ตอนที่ 2 เริ่มต้นชีวิตใหม่
ฟ้ายังไม่สว่าง เฉียวเวยก็ตื่นแล้ว นางลืมตาขึ้นมองเจ้าซาลาเปาน้อยสองก้อนที่ซุกอยู่บนร่างตน ความอบอุ่นแล่นเข้ามาในอก
เฉียวเวยอาศัยแสงอรุณอ่อนจางที่ขอบฟ้าเดินสำรวจด้านในกับด้านนอกกระท่อม
ด้านนอกเป็นลานหน้าบ้านว่างโล่ง มีโอ่งน้ำกับบ่อน้ำ แล้วก็มีเครื่องมือที่ขึ้นสนิมอยู่อีกจำนวนหนึ่ง ห้องครัวอยู่ด้านข้างหม้อชามรามไหวางเละเทะ ในหม้อมีน้ำแกงข้นที่กินเหลือ โถข้าวสารเหลือติดก้น ตะกร้าผักด้านข้างมีหูหลัวปัว[1]ที่ไม่สดนักแอ้งแม้งอยู่สองหัว
เฉียวเวยเก็บกวาดห้องครัวจนสะอาดเป็นอย่างแรก แล้วจึงตักน้ำจากบ่อมาต้มจนเดือดเพื่อฆ่าเชื้อบรรดาหม้อไหจานชาม หลังจากนั้นจึงลับมีดที่สนิมเกาะจนคมกริบวาววับ สิ่งอื่นใดนางยังพอทน แต่มีดปล่อยผ่านไม่ได้
นางวุ่นวายอยู่ในครัวด้วยความตั้งใจระดับเดียวกับตอนอยู่ในห้องผ่าตัดสักพัก ควันร้อนจากการทำครัวก็ลอยอวลอ้อยอิ่งขึ้นไปยังท้องฟ้าที่แสงอรุณฉายส่อง หมู่บ้านที่ตีนเขาเริ่มมีควันไฟยามหุงหาอาหารลอยขึ้นมาแล้วเช่นกัน ภูเขาสีเขียวครึ้มถูกไอหมอกปกคลุมจนแยกไม่ออกว่าคือเมฆหรือควัน
เฉียวเวยต้มข้าวต้มเสร็จเตรียมจะยกกลับไปในห้อง สองพี่น้องก็ตื่นแล้ว พวกเขาวิ่งเรียงกันเข้ามาในห้องครัว
“ท่านแม่!” เด็กหญิงยิ้มจนตาหยีโถมกายเข้ามาในอ้อมกอดของเฉียวเวย ร่างกายของนางนุ่มนิ่ม มือน้อยอันอบอุ่นแปะลงบนตัวเฉียวเวย เฉียวเวยชอบใจ
เฉียวเวยลูบหัวเด็กหญิง เพราะกลัวข้าวต้มในชามจะหกใส่จึงบอกนางว่า “ไปอยู่ในห้องกับพี่ชายก่อน อีกเดี๋ยวแม่ก็ทำเสร็จแล้ว”
เด็กชายจูงน้องสาวออกจากห้องครัวไป
เฉียวเวยตักข้าวต้มเสร็จก็ยกเข้าไปในห้อง ฝั่งนั้นสองพี่น้องจัดโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวน้อยเรียบร้อยแล้ว
โถ เป็นเด็กดีเหลือเกิน
เฉียวเวยรู้สึกมีความสุขอย่างห้ามไม่ได้ นางวางชามกับตะเกียบลงบนโต๊ะ เดิมทีนางคิดจะให้เด็กๆ ใช้ช้อน แต่หาอยู่นานก็หาไม่พบ “ใช้ไปก่อนนะ เดี๋ยวแม่ค่อยทำช้อน…”
คำพูดท่อนหลังยังไม่ทันเอ่ยจบ สองพี่น้องก็ถือตะเกียบขึ้นมาพุ้ยกินเสียงดัง
หลังมื้ออาหาร เฉียวเวยบอกพวกเขาว่าตนศีรษะกระแทกจนหลงลืมเรื่องราวไปมากมาย รวมทั้งชื่อของพวกเขาด้วย
สองพี่น้องน่ารักยิ่งนัก พวกเขาบอกชื่อของตนทันที พี่ชายชื่อเฉียวจิ่งอวิ๋น น้องสาวชื่อเฉียววั่งซู
พยัคฆ์คำรามวาโยครวญคลั่ง มังกรผงาดครองหมู่เมฆมงคล[2]
จันทราเทพเยื้องย่างนำ มฤคินทร์ปักษีกรีดกรายตาม[3]
ผู้ที่ตั้งชื่อให้ทั้งสองคนน่าจะเป็นผู้มีความรู้
เฉียวเวยได้รู้จากปากจิ่งอวิ๋นน้อยอีกว่าหมู่บ้านแห่งนี้ชื่อว่าหมู่บ้านซีหนิว อยู่ห่างจากตัวเมืองไม่ไกล พวกเขาสามคนเพิ่งเหยียบเท้ามาถึงเมืองก็ถูกคนดักปล้นเงินไปจนหมดจึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ชาวหมู่บ้านจิตใจดีจึงให้สามแม่ลูกพักอาศัยอยู่บนกระท่อมที่ไหล่เขา
