ตอนที่ 20-1 ความตายของฮองเฮา
ฮองเฮากับชางจิวหน้าถอดสี
ชางจิวคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่นายท่านของตนพูดจะกลายเป็นจริง สตรีนามอวิ๋นจูผู้นี้ตามมาจริงๆ แต่นี่เป็นไปได้อย่างไร ที่แห่งนี้เร้นลับถึงเพียงนี้แท้ๆ แม้แต่จักรพรรดิสวรรค์เองก็ไม่แน่ว่าจะหาพบ แต่สตรีนางนี้…สตรีนางนี้ใช้เวลาเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืนก็ตามมาถึงประตูได้อย่างง่ายดายได้เช่นไร
อย่าว่าแต่ชางจิวที่ตกตะลึง ฮองเฮาตกตะลึงเสียยิ่งกว่าชางจิวอีก
แม้ปากนางจะพูดว่าอวิ๋นจูคงไม่ปล่อยนางไปแน่ แต่นั่นก็เป็นการคาดการณ์ไว้ก่อนเท่านั้น ความจริงในใจนางไม่เชื่อว่าอวิ๋นจูจะตามหาที่นี่พบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นนางคิดว่าอวิ๋นจูจะบุกไปลัทธิศักดิ์สิทธิ์เพื่อสืบข่าวนางจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์ก่อน ต่อให้มีความเป็นไปได้หนึ่งในหมื่นที่อวิ๋นจูจะสืบที่อยู่ของนางมาได้จากปากของประมุขคนอื่น ทว่านั่นก็สมควรจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลายวันให้หลัง…
ผู้ใดจะคาดคิดว่านางจะมาถึงวันนี้
หากรู้ก่อนว่าจะเป็นเช่นนี้ นางคงไม่พูดจาไม่เป็นมงคลเช่นนี้หรอก
ฮองเฮาโกรธจนหัวใจปวดแปลบ
ชางจิวขมวดคิ้วบอกว่า”นายท่าน ข้าจะให้คนพาท่านหนีไปก่อน ข้าจะไปถ่วงเวลานางไว้!”
ฮองเฮานวดหน้าอกที่ปวดร้าวแล้วเค้นเรี่ยวแรงออกมาตอบว่า “เจ้าไม่ต้องไป เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง…”
ชางจิวตอบด้วยน้ำเสียงจริงใจ “แม้ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง แต่ให้ถ่วงเวลานางไว้สักหน่อยก็ยังพอทำได้อยู่ ขอเพียงนายท่านหนีออกจากยอดเขาชังมั่วมุ่งตรงไปที่ยอดเขาวั่นชิงก็น่าจะสลัดสตรีนางนี้พ้น!”
ฮองเฮาหัวเราะหยัน “หนีหรือ นางคิดว่าข้ากลัวนางหรืออย่างไร”
ชางจิวร้อนใจแล้ว “นายท่าน! ยามนี้ไม่ใช่เวลามาทำตามอารมณ์นะขอรับ! ท่านบาดเจ็บหนักอยู่ จะเป็นคู่ต่อสู้ของสตรีนางนั้นได้อย่างไร ไม่สู้หลบคมอาวุธไปก่อน รอจนกลับมาแข็งแรงดีแล้วค่อยกลับมาเอาคืน เหยียบย่ำนางให้จมธรณี!”
ฮองเฮาหอบหายใจ เอ่ยเนิบนาบ “แม้ข้าได้รับบาดเจ็บจนไม่เหมาะจะต่อสู้กับนางซึ่งหน้า แต่ยอดเขาชังมั่วของข้าหาใช่สถานที่ที่นางอยากมาก็มา อยากไปก็ไป!”
ชางจิวได้ยินคำนี้ สีหน้าก็อึ้งไปครู่หนึ่ง “นายท่านคิดจะ…”
ฮองเฮาเอ่ยอย่างดูแคลน “ยอดเขาชังมั่วกลไกสลับซับซ้อน หากนางไม่กลัวก็ลองบุกเข้ามา!”
