ตอนที่ 1 ซาลาเปาน้อยทั้งสอง
สายลมเหมันต์หนาวยะเยือกยิ่งนัก
ภายในกระท่อมน้อยผุพังแห่งหนึ่ง เด็กน้อยผอมโซที่สวมเสื้อผ้าบางๆ สองคนคุกเข่าอยู่บนพื้น คอยเฝ้าหญิงสาวผู้หลับใหลไม่ตื่นตรงหน้า
หญิงสาวดูเหมือนไม่หายใจแล้ว บนร่างมีเสื้อนวมสองตัวของเด็กน้อยห่มอยู่แล้วสุมทับด้วยฟางรกรุงรัง แต่เสื้อผ้าของพวกเขาเล็กเกินไป มือและเท้าของนางจึงยังโผล่มาต้องอากาศเย็น
เด็กชายตัวน้อยถอดกางเกงนวมออกมาคลุมเท้าของหญิงสาว เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงเหลือเพียงกางเกงบางๆ ตัวเดียว
ลมหนาวพัดมาหอบหนึ่ง เขาก็จามออกมาในทันใด
เด็กหญิงตัวน้อยถามอย่างขลาดกลัว “ท่านพี่ ท่านหนาวหรือไม่”
เด็กชายยกมือเล็กจ้อยที่เปรอะเปื้อนขึ้นมาลูบหัวนาง แล้วเอ่ยตรงข้ามกับความรู้สึกในใจ “พี่ไม่หนาว เจ้าหิวหรือไม่”
เด็กหญิงพยักหน้า แต่จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “ท่านพี่อย่าไป ข้ากลัว”
ฟ้ามืดแล้ว ที่นี่ไม่มีแม้แต่โคมไฟสักดวง อาศัยเพียงแสงจันทร์นอกหน้าต่างลอดเข้ามาส่องบางตำแหน่ง แต่แสงสลัวเท่านี้ไม่เพียงพอขับไล่ความหวาดกลัวในใจนาง
เด็กชายเอ่ยเสียงเบา “พี่ไปเดี๋ยวเดียวก็กลับแล้ว เจ้าเป็นเด็กดีอยู่เฝ้าท่านแม่เข้าใจหรือไม่ จับมือท่านแม่ไว้จะไม่กลัว”
เด็กหญิงคว้ามือของหญิงสาวมากอดไว้อย่างไม่ค่อยจะเข้าใจ มือข้างนั้นไม่มีความอบอุ่นเหลืออยู่แล้ว มันเย็นเฉียบประหนึ่งมีด แต่นางก็ยังมีกำลังใจเพิ่มขึ้นมาก นางพยักหน้าอย่างเข้มแข็ง “ข้าไม่กลัวแล้ว”
เด็กชายลุกขึ้นเดินออกไป
เด็กหญิงกอดมือของหญิงสาวเอาไว้ ท่านแม่ ท่านแม่ นางร้องเรียกครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับว่าการทำเช่นนี้จะทำให้นางไม่กลัวจริงๆ
เมื่อเด็กชายกลับมา ในมือก็มีหมั่นโถวสีขาวนุ่มเพิ่มมาสองลูก ปากคาบน่องไก่น้อยอยู่หนึ่งน่อง
เขาส่งหมั่นโถวให้น้องสาวแล้วหยิบน่องไก่มาถือไว้ในมือ จากนั้นเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “พี่ได้น่องไก่มาเพียงน่องเดียว ให้ท่านแม่กินก่อนดีหรือไม่ รอท่านแม่หายป่วยแล้ว พี่จะหาน่องที่ใหญ่กว่านี้มาให้เจ้า!”
เด็กหญิงมองน่องไก่หอมฉุยจนน้ำลายไหลยืด แต่นางเข้าใจดีว่าท่านแม่ป่วยอยู่ ท่านแม่ต้องการอาหารดีๆ มากกว่านาง
นางกลืนน้ำลาย “อืม ข้าจะกินหมั่นโถว ท่านพี่กินด้วยกัน”
“ได้” เด็กชายกัดหมั่นโถวคำโต เขาต้องดูแลท่านแม่กับน้องสาว เขาจะหิวไม่ได้ จะล้มไม่ได้ แม้ว่าความจริงหมั่นโถวเพียงลูกเดียวจะไม่อิ่มท้องก็ตาม
เขากินไปได้ครึ่งหนึ่งก็เก็บอีกครึ่งหนึ่งไว้ จากนั้นเริ่มป้อนเนื้อไก่ชิ้นน้อยกับหมั่นโถวชิ้นเล็กๆ ให้มารดา
เฉียวเวยตื่นขึ้นมาเพราะถูกยัดบางสิ่งเข้าปาก กระพุ้งแก้มตุงแน่น ไม่รู้ว่าใครยัดอะไรเข้ามาไม่หยุด นางเกลียดการถูกรบกวนเวลานอนที่สุดแล้ว ขณะที่คิดจะหิ้วเจ้าคนที่กลั่นแกล้งกันขึ้นมาตีสักป้าบก็พบว่าตนเองขยับแขนไม่ได้สักนิด
ร่างกายของนางสะท้านเฮือก ลืมตาขึ้นมาทันที!