ที่แห่งนี้เดิมทีเป็นที่พักของคนเฝ้าป่า ต่อมาเพื่อนร่วมหมู่บ้านทั้งหลายทยอยย้ายไปปลูกบ้าน ทำนาที่ตีนเขา น้อยครั้งจะขึ้นเขาจึงไม่มีผู้ใดเฝ้าป่าแล้ว
หลังทานอาหารเช้าเสร็จ เฉียวเวยก็ล้างชามกับตะเกียบจนสะอาดเอี่ยม หลังจากนั้นจัดการเครื่องมือทั้งหลายในลานบ้าน ลับจอบเหล็ก พลั่วเหล็ก ตะขอ เคียวทีละชิ้นจนวาววับ
เด็กทั้งสองยังไม่เคยเห็นของเหล่านี้จึงมานั่งอยู่ด้านข้างอย่างสงสัยใคร่รู้ มองดูไปก็รู้สึกว่าเพียงชั่วข้ามคืนท่านแม่ก็กลายเป็นคนเก่งกาจเสียแล้ว
เฉียวเวยจัดการเครื่องมือจนสะอาด ลับจนคมจากนั้นเก็บเอาไว้ในห้องครัว ต่อจากนั้นนางจึงถือพลั่วเหล็กไปตักหิมะที่ลานบ้าน ขุดเอาโคลนขึ้นมากองหนึ่งแล้วไปต้มน้ำร้อน
ในยุคโบราณที่กำลังการผลิตและวิทยาการยังล้าหลังอยู่มาก ซีเมนต์ยังไม่ถือกำเนิด มีเพียงดินอัดกับดินธรรมชาติเท่านั้น ดินที่ผ่านกระบวนการเพิ่มความแข็งแกร่งเรียกว่าดินอัด ส่วนดินที่ไม่ผ่านกระบวนการอันใดเรียกว่าดินธรรมชาติ ดินที่ผ่านการบีบอัดจะทำให้มีความหนาแน่นมาก แข็งแกร่งและมีช่องว่างน้อย ใช้มันสร้างบ้านดีที่สุด กำแพงเมืองจีน พระราชวังต้องห้าม ฐานของสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีล้วนใช้ดินอัดทั้งสิ้น แต่เฉียวเวยไม่รู้วิธีการทำผนังดินอัด จึงได้แต่ถอยมาใช้ของที่รองลงมา นั่นคือใช้ดินธรรมชาติ ดินธรรมชาติใช้ฉาบหน้าต่างก็พอประทังผ่านไปได้ อย่างน้อยลมก็ไม่เข้า
เวลานี้เฉียวเวยดีใจนักที่ตัวเองเติบโตขึ้นมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า หากนางเป็นคุณหนูผู้บอบบางจะรู้วิธีเอาตัวรอดเช่นนี้จากไหนเล่า น่ากลัวว่าถึงมอบโอกาสให้นางทะลุมิติมาก็คงหิวตายอยู่บนภูเขาแห่งนี้แล้ว
ซ่อมแซมบ้านเสร็จ เฉียวเวยก็ถือเคียวกับเสียมไปดูซิว่ามีสิ่งใดเอามาเติมใส่ท้องได้บ้าง
เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งหลายเดินตามหลังมารดามาต้อยๆ เหมือนหางเล็กๆ สองเส้นของนกกระจอกที่กระโดดเริงร่า
ใครจะรู้ว่าทั้งสามคนเพิ่งเดินมาถึงประตูบ้านก็ถูกหญิงที่สวมเสื้อสีม่วงลายเครือบุปผากับกางเกงนวมสีดำคนหนึ่งขวางทาง หญิงผู้นั้นถือไม้กระบองท่อนหนึ่ง ยังไม่ทันมองคนก็ด่าแสกหน้าทันที “เจ้าเด็กชั่ว เจ้าขโมยของข้าอีกแล้วใช่หรือไม่”
เดิมทีเฉียวเวยคิดว่าชาวบ้านจิตใจดีคนไหนขึ้นเขามาเยี่ยมเยียนหญิงม่ายกับเด็กกำพร้าเช่นพวกนาง ใครจะคิดว่าผู้อื่นมาด่าทอหาเรื่องวิวาท เฉียวเวยสีหน้าเย็นชาทันใด “เจ้าพ่นอาจมใส่ใครมิทราบ”
หญิงผู้นั้นไม่แม้แต่จะหยุดคิดกลับเอ่ยต่อทันที “ข้าพ่นอาจมใส่เจ้านั่นแหละจะทำไม” พูดจบเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอด่าตัวเองเข้าจึงหน้าแดงก่ำ นางถลึงตาใส่เฉียวเวยอย่างดุร้าย “อ้อ เจ้าตื่นแล้วหรือ ข้าคิดว่าเจ้าล้มฟาดพื้นตายไปแล้วเสียอีก ไม่รู้จักดูลูกเจ้าให้ดี วันๆ เอาแต่ลงเขาไปขโมยข้าวของ!”