…
ด้านล่างของยอดเขาชังมั่ววุ่นวายโกลาหลมาพักใหญ่แล้ว ศิษย์ลัทธิศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วนกำลังประมือกับอวิ๋นจูอยู่ ทว่าอวิ๋นจูไม่ให้โอกาสผู้ใดเข้าประชิดตัวทั้งสิ้น คันธนูสีดำแวววาวคันนั้นราวกับกำลังกู่ร้องอย่างฮึกเหิมใต้ฝ่ามือกับปลายนิ้วของนาง
ทุกครั้งที่โจมตีออกไป มันล้วนพาไอสังหารดั่งจะทำลายฟ้าดินออกมาด้วย
พลังที่ธนูจันทร์โลหิตสำแดงออกมาล้วนแตกต่างไปตามแต่ละคน ยิ่งคนถือพลังแข็งแกร่งมาก มันก็ยิ่งมีพลังมากขึ้น
ในมือฮองเฮงก็มีธนูจันทร์โลหิตอยู่คันหนึ่ง มันเป็นธนูคันที่เคยเป็นของตำหนักราชครู แต่ตัวนางไม่เคยทำพิธีบวงสรวงธนูจันทร์โลหิต หลังจากดวงจิตออกมาจากร่างของอวิ๋นซิน นางจึงง้างคันธนูไม่ได้อีกแล้ว
แน่นอนว่าทำพิธีบวงสรวงตอนนี้ก็ไม่นับว่าสายเกินไป
พิธีบวงสรวงก็เป็นดังชื่อของมัน มันก็คือการถวายตนเองให้แก่ธนูจันทร์โลหิต หากคันธนูพัง คนก็มอดม้วย ทำเช่นนี้ฟังดูเสี่ยงอันตรายมาก แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้น ธนูจันทร์โลหิตเป็นอาวุเทพไม่อาจทำลายได้นั่นเป็นข้อแรก ข้อที่สองผู้คนตัดใจทำลายมันไม่ลง ส่วนข้อที่สามไม่จำเป็นต้องทำลายคันธนู อวิ๋นจูก็คงจะฆ่านางอยู่แล้ว
“เจ้าเฝ้าโถงสุสานไว้ ข้าต้องใช้เวลาหนึ่งก้านธูป” ฮองเฮาสั่งเสียงเย็นชา
ชางจิวมองนางกับธนูจันทร์โลหิตในมือนางอย่างเป็นกังวล “ร่างกายของท่านในยามนี้ ยัง…เสียกำลังภายในมากมายเช่นนั้นได้อีกหรือขอรับ”
สิ่งที่ชางจิวอยากจะพูดจริงๆ ก็คือท่านบาดเจ็บจนมีสภาพเป็นเช่นนี้แล้วยังจะมีกำลังภายในมากพอให้ผลาญเล่นอีกหรือ ไม่ว่าอย่างไรการทำพิธีบวงสรวงก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก คนที่อยากทำพิธีบวงสรวงมีมากมาย แต่คนที่ทำสำเร็จจริงๆ กลับมีอยู่เพียงไม่กี่คน หากล้มเหลวขึ้นมาไม่ต้องให้อวิ๋นจูลงมือแล้ว นายท่านคงได้ไปพบยมบาลด้วยตนเอง
ฮองเฮากุมหน้าอกที่เจ็บปวดเอาไว้แล้วเอ่ยอย่างเอาจริง “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า จงทำตามที่ข้าบอก จำไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องป้องกันไว้ให้ได้หนึ่งก้านธูป”
ชางจิวเห็นนางตัดสินใจแน่วแน่แล้วจึงไม่เกลี้ยกล่อมต่อ เขาก้มตัวคำนับ “ข้าน้อยรับบัญชา”
