ราชาเคราโตสแห่งเหล่าชนเถื่อนนำทัพบุกรุกดินแดนเข้ามาด้วยตนเอง

 

  อินกองนึกถึงเพราโตสในทันที ในฐานะน้องชายของเคราโตส บางทีพวกเขาอาจสามารถใช้เพราโตสเป็นเครื่องมือต่อรองได้

 

  เพราโตสยังถูกฝังอยู่ภายใต้ซากด้านล่างนั้นหรือไม่? หรือเขาหลบหนีออกมาได้แล้ว? นับอย่างคร่าวเวลาก็ได้ล่วงเลยมาราวยี่สิบนาที อาจมิใช่เวลาที่นานนัก แต่ก็เกินพอที่เพราโตสจะสามารถปีนขึ้นมา

 

  อินกองรับรู้ความแข็งแกร่งของเพราโตสได้อย่างชัดเจน ตัวเขาไม่มั่นใจว่าจะสามารถชนะคู่ต่อสู้ได้หากต่อสู้อย่างเสมอภาคตัวต่อตัว ในกรณีเลวร้ายเขาอาจจะสิ้นชีวิตด้วยเงื้อมมือของเพราโตส

 

  อินกองให้ความสำคัญกับการชิงตัวนาตาช่าในสถานการณ์ที่ผ่านมา หากแต่นั่นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจริงหรือ? บางทีการจัดการเพราโตสในยามที่มีโอกาสอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า?

 

“ใจเย็นก่อนฉัตร”

 

  เฟลิซีใช้มือตบบ่าน้องชายของนาง อินกองรู้สึกขอบคุณในความห่วงใยพลางหันไปส่งยิ้มให้

 

  นั่นทำให้เฟลิซีหัวเราะออกมา นางเข้าใจความคิดของอินกอง

 

“สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว อย่าไปกังวลให้มาก หรือว่าเธอจะคิดว่าท่านแม่ทัพแวนเดลจะถูกไล่ต้อนจนมุมได้?”

 

  จริงอย่างที่นางว่า

 

  ระหว่างการปะทะกับเพราโตส อินกองมิได้รับรู้ว่าราชาชนเถื่อนกำลังเคลื่อนทัพมาด้วย นอกเหนือจากนั้นตัวเขาเองก็ยอมรับว่าความเป็นไปได้ในการเอาชนะคู่ต่อสู้มีน้อยมาก บางทีหากมีข้อมูลมากกว่านี้เขาอาจยอมเสี่ยงต่อสู้กับศัตรู

 

  ราชาชนเถื่อนบุกรุกดินแดน พลเอกแวนเดลนำทัพเข้าสกัดกั้น เขาไม่สามารถแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว ยิ่งกว่านั้นก็อย่างที่เฟลิซีบอก แวนเดลมิใช่จะถูกต้อนจนมุมได้โดยง่าย
  อย่าปล่อยให้ธงโบกสะบัดอย่างเดียวดาย…

 

“ถ้าเป็นท่านแม่ทัพแวนเดลแล้วละก็วางใจได้เลย เพราะงั้นก็พักผ่อนรอกันเถอะ นี่มิใช่เวลาที่เราควรรีบร้อน อย่างมากก็ค่อยไปเป็นกำลังเสริมในวันรุ่งขึ้น”

 

  ทางเลือกที่ผ่านการคิดคำนวน กำลังพลของราชาชนเถื่อนมิใช่มีแต่ทหารเลว… กองทัพที่คัดสรรอย่างดี หากคณะของอินกองจะปะทะกับกองทัพนี้ ข้อได้เปรียบด้านจำนวนคือสิ่งจำเป็น

 

“นูนะพูดถูกครับ”

 

  เฟลิซีถอนหายใจอย่างโล่งอกที่นางเกลี้ยกล่อมอินกองได้สำเร็จก่อนหันไปด้านหน่วยทหารชุดแดง พวกนั้นมิมีมีทีท่ารีบร้อน ความเป็นไปได้ที่เพราโตสหนีออกไปแล้วจึงถือว่าต่ำ

 

“เช้าวันรุ่งขึ้นกำลังเสริมจากเหล่าเอลฟ์รัตติกาลจะมาถึง พวกไลแคนโทรปคาดว่าน่าจะถึงราวเที่ยง เพราะงั้นพวกเราค่อยเคลื่อนพลไปสมทบราวๆเที่ยงหลังจากกำลังเสริมทั้งหมดมาถึงแล้ว ตกลงมั้ย?”

