยๆ ของตนเอง “มั่งคั่งเทียมเท่าทะเลบูรพา อายุยืนปานประหนึ่งภูเขาทักษิณ วั่งซู!”
แต่ความจริงแล้วตัวอักษรบนกระดาษเขียนเอาไว้ว่า…“เจ้าเด็กเจ้าเล่ห์ กล้าขโมยตัวอักษรข้า ฮ่าๆ!”
…
อวิ๋นจูปฏิสัมพันธ์กับเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองได้ดีกว่าที่จินตนาการเอาไว้มาก เจ้าซาลาเปาน้อยชอบนาง นางเองก็ชอบพวกเขา แน่นอนว่าใต้เท้าเจ้าสำนัก ฟู่เสวี่ยเยียนกับเจ้าตัวน้อยที่เพิ่งเกิดมาก็ด้วย
พูดไปแล้วก็แปลก ตั้งแต่ใต้เท้าเจ้าสำนักถูกจีหมิงซิวลักพาตัวกลับมาที่ตระกูลจี ไม่ว่าพบผู้ใดเขาล้วนหน้าบูดหน้าเบี้ยวใส่เสมอ ทว่าพอเป็นอวิ๋นจูเขากลับทำตัวดีอย่างยิ่ง ยามอยู่ต่อหน้าอวิ๋นจูเขาว่าง่ายราวกับลูกแกะตัวน้อย ไม่พองขนเลยสักนิดดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
หลายวันนี้ปริมาณการกินของเจ้าตัวน้อยเพิ่มขึ้นมาบ้างแล้ว พอกินมากขึ้นก็โตเร็วขึ้นแล้ว แม้จะยังขนาดตัวไม่เท่าทารกปกติทั่วไป แต่เมื่อเทียบกับสภาพที่ต้องกังวลอยู่ตลอดเวลาว่านางจะสิ้นใจจากไปหรือไม่ก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็นับว่าดูน่ามองขึ้นมากแล้ว
นางยังไม่มีชื่อ แม้แต่ชื่อเล่นตอนยังเล็กก็ไม่มี
ฟู่เสวี่ยเยียนจึงขอให้อวิ๋นจูตั้งชื่อให้
อวิ๋นจูนิ่งไปครู่หนึ่งก็ท่องบทกวีออกมา “ดรุณน้อยต่างเผ่าเตร็ดเตร่ถนน ยลโฉมฉายละม้ายเผ่ามู่หรง ขอซิ่งเหรินให้น้องน้อยนวลอนงค์ ง้างธนูอาจองปลิดหนึ่งใบหลิว ให้ชื่อว่า…มู่เหยียน[1]ก็แล้วกัน”
ฟู่เสวี่ยเยียนยิ้มน้อยๆ ตอบว่า “มู่เหยียน ไพเราะจริงเชียว”
อวิ๋นจูเล่าว่า “ข้าชอบชื่อนี้มาก แต่เดิมอยากจะตั้งให้ท่านน้าของพวกเจ้า”
“เหตุใดต่อมาจึงไม่ได้ตั้งเล่าเจ้าค่ะ” ฟู่เสวี่ยเยียนถาม
อวิ๋นจูตอบว่า “ตั้งให้แล้ว แต่ตอนนางไปเรียนที่สำนักศึกษา นางเขียนชื่อไม่ได้เสียที นางจึงเปลี่ยนชื่อให้ตัวเอง”
เปลี่ยนมาเป็นอวิ๋น〇〇
อวิ๋นจูอยากจับนางมาตี!