ชางจิวเดินออกมาจากห้องโถงสุสาน เมื่อเขาขึ้นมาถึงบนพื้นดิน ศิษย์ที่ล้อมโจมตีอวิ๋นจูอยู่เหล่านั้นก็ถูกอวิ๋นจูยิงลงไปกองกับพื้นมากกว่าครึ่งแล้ว คนที่ยังไม่ถูกยิงจนล้มต่างยืนกำกระบี่ทำหน้าหวาดผวา เห็นชัดว่าพวกเขาถูกสตรีเส้นผมสีเงินยวงคนนี้ทำลายขวัญกำลังใจอย่างรุนแรง
นี่จะโทษว่าพวกเขาขี้ขลาดก็ไม่ได้ หากพูดเรื่องพลังแล้ว คนที่กราบเข้ามาเป็นศิษย์สังกัดท่านประมุขย่อมเป็นคนที่โดดเด่นในหมู่ศิษย์ ทว่าในด้านประสบการณ์ เพราะพวกเขากราบเข้ามาเป็นศิษย์ของท่านประมุขจึงได้อยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ ไม่เคยประสบพบพานคลื่นลมมากมายนัก ความกล้าหาญจึงสู้ศิษย์ระดับล่างที่ถูกดขี่มาตลอดเหล่านั้นไม่ได้
เมื่อพวกเขาถูกทำลายขวัญกำลังใจลงแล้วก็ยากที่จะปลุกขวัญกำลังใจขึ้นมาใหม่อีกหน
“มีแต่พวกขี้ขลาดอย่างนั้นหรือ” อวิ๋นจูมองศิษย์ที่กล้าถือกระบี่แต่ไม่กล้าบุกเข้ามากลุ่มนั้นอย่างเย็นชา นางก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว คนกลุ่มนั้นก็ถอยกรูดไปด้านหลังหลายก้าว ดูจากสถานการณ์แล้ว นางเป็นฝ่ายบดขยี้พวกเขาอย่างสิ้นเชิง
ชางจิวถลึงตาใส่ศิษย์ทั้งหลาย ชิงชังนักที่มิอาจตีเหล็กเป็นเหล็กกล้า “นายท่านให้พวกเจ้าปกป้องยอดเขาชังมั่วไว้ให้ดี แต่พวกเจ้าปกป้องเช่นนี้หรือ เป็นลูกศิษย์ของท่านประมุขเหยาจีแท้ๆ แต่ดันกลัวสตรีนางหนึ่ง หากเล่าลือออกไป ไม่กลายเป็นตัวตลกของทั้งลัทธิศักดิ์สิทธิ์หรือไร”
ศิษย์คนหนึ่งตอบอย่างตระหนกลนลาน “นาง แต่นางไม่ใช่สตรีธรรมดา นางมีธนูจันทร์โลหิต…”
“เจ้าสารเลว!” ชางจิวฟาดฝ่ามือออกมาจบชีวิตของศิษย์คนนั้นทันที ศิษย์คนที่เหลือหน้าซีดเผือด เขากวาดสายตามองศิษย์ทั้งหลายแล้วขู่อย่างไม่รักษาน้ำใจสักนิด “ผู้ใดขลาดกลัวข้าศึกอีกก็จะเป็นเช่นเดียวกับเขา!”
พูดถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขาจะไม่กล้าสู้อีกได้อย่างไร
แต่เดิมพวกเขาก็มีพลังไม่อ่อนด้อยอยู่แล้ว เพียงแต่พวกเขาถูกการเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่อย่างกะทันหันของอวิ๋นจูทำให้เสียขวัญก็เท่านั้น ตอนนี้เมื่อใจเย็นลง ทุ่มความคิดต่อกรเต็มที่ พวกเขาจึงกลายเป็นขุมกำลังที่ไม่อาจดูแคลนได้ขุมหนึ่ง
ชางจิวเห็นขวัญกำลังใจทหารกลับมามั่นคงแล้ว จึงรีบตวาดเสียงดังว่า “ตั้งค่ายกล!”