 

  อินกองกับเคทลินต่างพยักหน้ารับรู้ อินกองถอนหายใจสงบสติตนเองก่อนจะหันไปทางนาตาช่า เห็นได้ชัดว่านางก็ตกใจกับเรื่องที่ว่าราชาชนเถื่อนเคลื่อนทัพเช่นกัน

 

  เรื่องของขุนพลตนนี้ต้องมาก่อน อินกองต้องการเจรจากับนางให้เรียบร้อย

 

  เขาชำเลืองมองเวลา… ค่ำคืนนี้คงอีกยาวไกลนัก

 

&

 

  กว่าคณะของอินกองจะเดินทางกลับถึงที่พักเวลาก็ล่วงเลยถึงเที่ยงคืน

 

  ชนเถื่อนกึ่งหนึ่งถูกจับกุมตัวไว้ อีกครึ่งหนึ่งสามารถหลบหนีไปได้

 

  วัลคาโน่เห็นสภาพของสถานที่จัดงานแล้วฉุนเฉียว แม้จะอยู่ต่อหน้าแขกร่วมงานเขาก็ไม่สามารถระงับความโกรธเอาไว้หลุดสบถออกมามากมาย

 

  หากนับตามชาติกำเนิดวัลคาโน่ถือว่าเป็นเผ่าเอลฟ์รัตติกาล แต่หัวเมืองทาก้าเป็นเขตพิเศษที่ปกครองด้วยตนเองจึงไม่มีกำลังเสริมมาสมทบ หากพบกับเจ้าหญิงของเผ่าเอลฟ์รัตติกาลเรื่องอาจบานปลาย คณะของอินกองจึงเลือกที่จะไม่เปิดเผยตัวตน พวกเขาเดินทางออกจากลานประมูลพร้อมกับแขกร่วมงานท่านอื่น

 

  หากไม่นับรอยร้าวตามกำแพงนอกตัวอาคาร เรียกว่าโรงแรมที่พักของคณะอินกองอยู่ในสภาพที่ดีพร้อม นั่นทำให้พวกเขาสามารถคลายกังวลได้บางส่วน

 

  อินกองล้างตัวเปลี่ยนชุดก่อนจะเรียกคารัคและนาตาช่าเข้ามาคุยด้วย

 

“ผมสัญญาว่าจะอธิบายให้ฟังใช่ไหม?”

 

  นาตาช่าขมวดคิ้วก่อนพึมพำอย่างเหนือความคาดหมาย

 

“นี่มัน… รวดเร็วกว่าที่คาดคิดเอาไว้… ”

 

“สถานการณ์ค่อนข้างกระชั้นชิด ก็เลยต้องเร่งกำหนดการ”

 

  หากเป็นไปได้อินกองต้องการที่จะทำความเข้าใจกับนาตาช่าให้เสร็จสิ้นในวันนี้ สีหน้าของอินกองพอแสดงเจตนารมณ์ออกมาได้ นาตาช่าถอนหายใจก่อนจะวางตัวแล้วกล่าวถาม

 

“ใต้ฝ่าพระบาทรับรู้นามของข้าพระพุทธเจ้าได้อย่างไรหรือเพคะ?”

 

  เหตุปัจจัยอันสำคัญที่สุดที่ทำให้นางไม่สามารถหลบหนีจากอินกองไปได้

 

  ทว่าอินกองยังไม่สามารถอธิบายให้กับนางได้ แม้เขาอธิบายออกไปนางย่อมไม่มีทางเชื่อ

 

  เขาส่งยิ้มให้นาง

 

“เรื่องนั้นผมยังคงไม่สามารถบอกได้ ทว่าผมมีข้อเสนอบางอย่าง ช่วยรับฟังได้ไหม?”