เฉียวจิ่งอวิ๋นรีบเอ่ยทันที “ข้าไม่ได้ขโมยของ!”
หญิงผู้นั้นเอ่ยอย่างดูแคลน “เจ้าไม่ได้ขโมยแล้วไก่ที่ข้าหมักไว้จะหายไปได้อย่างไร หนึ่งวันหายหนึ่งตัว ข้าเห็นกับตา! เจ้านั่นแหละขโมย!”
“ข้าเปล่า!” เฉียวจิ่งอวิ๋นร้อนใจจนตาแดง
หญิงผู้นั้นถลึงตาจนปูดเป็นลูก “เจ้ายังไม่ยอมรับอีก”
“พอแล้ว มีอะไรก็มาพูดใส่ข้านี่ อย่ามาตวาดลูกข้า!” เฉียวเวยดันเฉียวจิ่งอวิ๋นไปไว้ด้านหลัง แล้วถลึงตาใส่หญิงนางนั้นด้วยแววตาดุร้ายไม่ไว้ไมตรีสักนิด
หญิงนางนั้นถูกความน่าเกรงขามที่ปรากฏขึ้นกะทันหันข่มจนตกตะลึง จำได้ว่าคนแซ่เฉียวไม่ได้กล้าหาญเช่นนี้นี่…
เฉียวจิ่งอวิ๋นร้อนใจจนใกล้จะร้องไห้ “ท่านแม่ ข้าไม่ได้ขโมยของ ข้าไม่ได้ทำจริงๆ…” เขาไม่กลัวผู้อื่นใส่ร้าย แต่เขากลัวยิ่งนักว่ามารดาจะไม่เชื่อเขา เขาไม่ใช่เด็กไม่ดี ท่านแม่เคยบอกว่าต่อให้หิวตาย ยากจนตายก็ห้ามขโมยปล้นชิง เขาจำได้ จดจำอยู่เสมอ…
เฉียวเวยตบไหล่บุตรชายเบาๆ “แม่เชื่อเจ้า”
หญิงผู้นั้นได้สติกลับมา นางรู้สึกว่าเมื่อครู่ถูกหญิงม่ายผัวทิ้งข่มให้กลัวช่างน่าขายหน้านัก นางจึงเงื้อไม้กระบองในมือ แล้วเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด “ไม่ต้องมาแสร้งทำตัวน่าสงสาร! คืนไก่ข้ามาเสีย!”
เฉียวเวยเอ่ยเสียงเรียบเฉย “พวกข้าไม่ได้เอาของเจ้าไป จะคืนเจ้าได้อย่างไร”
หญิงผู้นั้นถ่มน้ำลายใส่ “จะเบี้ยวหนี้สินะ ได้ อย่าให้ข้าค้นเจอ!”