ศิษย์ที่เหลือจัดตำแหน่งเป็นค่ายกลสัตตบงกชในตำนาน ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลที่ราชครูเคยใช้ต่อสู้กับจีหมิงซิว แต่น่าเสียดายถูกอาจารย์ตาฮั่วกับวั่งซูน้อยถล่มจนราบคาบ หนนี้พลังของทุกคนล้วนเหนือกว่าศิษย์กลุ่มนั้นของตำหนักราชครู จัดการสตรีนางเดียวน่าจะเหลือเฟือแล้ว
อวิ๋นจูมองค่ายกลที่ดูเหมือนแข็งแกร่งมิอาจทลายนี้ แล้วแค่นเสียงหยันอย่างดูแคลน นางง้างสายธนู ยิงธนูดอกหนึ่งออกไปอย่างเยือกเย็น!
ศิษย์ทั้งหมดถูกยิงกระเด็นไปทันที
ตั้งแต่เริ่มแรกชางจิวก็ไม่คิดอยู่แล้วว่าค่ายกลนี้จะขังอวิ๋นจูไว้ได้ตลอด แต่ดีเลวก็น่าจะถ่วงเวลาได้สักครู่หนึ่งไม่ใช่หรือ เหตุไฉนจึงถูกอวิ๋นจูทำลายได้ง่ายดายเช่นนี้เล่า
อวิ๋นจูหันไปมองชางจิว “ท่านประมุขของพวกเจ้ากลัวจนไม่กล้าออกมาแล้วหรือถึงส่งพวกขยะไร้ประโยชน์มากมายเช่นนี้มาถ่วงเวลาให้นาง นางคิดว่าตนเองยังจะหนีได้อีกหรือ”
ชางจิวยืนอยู่บนไหล่เขา เขาก้มลงมามองนางแล้วว่า “อวิ๋นจู เจ้าอย่าได้ลำพองไปนัก ทุกสิ่งเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ผู้ใดจะชนะ ผู้ใดจะแพ้ก็ยังไม่แน่หรอก!”
อวิ๋นจูไม่ตอบคำ นางเพียงง้างธนูจันทร์โลหิตเล็งใส่ชางจิว
ชางจิวหน้าถอดสี ขยับหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็เห็นจุดที่เขายืนอยู่แต่เดิมระเบิดเสียงดังสนั่น แม้แต่หินผาก็ถล่มยุบลงไปบริเวณหนึ่ง
เขาจำได้ว่าธนูคันที่สองไม่ได้ใช้แบบนี้…
เหตุไฉนพอมาอยู่ในมือของสตรีนางนี้แล้วพลังจึงเพิ่มพรวดขึ้นมามากมายถึงขนาดนี้…
แต่เดิมชางจิวก็ไม่กล้าประมาทอยู่แล้ว ตอนนี้เขายิ่งรอบคอบมากขึ้นอีกสามส่วน เขาเรียกศิษย์ที่เหลือกลับมาแล้วปล่อยนักรบมรณะดาบยาวฝีมือร้ายกาจออกไปหลายคน พร้อมกับชาวบ้านที่ร่างกายติดพิษอีกจำนวนหนึ่ง
ส่วนตัวเขาเองถอยกลับไปอยู่หลังกลไกด้านในถ้ำ
เขาฟังเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอกพลางคำนวณเวลาอยู่ในใจเงียบๆ
เวลาหนึ่งก้านธูปจะว่านานก็ไม่นาน จะว่าสั้นก็ไม่สั้น หากใช้มาฝึกลมปราณเพียงพริบตาเดียวก็ผ่านพ้นไปแล้ว แต่หากนำมาใช้ขัดขวางอวิ๋นจู นั่นย่อมยาวนานเหมือนเป็นวันเป็นปี
อวิ๋นจูโจมตีนักรบมรณะกับชาวบ้านจนล่าถอยไปเร็วกว่าที่ชางจิวจินตนาการไว้เล็กน้อย ภายในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ อวิ๋นจูก็ถือธนูจันทร์โลหิตพุ่งเข้ามา