“ข้อเสนออันใดหรือเพคะ?”

 

  นาตาช่าถามอย่างหวาดระแวง อินกองยักไหล่แล้วตอบกลับ

 

“ผมต้องการจ้างนาตาช่ามารับใช้ อย่าห่วงว่าจะได้รับการปฏิบัติอย่างหละหลวม เธอจะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับองครักษ์ส่วนตัวของเจ้าชาย”

 

  นาตาช่าหรี่ตาลง อินกองรีบกล่าวเสริมโดยไม่สนใจท่าทีของนาง

 

“ผมจะมอบสิ่งนี้ให้เป็นค่าจ้างล่วงหน้า”

 

  อินกองนำกล่องอัญมณีสีแดงออกมา แม้จะเป็นชั่วพริบตาแต่อินกองก็สังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของนาตาช่า

 

“เธอมาที่งานประมูลเพื่อหวังของสิ่งนี้ใช่ไหม?”

 

  นาตาช่าไม่อาจเก็บซ่อนอาการลนลานของนางได้อีกต่อไป นั่นทำให้อินกองถอนหายใจอย่างโล่งอก

 

‘เป็นของชิ้นนี้จริงด้วย’

 

  อินกองสังเกตเห็นผ่านบรรดาของรอลงประมูล เมื่ออ้างอิงจากเกมบทกวีแห่งผู้กล้าแล้ว กล่องอัญมณีชิ้นนี้เป็นสิ่งที่นาตาช่าพกติดตัวเสมอ แน่นอนว่าเหล่าผู้เล่นต่างซื้อกล่องอัญมณีชิ้นนี้จากลานประมูลมอบให้นางเพื่อเพิ่มค่าความสนิทสนม

 

  ในเกมไม่มีการกล่าวถึงความหลังระหว่างตัวนาตาช่ากับกล่องอัญมณีชิ้นนี้ แต่ผู้เล่นต่างรับรู้ว่ามันเป็นของสำคัญสำหรับนาง

 

  อินกองส่งยิ้มให้นาตาช่า ท่าทีของนางสั่นคลอนจนเห็นได้ชัดเจน นางตอบด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ

 

“ใช่แล้ว สิ่งนี้เป็นของดูต่างหน้าพี่สาวที่ตายจากไป มันถูกขโมยในสมัยที่ฉันยังเด็ก… เป็นเวลาถึง 10 ปี กว่าฉันจะตามหาร่องรอยมันพบ”

 

  น้ำเสียงอันเศร้าสร้อยจับหัวใจของอินกอง คารัคที่ยืนเฝ้าประตูแสดงสีหน้ากลั้นน้ำตาพยายามข่มตนมิให้ร้องไห้

 

  ถึงกระนั้นอินกองคิดต่างออกไป เรียกได้ว่าเขาอดทึ่งมิได้

 

‘สมแล้วที่เป็นนาตาช่า’

 

  การแสดงออกที่คู่ควรกับรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยม หากอินกองมิได้มีความจำจากตัวเกมเขาคงเชื่ออย่างสนิทใจ

 

“แต่เธอไม่มีพี่สาวที่ว่ามิใช่หรือ?”

 

  ข้อมูลในส่วนแนะนำตัวละครของเกมบอกว่านาตาช่าเป็นบุตรีเพียงหนึ่งเดียวของตระกูล คำถามจากอินกองทำให้เจ้าออร์คตาโตอย่างตกตะลึง นาตาช่าทำได้แต่กลืนน้ำลายที่เหือดแห้ง นางตอบกลับอย่างหน้าซีด

 

“ข้าพระพุทธเจ้าหวาดกลัวเหลือเกิน ใต้ฝ่าพระบาทรู้จักข้าพระพุทธเจ้ามากขนาดนี้ได้เช่นไรกันเพคะ?”

 

  นาตาช่าอยู่ในสภาวะที่ไม่อาจต่อกรได้ บุคคลตรงหน้ารู้จักนามที่แท้จริงของนางและภูมิหลังของนาง มิหนำซ้ำเขายังตามล่าหาตัวนางอีก แต่เพื่อด้วยสาเหตุอันใด?

