ตอนที่ 19-2 ยอมรับมารดา บำรุงครรภ์ (2)
วิชาของนางยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ ยอดเยี่ยมกว่านักเวทศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดเสียอีก หากร่ำเรียนวิชานี้เป็น ไฉนมิเท่ากับว่าบุกไปเดินกร่างในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ที่มีนักรบมรณะคุ้มกันได้
“ได้” อวิ๋นจูพยักหน้า
เฉียวเวยตาเป็นประกาย “เรียนวิชานี้ต้องใช้กำลังภายในหรือไม่”
นางไม่มีกำลังภายในหรอกนะ!
อวิ๋นจูส่ายหน้า “ไม่ต้อง”
ดวงตาของหัวหน้าพรรคเฉียวเปล่งแสงในพริบตา “จริงหรือ!”
อวิ๋นจูพยักหน้า “อืม สิ่งที่สำคัญของวิชานี้คือลมปราณ”
เฉียวเวยงุนงง “ลมปราณ วิชาลมปราณน่ะหรือ”
“วิชาลมปราณคืออะไร” อวิ๋นจูถามอย่างไม่เข้าใจ
เฉียวเวยวาดมืออธิบาย “ก็คือ…ก็คือ…ข้าก็บอกไม่ถูก มันคล้ายกับกำลังภายในกระมัง”
อวิ๋นจูตอบสีหน้ามึนงง “ข้าไม่เคยได้ยินคำว่าวิชาลมปราณมาก่อน วิชาที่ข้าใช้ชื่อว่าเคล็ดวิชาหทัยบงกช”
เฉียวเวยลูบคาง “หากข้าฝึกเคล็ดวิชาหทัยบงกชสำเร็จ ข้าก็จะเอาชนะราชันอสูรได้ใช่หรือไม่”
“ไม่ได้” อวิ๋นจูตอบอย่างไม่ลังเล
“เพราะเหตุใดเล่า” เฉียวเวยถามอย่างแค้นใจ
อวิ๋นจูตอบว่า “เจ้าฝึกไม่สำเร็จหรอก”
“…” แทงใจเหลือเกินฐณษซฯื
…
อวิ๋นจูไม่โอ้เอ้อยู่ที่เรือนฟางชุ่ยหยวนนานนัก นางยังจำเรื่องที่ต้องไปสังหารเหยาจวิ้นได้ เหยาจวิ้นบาดเจ็บจนสภาพเช่นนั้นแล้ว ความจริงโอกาสที่นางจะรอดต่อไปมีไม่มาก ทว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ หากไม่ได้สังหารนางกับมือ อวิ๋นจูก็คงไม่อาจนอนหลับได้อย่างสงบ
แน่นอนว่าที่อวิ๋นจูเลือกทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะจุดประสงค์นั้นเพียงอย่างเดียว นางทราบสถานการณ์ของหลานชายตัวน้อยทั้งสองคนแล้ว จีหมิงซิวต้องฝึกวิชาฝ่ามือเก้าสุริยันให้บรรลุอย่างเร่งเด่วน ตอนนี้เขาบรรลุขั้นเจ็ดแล้วและกำลังสัมผัสถึงปราการขั้นที่แปดอยู่เลือนราง แม้นี่จะฟังดูไม่เลว แต่ยิ่งเป็นปราการของขั้นสูงขึ้นก็ยิ่งทำลายได้ไม่ง่ายดายเช่นนั้น
นางต้องแย่งชิงของดีๆ สักชิ้นกลับมาให้หลานชายที่รักของนาง
ส่วนคัมภีร์ขั้นสุดท้ายก็ย่อมอยู่ในมือของเหยาจวิ้นเช่นกัน
ดังนั้นการเดินทางหนนี้ นางไม่ไปไม่ได้
นางไม่บอกกล่าวผู้ใดทั้งสิ้น ฟ้ายังไม่ทันสางนางก็เหน็บมุมผ้าห่มให้บุตรสาวจากนั้นถือธนูจันทร์โลหิตออกเดินทาง
…