ชางจิวเปิดกลไกชั้นที่หนึ่ง ลูกบอลเพลิงนับไม่ถ้วนเหวี่ยงเข้ามาใส่อวิ๋นจูราวกับตาข่ายไฟถี่ยิบ ส่วนอวิ๋นจูตกอยู่ใจกลางตาข่ายเพลิง
กำลังภายในของอวิ๋นจูไม่ใช่จะดึงเอามาใช้ได้ไม่มีวันหมดสิ้น เขาผลาญพลังของนางได้มากเท่าใด ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อฮองเฮามากเท่านั้น
แต่ชางจิวประเมินพลังของอวิ๋นจูต่ำเกินไป แค่ลูกบอลเพลิงที่นับเป็นระเบิดไม่ได้จำนวนนิดเดียว อวิ๋นจูไม่จำเป็นต้องใช้กำลังภายในด้วยซ้ำ อาศัยเพียงท่าเท้าอันพิสดารก้าวสองสามทีก็เดินผ่านมาได้แล้ว
ชางจิวต้องรีบเปิดกลไกด่านที่สองอย่างรวดเร็ว กลไกด่านนี้คือควันพิษ หมอกควันชนิดนี้มีพิษไม่รุนแรงมากนัก แต่สีเข้มทึบทำให้ผู้คนหลงทิศทางในพริบตา
หากขังอีกฝ่ายอยู่ในหมอกควันหนาทึบนี้ได้ ย่อมเป็นเรื่องดีงามเรื่องหนึ่ง
เพียงแต่ว่าสิ่งที่ทำให้ชางจิวผิดหวังอีกครั้งก็คือ อวิ๋นจูเดินออกจากควันพิษมาเองอย่างไม่บุบสลายใดๆ ทั้งสิ้น
ชางจิวถลึงตามองนางอย่างไม่อยากเชื่อ
อวิ๋นจูเอ่ยขึ้นมาว่า “ลูกไม้กระจอก!”
ตอนนี้เวลาเพิ่งจะผ่านไปครึ่งก้านธูป เหลือเวลาอีกครึ่งหนึ่งแต่คงขวางไว้ไม่ได้ง่ายๆ แล้ว เพราะตอนที่ชางจิวคิดจะเปิดกลไกชั้นที่สาม อวิ๋นจูก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เขาประมือกับอวิ๋นจู
อวิ๋นจูมีธนูจันทร์โลหิตอยู่ในมือ ชางจิวจะเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้เช่นไร
เวลาเพียงครู่เดียวเขาก็ถูกอวิ๋นจูฝ่าผ่านไปได้
โถงสุสานใต้อุโมงค์สร้างเลียนแบบสุสานขององค์หญิงเจาหมิง ยามนั้นฮองเฮาประทับใจมากที่สุสานแห่งหนึ่งสร้างขึ้นมาได้ล้ำลึกพิสดารเช่นนั้น เมื่อกลับมาจึงเรียกช่างฝีมือมาสร้างสุสานฉบับย่อส่วนขึ้นมา ข้อดีของการทำเช่นนี้ก็คือขัดขวางผู้บุกรุกส่วนใหญ่เอาไว้ได้ชะงัด ข้อเสียก็คืออวิ๋นจูเป็นมารดาของเจาหมิง นางจะไม่คุ้นเคยกับสุสานของเจาหมิงได้หรือ
อวิ๋นจูเปลืองแรงไม่เท่าเป่าฝุ่นก็ตามหาเหยาจวิ้นที่อยู่ในห้องลับพบแล้ว
ชางจิวลากเท้าอันหนักอึ้งแบกบาดแผลเข้ามาอย่างเหนื่อยล้า เขาคุกเข่าข้างหนึ่งข้างกายเหยาจวิ้นแล้วเอ่ยอย่างละอายใจ “ข้าน้อยไร้ความสามารถ มิอาจขวางไว้ได้”
เหยาจวิ้นนั่งอยู่บนพื้น นางถือธนูจันทร์โลหิตแล้วลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า ปากเอ่ยกับชางจิว ขณะเดียวกันแววตาก็ไม่ละออกจากใบหน้าของอวิ๋นจู “ไม่เป็นไร พิธีบวงสรวงสำเร็จแล้ว”
ชางจิวรู้สึกยินดีอยู่ในใจ!