เฉียวเวยไม่ยอมหลีกทางให้ “เจ้าบอกจะค้นก็ค้นได้หรือ ข้ายอมหรือยัง”
“ข้าจะค้น เจ้าจะทำอันใดข้าได้” นางเงื้อไม้กระบอง ทำท่าประหนึ่งว่าหากเฉียวเวยไม่ยอมหลีกอีก นางจะตีเฉียวเวยให้ตาย
เฉียวเวยกลัวนางเสียที่ไหน นางยื่นมือออกมาคว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้แล้วใช้เคล็ดลับ ขยับเพียงเบาๆ ครั้งเดียว หญิงผู้นั้นก็ร้องไห้หาบิดามารดา
เสียงดังลั่นได้ยินไปถึงหูป้าหลัวที่อยู่บริเวณนั้น ป้าหลัวรีบร้อนเดินมา “เสี่ยวเฉียว เจ้าไม่เป็นอะไรนะ…เอ๋ หลิวชุ่ยฮวาใช่หรือไม่”
หลิวชุ่ยฮวา ผู้คนเรียกกันว่าน้าหลิว หญิงปากร้ายผู้โด่งดังในหมู่บ้าน
คิดว่าเสี่ยวเฉียวถูกรังแกเสียอีก ที่แท้เป็นนางหรอกหรือ ป้าหลัวมองเฉียวเวยอย่างประหลาดใจ “เสี่ยวเฉียว เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
เฉียวเวยมองออกว่าป้าหลัวไม่มีเจตนาร้ายต่อนางจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้ฟังทุกอย่าง “ถ้านางมาตามหาของจริง ข้าก็ไม่ถือสาที่จะช่วยนางหา แต่หากมาหาเรื่องก็อย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจ”
มาหาของพวกนางไม่ว่า แต่อย่าทำท่าทำทางเหมือนจะบอกว่า “ข้ามั่นใจแน่นอนว่าเจ้าเป็นขโมย” พวกนางสามแม่ลูกไม่มีที่พึ่งก็จริง แต่ก็ไม่ปล่อยให้ใครรังแกอย่างไร้เหตุผล
ป้าหลัวเอ่ยขึ้นว่า “ชุ่ยฮวา ครั้งนี้เจ้าเป็นคนผิดแล้ว ของเจ้าหายที่ตีนเขาวิ่งขึ้นเขามาหาเรื่องคนอื่นทำอะไร”
น้าหลิวแค่นเสียงดังเหอะ “ข้าเห็นกับตา เขานั่นแหละขโมย! หลายวันนี้พอฟ้ามืด เขาก็วิ่งเข้ามาในหมู่บ้าน ไม่ได้ขโมยข้าวของจะทำอะไร”
เฉียวเวยหัวเราะหยัน “เจ้าเห็นลูกข้าขโมยไก่ของเจ้า หรือแค่เห็นเขาเข้าไปในหมู่บ้าน”
น้าหลิวสะอึก
เฉียวจิ่งอวิ๋นเลื่อนสายตาไปมองป้าหลัว ป้าหลัวพยักหน้าให้เขาแล้วหันไปบอกน้าหลิวว่า “เจ้าอยากรู้ว่าไก่เจ้าหายไปไหนก็ไปถามผู้ชายของเจ้า! นอกจากเขา ใครก็ไม่รู้ทั้งนั้น!”
เห็นชัดว่าตาแก่หลิวเอาไก่ไปแลกเหล้าดื่มแล้วไม่กล้าบอกเมียตัวเองถึงโกหกว่าไก่ถูกขโมย หลิวชุ่ยฮวาสมองเลอะเลือนผู้นี้กลับโยนความผิดมาให้หญิงม่ายกับเด็กกำพร้า!
ป้าหลัวมีสามีที่รับจ้างทำงานให้ที่ว่าการอำเภอมานาน แม้แต่หัวหน้าหมู่บ้านก็ยังไว้หน้านางอยู่หลายส่วน น้าหลิวไม่กล้างัดข้อกับนางจึงเผ่นแน่บ
เฉียวจิ่งอวิ๋นเดินมาถึงตรงหน้าป้าหลัวแล้วเรียกว่า “ท่านยายหลัว” อย่างเขินอาย หลังจากนั้นจึงจูงมือป้าหลัวมาหาเฉียวเวยก่อนจะบอกว่า “ท่านแม่ ข้าไม่ได้ขโมยของจริงๆ ข้าเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อไปหาท่านยายหลัว”
ที่แท้หมั่นโถวกับน่องไก่เมื่อวานก็เป็นของที่ป้าหลัวให้มานี่เอง ไม่เพียงเท่านี้หลายวันนี้ที่เจ้าของร่างหมดสติไป สองพี่น้องก็อาศัยความช่วยเหลือของป้าหลัวจึงรอดชีวิตมาได้
เมื่อรู้ความจริงเฉียวเวยก็ไม่พูดพร่ำก้าวเข้าไปค้อมกายคำนับป้าหลัวทันที
[1] หูหลัวปัว แคร์รอต
[2] จิ่งอวิ๋น ชื่อของพี่ชายมาจากบทกวี “ไหวหนานจื่อ บทเทียนเหวินซุ่น” ซึ่งประพันธ์ในสมัยต้นราชวงศ์ฮั่นตะวันตกโดยไหวหนานอ๋องหลิวอันและผู้ใต้บัญชาของเขา แปลว่าเมฆมงคล
[3] วั่งซู ชื่อของน้องสาวมาจากบทกวี “หลีเซา” ประพันธ์โดยชวีหยวนกวีชื่อดังชาวแคว้นฉู่ในสมัยจั้นกั๋ว แปลว่าเทพธิดาแห่งดวงจันทร์