บนเทือกเขาที่ทอดสายตามองไปไร้จุดสิ้นสุดแห่งหนึ่ง ชางจิวฟุบคว่ำหน้าอยู่บนพื้นหิมะอันเย็นเฉียบไม่รู้นานเท่าใดแล้ว จู่ๆ เขาก็เจ็บหน้าอกแปลบหนึ่งแล้วกระอักเลือดคำหนึ่งออกมา
ต้องขอบคุณการกระอักเลือดหนนี้ ในที่สุดเขาก็เริ่มได้สติขึ้นมาเลือนราง
สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากตื่นมาก็คือตามหาเงาร่างของฮองเฮา ทว่าบนพื้นนอกจากซากตัวรถม้าที่เกลื่อนกลาดอยู่ ไหนเลยจะยังมีเงาคนสักครึ่งคนอยู่อีก
หลังจากเขาสลบไปก็มีหิมะตกลงมาอีกห่าใหญ่ มันจึงกลบรอยเท้าบนพื้นไปหมดแล้ว ทว่าต่อให้มองไม่เห็นรอยเท้าก็ยังเดาได้ว่าพวกเขาคงกลับเมืองเยี่ยเหลียงไปแล้ว
ส่วนฮองเฮาที่ถูกยิงด้วยธนูจันทร์โลหิตก็มีโอกาสแปดเก้าในสิบส่วนที่จะได้รับผลสะท้อนกลับ…
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ชางจิวก็ไม่มีเวลาสนใจสิ่งอื่นอีกต่อไป เขาข่มกลั้นความเจ็บปวดแสนสาหัสทั่วร่างคลานลุกขึ้นมา แล้วมุ่งหน้าเข้าไปในเทือกเขา
ยามที่คนผู้หนึ่งใช้วิชาเชิดหุ่น ทั้งร่างจะตกอยู่ในสภาวะกึ่งตาย ในสภาวะเช่นนี้ไม่ว่ายอดฝีมือคนใดก็ถูกสังหารได้ง่ายดายดุจยกฝ่ามือ
เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน สถานที่ซ่อนตัวของฮองเฮาจึงเร้นลับอย่างยิ่ง นอกจากชางจิว ไม่มีลูกน้องคนใดเคยได้ก้าวออกไปจากสถานที่แห่งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการติดต่อกับโลกภายนอก
ทว่าแม้แต่ศิษย์กับนักรบมรณะที่เฝ้าสถานที่แห่งนั้นก็ไม่ทราบว่าตัวฮองเฮาซ่อนตัวอยู่ที่ใดกันแน่
ชางจิวก้าวเข้าไปในถ้ำที่ตกแต่งอย่างหรูหราเป็นที่สุดแห่งหนึ่ง จากนั้นเขาก็ก้าวเท้าเดินตามอุโมงค์เส้นหนึ่งลงไปใต้ดิน
ข้างใต้คือสุสานโบราณแห่งหนึ่ง ใจกลางสุสานมีกลไกสลับซับซ้อน หากจีหมิงซิวอยู่ที่นี่เขาจะต้องมองออกแน่นอนว่ามันเหมือนกลไกฉบับย่อของสุสานองค์หญิงเจาหมิง
ชางจิวเลี้ยวเก้าหนเดินผ่านสิบแปดโค้งจนมาถึงในห้องสุสานแห่งหนึ่ง หลังจากเปิดฝาโลงหินมองเข้าไปด้านในเขาก็ชะงักนิ่งในพริบตา “นายท่านขอรับ”
“แค่กๆ…”
ภายในโลงหินอีกโลงหนึ่งมีเสียงไอที่พยายามจะข่มกลั้นไว้ดังขึ้น
ชางจิวรีบปิดโลงหินโลงนี้แล้วไปเปิดฝาโลงอีกโลงหนึ่ง โลงหินอีกโลงนั่นเป็นโลงหินของเด็ก มันคับแคบอย่างยิ่ง ร่างกายของฮองเฮาต้องขดตัวงออยู่ด้านในอยู่ในท่าที่น่าเหลือเชื่อ “นายท่านเหตุไฉนท่านจึงไปอยู่ตรงนั้น”
ฮองเฮาส่งมือให้เขา “ไม่ต้องถามมาก..รีบพยุงข้าขึ้นเร็ว…”