ในที่สุดหลังจากอวิ๋นจูบังคับสารพัด นางจึงตกลงเปลี่ยนชื่อเป็นอวิ๋นซินซิน ทว่าต่อมานางก็รังเกียจว่าตัวอักษรซินสองตัวเขียนยุ่งยากเกินไปจึงตัดเหลือตัวเดียว
ฟู่เสวี่ยเยียนนึกถึงบิดาของลูกนาง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าชื่อ ‘จีมู่เหยียน’ ดูมีความเสี่ยงอยู่นิดๆ ในสมองนางผุดชื่อสำรองชื่อ ‘จีอี่อี่’ ขึ้นมาทันที
ด้านนี้อวิ๋นจูตั้งชื่อให้มู่เหยียนตัวน้อยเสร็จ อีกด้านหนึ่งพวกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็เดินทางกลับมา
ความจริงพวกเขาออกมาจากหน้าผาตั้งนานแล้ว แต่ว่าเพราะต้องทิ้งศพ ต้องปลอมสถานที่เกิดเหตุ จึงชักช้าเสียเวลาไปไม่น้อย แต่ความจริงก็ไม่ถึงกับต้องเสียเวลานานขนาดนี้ สาเหตุที่กลับมาช้าเป็นเพราะพวกเขาโชคไม่ดีพบพวกคนสารเลวจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์ต่างหาก
ตั้งแต่ตอนสู้กันใต้หน้าผาก็มีนักเวทศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งทำป้ายหยกในมือแตกไปแล้ว เมื่อป้ายหยกเสียหาย แมลงกู่ที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ย่อมมีปฏิกิริยา ลัทธิศักดิ์สิทธิ์จึงส่งคนตามมาทันที
พวกเขาไล่ตามมาพบพวกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยระหว่างทางหลังจากพวกเขาเพิ่งปลอมสถานที่เกิดเหตุเสร็จพอดี ทั้งสองฝ่ายจึงต่อสู้กันอย่างดุเดือด
แต่เดิมด้วยพลังของราชันอสูร มียอดฝีมือมามากมายอีกเท่าใดย่อมไม่ต้องกลัว ทว่าศิษย์กลุ่มนี้ดันมีนักเวทศักดิ์สิทธิ์ฝีมือร้ายกาจอย่างยิ่งมาด้วย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานเกรงว่าราชันอสูรจะพลาดท่าฝีมืออันร้ายกาจของนักเวทศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่ยอมให้ราชันอสูรลงมือ ไม่มีราชันอสูรช่วยจัดการพวกนักรบมรณะกับร่างพิษ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานจึงต้องต่อสู้อย่างเปลืองแรงอย่างยิ่ง
ยังดีที่หลังจากฟ้าสาง พวกร่างพิษก็หยุดนิ่งไปเอง
หลังจากไม่มีร่างพิษ ขุมกำลังของอีกฝ่ายก็ลดทอนลงมากกว่าครึ่ง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยลอบโจมตีทีเดียวก็สังหารนักเวทศักดิ์สิทธิ์คนนั้นได้
ราชันอสูรคำรามเกรี้ยวกราดสะเทือนฟ้า นักรบมรณะดาบยาวทั้งหมดหวาดกลัวจนตัวสั่นระริก พวกมันยืนเรียงแถว กระโดดลงหน้าผาไปทีละคนๆ
หลังเสร็จศึก องครักษ์ทั้งหกนายล้วนบาดเจ็บสาหัสอย่างยิ่ง ไห่สือซานมีรอยฟกช้ำเต็มตัว ส่วนเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็บาดเจ็บเล็กน้อย
คนบาดเจ็บล้วนถูกจัดให้พักอยู่ในเรือนด้านข้าง เฉียวเวยกับเฉียวเจิงรักษาพวกเขาทีละคน เวลานี้สมุนไพรที่เฉียวเจิงนำกลับมาจากโรงหมอได้ใช้ประโยชน์แล้ว
หลังจากจัดการบาดแผลของทุกคนหมด สองพ่อลูกจึงไปที่ห้องของแม่ทัพน้อยมู่
อาการของแม่ทัพน้อยมู่ค่อนข้างซับซ้อน มีอาการบาดเจ็บภายในจากการพลัดตกหน้าผา แล้วก่อนหน้านั้นก็มีอาการบาดเจ็บภายนอกจากการร่วงมาจากบันไดสวรรค์อยู่แล้ว แขนขวาของเขาแต่เดิมก็บาดเจ็บเพราะร่วงลงมาอยู่แล้ว หนนี้พลัดตกหน้าผาซ้ำอีกหนก็แทบจะเรียกได้ว่าพิการ
ใบหน้าของเขายังพอรักษาให้กลับคืนสภาพเดิมได้ แต่หนนี้เขาไม่เพียงร่วงตกลงมาแขนขวาหัก แต่ยังร่วงลงมากระแทกกระดูกสันหลังด้วย ดังนั้นแม้แต่เฉียวเจิงก็รับประกันไม่ได้ว่าวันหน้าเขายังจะลุกขื้นยืนได้เหมือนก่อนหน้านี้หรือไม่
ทว่าไม่ว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร เฉียวเจิงก็จะทุ่มสุดกำลัง ไม่ว่าอย่างไรแม่ทัพน้อยแซ่อะไรสักอย่างคนนี้ก็ช่วยหัวผักกาดขาวน้อยกับหัวผักกาดขาวจิ๋วของบ้านเขาไว้ เขาเป็นบุรุษที่รู้จักตอบแทนบุญคุณ!