 

  เขาเฝ้าจับตามองนางมานานขนาดนี้เชียวหรือ?

 

  ยิ่งคิดนางยิ่งหวาดกลัว นางถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลาโดยที่นางไม่รู้ตัว ด้วยเหตุผลที่นางไม่รับรู้

 

  นาตาช่าผู้ได้รับฉายาว่าองครักษ์เยือกเย็นจากการที่ไม่แสดงความรู้สึกอะไร ใบหน้าของนางในตอนนี้ซีดเผือดด้วยความกลัวอย่างสุดขั้ว

 

  อินกองทำเพียงยิ้มแหยตอบนาง

 

“ขอโทษด้วยแต่ว่าเรื่องนั้นยังไม่อาจบอกได้ในตอนนี้เช่นกัน แต่ถ้าเธอตกลงรับข้อเสนอ ผมจะบอกเพิ่มในภายหลัง”

 

  คำพูดที่แฝงด้วยคำขู่รวมถึงยศเจ้าชายจากวังจอมมาร การปฏิเสธเรียกว่าทำได้อย่างยากลำบาก

 

‘กูนี่โคตรจะตัวโกงเลย’

 

  ถึงกระนั้นเวลาที่ร่อยหรอทำให้ไม่สามารถอธิบายเหตุผลที่แท้จริงกับนางได้ เพื่อให้ได้ตัวนาตาช่าแล้ว อินกองไม่สนใจถึงวิธีการ

 

  นาตาช่าลนลานพยายามหาทางหลบเลี่ยง มีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้น

 

“ตอบตกลงเสียจะดีกว่า”

 

  คำแนะนำจากประสบการณ์ตรงของเจ้าออร์คคารัค แต่บรรยากาศรอบตัวทำให้ไม่ต่างจากการข่มขู่

 

  ตั้งแต่เหตุการณ์ที่เจ้าออร์คพยายามฟาดคอให้นางหมดสติ ภาพลักษณ์ของมันก็เลวร้ายประจวบกับคำแนะนำที่ผิดเวลาอีก นาตาช่ากัดริมฝีปากของนางมองมันด้วยสายตารังเกียจ ก่อนจะหันกลับมาสบตาตอบอินกอง

 

“รับทราบ ข้าพระพุทธเจ้าจะรับตำแหน่งองครักษ์ของใต้ฝ่าพระบาท แต่ใต้ฝ่าพระบาทจะรับบุคคลที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าอย่างข้าพระพุทธเจ้าเป็นองครักษ์จริงหรือเพคะ?”

 

  อินกองผงกหัวตอบอย่างง่ายดาย

 

“ผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับนาตาช่า”

 

  เรียกได้ว่าเป็นความจริง

 

  แค่ความจริงที่ค่อนข้างจะเลวร้ายสำหรับนาตาช่าในตอนนี้ ใบหน้าของนางสลับเปลี่ยนแสดงความรู้สึกหลากหลาย
เมื่อเจ้าชายที่วาดฝันในเทพนิยาย… กลายเป็นสต็อกเกอร์!
หนำซ้ำยังโดนออร์คลูกน้องพยายามตีให้หมดสติเพื่อลักพาตัว! 
ชะตากรรมของซัคคุบัสสาวจะเป็นเช่นไร โปรดติดตามตอนต่อ… ต่อข้างล่างเลย __〆( ̄ー ̄ )  

 

  อินกองกล่าวเพิ่มเติม

 

“งานถนัดของเธอคือการรวบรวมข้อมูลมิใช่หรือ? ถึงจะเรียกว่าเป็นองครักษ์ส่วนตัว แต่หน้าที่หลักของเธอจะเป็นการโจรกรรมข้อมูลเสียมากกว่า นั่นถึงจะเรียกว่าใช้บุคลากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

 

  นาตาช่าตกตะลึงก่อนจะยักไหล่ถอนหายใจอย่างยอมจำนน

 

“รับทราบ… ใครจะคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดที่ตลาดมืด แต่มันก็ช่วยไม่ได้… ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมรับตำแหน่งเพคะ”

 

  อินกองแสดงอาการกระตุกกับคำว่า‘ตลาดมืด’ เขาแสดงอาการเขินอายเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง

 

“ดีมากงั้นผมจะแต่งตั้งเธอเป็นองครักษ์ คุกเข่าลง”

 

  นาตาช่าหรี่ตาอย่างระแวงอีกครั้ง

 

“เวทมนตร์หรือเพคะ?”