ชางจิวรีบอุ้มฮองเฮาออกมาจากโลงหิน เขาอุ้มนางขึ้นไปยังห้องลับหน้าตาคล้ายห้องนอนที่อยู่ชั้นบน แล้ววางฮองเฮาลงบนเตียงนุ่มนิ่มที่เย็นเฉียบ จากนั้นหยิบน้ำอมฤตออกมาให้นางดื่มลงไปสองหยด
น้ำอมฤตเป็นยาวิเศษสำหรับการรักษาอาการบาดเจ็บ น้ำอมฤตที่เมืองเยี่ยเหลียงใช้มีความเข้มข้นไม่ถึงหนึ่งในสิบของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ทว่านั่นก็มีผลลัพธ์ยอดเยี่ยมมากแล้ว น้ำอมฤตที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ปรุงออกมายิ่งเป็นทองคำในหมู่ยารักษาอาการบาดเจ็บ
ไม่ว่าได้รับบาดเจ็บมากเท่าใด น้ำอมฤตสองหยดลงไปในท้องก็สมควรหายดีจนหมดแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าฮองเฮาเพิ่งดื่มลงไปได้ไม่ทันไรก็เหมือนถูกคนซัดฝ่ามือใส่สองฝ่ามือ กระอักเลือดออกมาสองคำทันที
หลังจากเห็นฮองเฮากระอักเลือด ชางจิวก็หน้าถอดสี เขารู้ว่านายท่านได้รับบาดเจ็บ แต่คิดไม่ถึงว่าจะบาดเจ็บหนักหนาเช่นนี้ “นายท่าน…ท่าน…”
ฮองเฮาเอ่ยอย่างอ่อนแรงแต่เต็มไปด้วยความชิงชัง “ไม่มีประโยชน์…นางคนต่ำช้าคนนั้น…ทำร้ายข้าจนถึงปราณกำเนิด…ไม่ว่ายาอะไร…ก็รักษาไม่หายแล้ว”
ชางจิวขมวดคิ้ว “นายท่าน ท่านอย่าพูดในแง่ร้ายเช่นนี้ ต้องมีหนทางแน่!”
ดวงตาของฮองเฮาทอประกายโหดเหี้ยมเลือนราง “นางคนต่ำช้าคนนั้น…นางไม่ปล่อยข้าไปง่ายๆ เช่นนี้แน่…”
ชางจิวตอบว่า “นายท่านโปรดวางใจ นางตามหาที่นี่ไม่พบหรอกขอรับ นางต้องคิดว่านายท่านกลับไปลัทธิศักดิ์สิทธิ์แล้วแน่ หากนางกล้าบุกไปที่ลัทธิศักดิ์สิทธิ์จริงก็เท่ากับพาตนเองไปติดกับ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์มียอดฝีมือมากมายถึงเพียงนั้น นางจะเอาชนะได้อีก”
ฮองเฮากระอักเลือดออกมาอีกหนแล้วเช็ดมุมปาก นางเอ่ยอย่างเย็นชา “สมัยนั้นอดีตเจ้าลัทธิ…ไม่ควร…ใจอ่อนเมตตา…นางคนต่ำช้าคนนั้นเลย…ดูสิ…นางก่อเภทภัยอันใดขึ้นมา…”
ชางจิวมองสีหน้าที่ซีดเผือดจนเริ่มดูดำคล้ำของนาง แล้วเอ่ยอย่างกังวลใจ “นายท่านหยุดพูดก่อนเถิดขอรับ ข้าจะไปตามหาสมุนไพรมาให้ท่านเดี๋ยวนี้”
ฮองเฮาบอกอย่างอ่อนแรง “ไม่ต้องหาสมุนไพรแล้ว…สมุนไพรอันใดก็ไร้ประโยชน์…เจ้าพาข้าออกไปจากที่นี่…ข้ากลัวว่านางคนต่ำช้าผู้นั้นจะตามมา…”
“นางตามหาไม่พบหรอกขอ…”
ชางจิวยังเอ่ยไม่ทันจบ เสียงกัมปนาทสะเทือนขุนเขาก็ดังลอยมาจากเหนือผืนดิน ต่อจากนั้นอวิ๋นจูก็เอ่ยข่มขู่อย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “เหยาจวิ้น เจ้าจะไสหัวออกมาเองหรือจะให้ข้าไปต้อนเจ้าออกมา”