สวรรค์ นางกำลังเห็นอะไรอยู่ เด็กน้อยคนหนึ่ง! อายุราวห้าขวบ ผมยาวเฟื้อย สวมเสื้อผ้าสีซีด กลางคืนมืดสลัวเกินไป นางจึงมองหน้าเขาไม่ชัด แต่รู้สึกว่าดวงตาดุจแก้วผลึกภูเขาไฟคู่นั้นเปล่งประกายสะกดผู้คน
ลางสังหรณ์บอกนางว่าเจ้าตัวจ้อยผมยาวผู้นี้เป็นเด็กผู้ชาย
คนที่แกล้งยัดของใส่ปากนางเมื่อครู่ก็คือเขาหรือ
เห็นแก่ที่เป็นเด็กน้อย นางจะไม่ถือสาเอาความเขา แต่ประหลาดยิ่งนัก ห้องทดลองของนางห้ามคนไม่เกี่ยวข้องเข้าออก เหตุใดจึงมีเด็กน้อยคนหนึ่งวิ่งเข้ามาได้เล่า
เฉียวเวยถ่มของในปากออกมา “เธอเป็นเด็กบ้านไหน พ่อแม่ล่ะ”
พอเปิดปาก นางก็ต้องตกใจกับเสียงแหบพร่าของตนเอง นางไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แล้วเสียงแหบเช่นนี้ได้อย่างไร
อีกอย่างใครดับไฟ ฮีตเตอร์ก็ไม่ทำงานด้วย!
สมองรับรู้สิ่งแปลกประหลาดติดกันเป็นพรวนจนเฉียวเวยเริ่มปวดหัว
เด็กชายได้ยินเสียงนางสูดปากก็รู้ว่าท่านแม่ไม่สบายตัวอีกแล้วจึงเอ่ยเบาๆ ว่า “ท่านแม่ ท่านเจ็บปวดตรงไหนอีกใช่หรือไม่ ข้านวดให้ท่านดีหรือไม่”
มือน้อยเย็นเฉียบแปะลงบนหน้าผากของเฉียวเวย เฉียวเวยตกตะลึงจนนิ่งอึ้ง
“ท่านพี่ ท่านแม่ตื่นแล้วหรือ” เด็กหญิงตัวน้อยดวงตาเป็นประกายเดินเข้ามาหา “ท่านแม่!”
เจ้าซาลาเปาน้อยสองก้อนเรียกนางว่าท่านแม่พร้อมกัน หากนี่ไม่ใช่การกลั่นแกล้งของใครบางคน ถ้าอย่างนั้น…
เฉียวเวยลูบคลำใบหน้าของตนเอง นางได้ฉายาว่าเฉียวอีฉบับสาวอวบ ใบหน้ากลมจนเหมือนขนมไหว้พระจันทร์ ไม่มีทางที่จะหน้ารูปไข่เล็กจ้อยเดียว!
แล้วก็มือของนางไม่ได้ตรงเหมือนก้านหอมเช่นนี้
แม้ยากจะเชื่อ แต่นางทะลุมิติมาจริงๆ
“ท่านแม่ ไม่เป็นอะไรแล้วหรือเจ้าคะ” เด็กหญิงตัวน้อยซุกเข้ามาในอ้อมแขนของนางเบาๆ ศีรษะน้อยคลอเคลียอยู่ตรงลำคอของนาง ท่านแม่หมดสติไปหลายวันแล้ว เรียกอย่างไรก็ไม่ตื่น นางหวาดผวายิ่งนัก
เด็กชายตัวน้อยก็หวาดผวามากเช่นกัน แต่เขาเป็นลูกผู้ชายจึงไม่แสดงออกมาให้เห็นเช่นนั้นอย่างน้องสาว
เฉียวเวยรู้สึกได้ถึงความกังวลของเด็กน้อยทั้งสองคนจึงถอนหายใจเบาๆ นางโตขึ้นมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า นิสัยรักสันโดษตั้งแต่เล็ก ไม่เข้าใจการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเลี้ยงเด็ก นางควรทำเช่นไรกับเจ้าตัวจ้อยสองคนนี้ดี
เด็กชายเห็นนางเหม่อลอยจึงคิดว่านางหนาว เขาประคองมือเย็นเฉียบของนางขึ้นมาแล้วเป่าลมหายใจใส่ เด็กหญิงเห็นพี่ชายทำเช่นนั้นจึงเอาอย่างบ้าง
นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนใส่ใจดูแลนางจากใจจริงเช่นนี้
ความจริงร่างกายของเจ้าตัวน้อยเย็นเฉียบยิ่งกว่านางเสียอีก เพราะเด็กน้อยทั้งสองถอดเสื้อนวมมาห่มบนร่างนางจนหมดเพื่อให้นางอุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กชาย เขาถอดจนเหลือกางเกงบางๆ ตัวเดียว แบบนั้นจะหนาวเพียงไร
เด็กน้อยแสนดีเช่นนี้ นางจะทอดทิ้งไม่ดูแลก็ไร้หัวใจเกินไปแล้ว
“แม่หายแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้ว แม่จะไม่ป่วยอีกแล้ว มา สวมเสื้อผ้า”
พี่ชายสวมเสื้อผ้าเอง ส่วนน้องสาวเฉียวเวยเป็นคนสวมให้ เห็นชัดว่าเฉียวเวยสวมเสื้อผ้าแบบโบราณไม่ค่อยถนัดนัก กลัดกระดุมอยู่นานก็กลัดไม่สำเร็จ “มืดเกินไป แม่มองไม่เห็น รอเดี๋ยว แม่จะลองหาว่ามีของไว้จุดไฟหรือไม่”
แต่ร่างกายของเจ้าของเดิมอ่อนแอเกินไปแล้วจริงๆ นางเพิ่งลุกขึ้นก็รู้สึกเหมือนโลกหมุนกลับหัว ล้มก้นจ้ำเบ้ากลับลงไปนั่งบนพื้น
“ท่านแม่!”