 

  สิ่งที่นางหวาดกลัวก็คือพันธะทาส อินกองตอบนางอย่างคาดเดาได้

 

“เราคือเจ้าชายฉัตร อิกษณา ทายาทแห่งจอมมารมิตร การแต่งตั้งองครักษ์ส่วนตัวย่อมไม่เป็นเพียงลมปาก ออร์คคารัคก็รับตำแหน่งผ่านพิธีกรรมนี้เช่นกัน อย่าได้หวาดกลัว เจ้าจักมิได้รับอันตรายใดทั้งสิ้น”

 

  นาตาช่าจ้องมองเจ้าชายตรงหน้ากับท่าทีที่เปลี่ยนแปลง แม้คำพูดจะบอกว่าไม่มีอันตรายแต่นางก็ไม่อาจเชื่อได้อย่างสนิทใจ

 

“ข้าพระพุทธเจ้าขอเชื่อในคำพูดพระองค์… ”

 

  คำขานรับที่เป็นกึ่งคำถามกึ่งคำภาวนา หากอินกองตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกับนาง เขาก็คงแสดงอาการเดียวกัน อินกองทำได้เพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

“เชื่อในเรา เจ้าจักมิเป็นอันตราย”

 

  นาตาช่าคุกเข่าลงต่อหน้าอินกอง นางก้มหน้าลงทำให้อินกองไม่อาจเห็นสีหน้าของนาง อินกองนำดาบดวอฟออกมา เขาแตะมันไปที่ไหล่ทั้งสองข้างของนาตาช่า เขาเรียกใช้ทักษะมหาดเล็กเช่นเดียวกับในตอนที่เขาแต่งตั้งคารัคและกัมมะ

 

“ซัคคุบัสนาตาช่า เราแต่งตั้งให้เจ้าเป็นองครักษ์ของเรา”

 

  คำประกาศที่แฝงไปด้วยพลังแห่งอาณัติ แสงสีขาวส่องสว่างขึ้นอาบทั่วตัวซัคคุบัสสาว

 

“โอ้วววว”

 

  คารัคส่งเสียงร้องออกมาอย่างชื่นชม ท่ามกลางแสงสีขาวที่ส่องสว่างขึ้นโอบล้อม นาตาช่าหลับตาลงยอมรับ ภายในแสงสีขาวอินกองมองเห็นสตรีนิรนามปรากฏร่างขึ้น

 

‘ลงทัณฑ์ ศิโรราบ ปกครอง’

 

  ถ้อยคำทั้งสามเอ่ยออกผ่านรอยยิ้มอันอ่อนโยน นัยตาทั้งสองสีจ้องมองมาที่อินกองอย่างอบอุ่น อินกองพยักหน้าให้นาง คำถามมากมายเกี่ยวกับนางยังคงค้างคา แต่อินกองรู้ดีว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาอันควร

 

  อินกองจ้องลงมองนาตาช่าตรงหน้า นางสั่นเทาด้วยความกลัวและสับสน อินกองส่งผ่านพลังแห่งอาณัติไปยังปลายดาบที่แตะไหล่ของนาง

 

  พลังอำนาจที่นอกเหนือการรับรู้ของนาตาช่าทำให้นางตกใจ ถึงกระนั้นนางก็ยอมรับแต่โดยดี นางยอมตกอยู่ใต้อาณัติของอินกอง ทหารมหาดเล็กของอินกองเพิ่มจำนวนขึ้นอีกหนึ่ง

 

  เมื่อพิธีกรรมสิ้นสุดลง อินกองกลับได้ยินข้อความบางอย่าง

 