หลังจากราชันอสูรกลับมา เขาก็ขึ้นไปนั่งเกาะบนต้นไม้อย่างหงุดหงิดเหมือนปลาหมึกตัวโตสีดำสนิทตัวหนึ่ง
อวิ๋นจูเดินออกมาจากห้องของฟู่เสวี่ยเยียน กำลังจะกลับไปที่ห้องของลูกสาว ทันใดนั้นนางก็มองเห็นราชันอสูรบนต้นไม้ นางไม่คิดอะไร แต่ราชันอสูรหันขวับมามองนางทันที ไม่รู้ว่าเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายใดที่ทำให้เขาไม่สบายใจจากร่างของนาง เขาจึงคำรามลั่น เหวี่ยงฝ่ามือใหญ่ฟาดใส่อวิ๋นจูอย่างรุนแรง!
เฉียวเวยกำลังยกถ้วยยาที่ต้มเสร็จแล้วไปให้แม่ทัพน้อยมู่ พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นภาพนี้ นางก็ตกใจจนเกือบจะทำถ้วยหลุดจากมือ “ผู้อาวุโส ท่านจะทำอะไร!”
ทว่ากระบวนท่าสังหารของราชันอสูรถูกซัดออกมาแล้ว เรียกกลับคืนไม่ได้แล้ว
กระแสลมรุนแรงดุดันทำให้เรือนฟางชุ่ยหยวนทั้งหลังถูกห้อมล้อมด้วยไอสังหารมหาศาล เฉียวเวยถูกฝุ่นพัดใส่จนลืมตาไม่ขึ้น เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเพิ่งเปิดประตูออกมาก็ถูกกระแทกกลับเข้าไปในห้อง
ทว่าท่ามกลางสายลมแรงกล้านี้ อวิ๋นจูกลับไม่แม้แต่จะกะพริบตา ระหว่างที่มองราชันอสูรทะยานข้ามอากาศเข้ามาหา นางก็ยกมือเรียวงามขึ้น ขยับมือเป็นสัญลักษณ์ของเคล็ดวิชาอะไรบางอย่าง “ทลาย!”
ราชันอสูรร่วงโครมลงมาอยู่บนพื้น!
ทุกคนตาโตอ้าปากค้าง นั่นราชันอสูรเชียวนะ!
เฉียวเวยอุทานโอ้โห แล้วยกถ้วยยาเดินเข้ามาหา “ท่านยาย ที่แท้ท่านก็ร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียว! แม้แต่ราชันอสูรก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน! ท่านทำได้อย่างไรกัน”
อวิ๋นจูส่ายศีรษะตอบว่า “ไม่ใช่ว่าข้าเก่งกาจหรอก เพียงแต่วิชาที่ข้าฝึกฝนมาบังเอิญข่มกำลังภายในของราชันอสูรได้พอดีก็เท่านั้น”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “ท่านไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวถึงเพียงนี้หรอก”
อวิ๋นจูตอบว่า “ข้าเพียงพูดตามความจริงเท่านั้น ความจริงนักเวทศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นไม่น่ากลัว แม้แต่เจ้าเองก็สังหารพวกเขาได้ง่ายดายดุจยกฝ่ามือ แต่พวกเขาดันรู้วิชาที่กำราบนักรบมรณะได้ ดังนั้นราชันอสูรจึงเสียท่าก็เท่านั้น เรื่องนี้ก็เหมือนกับที่คนทั่วไปมักกล่าวกันว่าสรรพสิ่งล้วนมีสิ่งที่ข่มกันได้อยู่”
เฉียวเวยมองราชันอสูรที่ฟุบอยู่บนพื้นหิมะ ถึงหงุดหงิดแต่ก็ลุกไม่ขึ้น แล้วนางก็สูดน้ำลายเบาๆ “ท่านยาย วิชาของท่าน…ถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้หรือไม่”
[1]มู่เหยียน มู่จากชื่อเผ่ามู่หรง เหยียนแปลว่ารูปโฉม