“ท่านแม่!”
เด็กน้อยสองคนตกใจยิ่งนัก กลัวว่าท่านแม่จะล้มไปแล้วไม่ลุกขึ้นมาอีกเหมือนครั้งก่อน
เฉียวเวยยิ้มระโหยโรยแรง “แม่ไม่เป็นอะไร ลุกเร็วไปหน่อย เลือดเลยแล่นไปเลี้ยงหัวไม่พอ” นั่งอยู่พักหนึ่งก็บอกเด็กชายว่า “พยุงแม่หน่อยได้หรือไม่”
เด็กชายตัวน้อยพยักหน้าแล้วเข้าไปประคองแขนของเฉียวเวยไว้
“ข้าก็จะช่วยด้วย” เด็กหญิงตัวน้อยเข้ามาประคองเฉียวเวยด้วย
ดูสิ สวรรค์เมตตานางไม่เลว ไม่ปล่อยให้นางทะลุมิติมารอความตายที่ชนบทรกร้างแห่งนี้ลำพัง แต่ส่งเทวดาตัวน้อยสองคนมาอยู่ข้างกายนาง
ในใจเฉียวเวยมีความอบอุ่นหลั่งรินเข้ามา นางลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า เมื่อหาตะบันไฟชิ้นหนึ่งพบในห่อผ้าสัมภาระของเจ้าของร่างจึงจุดฟืนในเตาจนติดไฟ
นางอาศัยแสงไฟสว่างกลัดกระดุมให้ลูกสาวจนเรียบร้อย หลังจากนั้นนางจึงเริ่มสำรวจเด็กๆ เครื่องหน้าของเด็กทั้งสองงดงามยิ่งนัก ดวงตาสุกใสเป็นประกาย แววตาของบุตรสาวอ่อนโยนกว่าหน่อย ยามแย้มยิ้มเหมือนจันทร์เสี้ยวโค้งสองดวง งดงามทั้งยังไร้เดียงสา ส่วนบุตรชายค่อนข้างนิ่งขรึม หน้าตามีกลิ่นอายความสูงศักดิ์ที่ติดมาแต่กำเนิด เพราะกินอยู่ไม่ดี ทั้งสองจึงตัวเล็กผอมแห้งยิ่งนัก แขนขาเล็กๆ นั่นไม่ต่างจากก้านปอ นางจับแทบไม่กล้าใช้แรง กลัวว่าหากไม่ระวังจะหักเอาได้
เฉียวเวยไม่ได้รับความทรงจำจากเจ้าของร่างจึงไม่ทราบว่าตนคือใคร แม่ลูกสามคนเหตุใดจึงตกอยู่ในสภาพเลวร้ายเช่นนี้ ในครอบครัวยังมีญาติอยู่หรือไม่ สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ กระทั่งนางตายคนเหล่านั้นยังไม่มาปรากฏตัว ถ้าเช่นนั้นหลังจากนี้ก็ไม่จำเป็นต้องโผล่หัวมาแล้ว
นับจากวันนี้ไป ลูกเป็นของนางผู้เดียว
เฉียวเวยกินหมั่นโถวที่เหลือครึ่งลูกลงท้อง ไก่ครึ่งน่องให้สองพี่น้องแบ่งกันกิน ตอนแรกทั้งสองไม่ยอมกิน เมื่อเฉียวเวยบอกว่าคนป่วยไม่ควรกินของที่มันเกินไป พวกเขาจึงแบ่งกันแทะน่องไก่ทีละนิด
ของที่เย็นแล้วพวกนี้หากเป็นชาติก่อน นางไม่มีทางให้เด็กน้อยกินเด็ดขาด แต่ตอนนี้นางไม่มีทางเลือก
หลังจากเด็กน้อยกินเสร็จก็ล้มตัวนอนบนกองฟาง เฉียวเวยหยิบฟางมาสุมห่มให้เด็กๆ พลางขบคิดว่ามื้อเช้าวันพรุ่งนี้จะกินอะไรดี