[ระดับขั้นอาชาแห่งอาณัติเพิ่มขึ้น]
[เพิ่มระดับขั้นทักษะ อาณัติ]
[เพิ่มระดับขั้นทักษะ มหาดเล็กราชวัลลภ]
[จำนวนสูงสุดของทหารมหาดเล็กเพิ่มขึ้นสองตำแหน่ง]
[จากทักษะ มหาดเล็กราชวัลลภ ขั้น3 คุณได้เรียนรู้ทักษะเสริม ตราลัญจกร ขั้น1]

 

  แสงสีขาวรวมตัวกันควบเป็นอักขระหลากหลายลอยล่อง จากนั้นอักขระเหล่านี้เริ่มเรียงตัวกันเป็นคำกลอนบางอย่าง

 

  อินกองเข้าใจได้ทันทีว่านี่เป็นผลจากทักษะใหม่ที่เขาเพิ่งเรียนรู้ คำกลอนเรียงตัวอย่างสมบูรณ์ก่อนแปรเปลี่ยนรูปร่างเป็นตราสัญลักษณ์ ในพริบตานั้นเอง บริเวณกลางหน้าผากของคารัคและนาตาช่าก็มีแสงเรืองขึ้นเป็นรูปตราสัญลักษณ์ดังกล่าว แม้ไม่เห็นกับตาแต่อินกองก็คาดเดาได้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับกัมมะเช่นกัน

 

  นาตาช่าลืมตาขึ้นอย่างช้าช้า นางเงยขึ้นมองอินกอง ในดวงตาของนางไม่เหลือความกลัวอีกต่อไป แทนทีด้วยความอยากรู้และไขว่คว้า

 

  อินกองเก็บดาบแล้วยื่นมือให้นาตาช่า

 

  นาตาช่าไม่เกรงกลัวอะไรอีกต่อไป นางเงื้อแขนออกไปจับมือนั้นด้วยรอยยิ้ม

 

&

 

  แซเฟียร์เงยหน้าขึ้นมองไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้อย่างกระทันหัน

 

  เขารู้สึกราวกับสูญเสียส่วนสำคัญบางอย่างของร่างกาย

 

“เพราะอะไร?”

 

  คำพึมพำที่หลุดออกมาอย่างเสียมิได้ ตามด้วยถ้อยคำทั้งสี่ผุดขึ้นในหัว

 

  อาณัติ รณการ ทุพภิกขภัย และอาสัญ… 

 

  แซเฟียร์ส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะเพ่งสมาธิกลับมายังทิศเหนือ

 

&

 

  จอมมารมิตรจ้องมองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน

 

  ถึงกระนั้นเขามิได้จ้องมองที่ตัวท้องฟ้าหรือดวงดาว

 

  ชั่วขณะนี้เอง… 

 

  จอมมารรับรู้ได้ถึงบางสิ่ง ลางสังหรณ์ในตัวเขาร้องบอกบางอย่าง

 

  โชคชะตาได้ถูกเปลี่ยนแปลง หากเปรียบโชคชะตาเป็นดั่งลำธาร คงเรียกได้ว่ามีหินก้อนเล็กถูกโยนลงไปหยุดทิศทางของสายธาร การเปลี่ยนแปลงทิศทางเพียงเล็กน้อยที่ไม่เล็ดลอดสายตาของจอมมารไปได้ 

 

  เขาสงสัยถึงตัวตนของหินก้อนนี้และตัวตนของผู้ที่โยนมัน หรือลิขิตฟ้าจะถูกหยุดยั้งไว้?

 

  จอมมารยังคงจ้องมองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนท่ามกลางห้วงความคิดที่สับสน ด้วยเหตุบางประการเขาหวนนึกถึงใบหน้าของราชินีสมิตา อิกษณา ราชินีลำดับที่ห้าผู้ที่จากโลกนี้ไปแล้ว

 

 

จบบทที่ 19 – เปลี่ยน เริ่มบทที่ 20 – บลิทซ์ครีค

‘หยุดลิขิตฟ้า’ถูกแล้ว แต่คงต้องเป็น ‘เปลี่ยน’ชะตาช่วยโลก มากกว่า ‘ต่อ’ชะตาช่วยโลก
แก้ชื่อเรื่องภาษาไทยมั้ย? คงไม่ (*¯ ³¯*)♡