ตอนที่ 118 – บทที่ 20: บลิทซ์ครีค 

 

 

  ตราลัญจกรกลางหน้าผากของเหล่าองครักษ์เรืองแสงสีขาวอร่าม

 

  สัญลักษณ์แสดงถึงกองทหารมหาดเล็กของอินกอง ในอีกนัยหนึ่งก็แสดงว่าพวกเขาเหล่านี้คือสาวกแห่งอาณัติ

 

‘ไหนดูซิ ว่าตรานี้มีอะไรดีบ้าง’

 

  ตราลัญจกรอาจเป็นเพียงตราสัญลักษณ์ แต่ในตัวสัญลักษณ์นี้ก็แฝงไปด้วยพลัง

 

  อย่างแรกก็คือความสามารถทั้งหมดได้รับการเสริมพลังขึ้น

 

  บรรดาทหารมหาดเล็กจะได้รับค่าสถานะเพิ่มขึ้นร้อยละยี่สิบ เมื่อใช้ทักษะใต้ร่มเงากษัตริย์ด้วยย่อมส่งผลเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

 

  ถัดมาก็คือตรานี้ช่วยกระตุ้นสายสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากขึ้น อินกองรับรู้ได้ผ่านแววตาของนาตาช่าถึงความประสงค์ดี และเมื่อเขาหันไปทางเจ้าออร์คคู่ใจ คารัคก็เอามือลูบที่ตราสัญลักษณ์พร้อมรอยยิ้ม

 

“ข้ารู้สึกว่าภักดีต่อองค์ชายมากขึ้น”
ตราล้างสมองชัดๆ Σ(°△°|||)︴

 

  แววตาเจ้าออร์คบ่งบออกว่ามิใช่เพียงคำพูดปากเปล่า 

 

  อินกองผงกหัวแล้วหันกลับมาทางนาตาช่า คารัคคุ้นเคยกับพลังอาณัติอยู่บ้างแล้วแต่นี่เป็นครั้งแรกสำหรับนาตาช่า

 

‘แบบนี้ก็ไม่ต้องห่วงว่านางจะหลบหนีแล้วสินะ’

 

  พันธะสัญญาระหว่างเขากับนาตาช่าสร้างขึ้นจากการข่มขู่มิใช่ความสมัครใจ นั่นทำให้อินกองแอบหวั่นใจอยู่บ้าง เหตุผลหลักที่เพิ่มนาตาช่าเข้าหน่วยทหารมหาดเล็กก็เพื่อใช้ทักษะรับสั่ง แม้นางจะหลบหนีไปแต่ทักษะรับสั่งก็สามารถดึงตัวนางกลับมาได้ เป็นแผนสำรองที่ดูไม่จำเป็นเสียแล้ว

 

  อย่างที่สามก็คือตรานี้ช่วยเพิ่มพลังในการปกครองของอินกอง ที่ผ่านมาเขารับรู้เพียงระดับเลเวลของคารัค ตอนนี้เขารับรู้ถึงค่าสถานะของมัน

 

‘ถึกชิบบบบบบ’

 

  ค่าสถานะทั้งความทนทานและความแข็งแกร่งของคารัคสูงนำค่าสถานะอื่น เมื่อคิดรวมการเสริมพลังจากตราลัญจกรด้วยแล้ว ค่าสถานะทั้งสองเพิ่มขึ้นมากจนเหนือกว่าสถานะของอินกองเสียอีก

 

‘สแตตก็ด้วย แต่ก็เพราะเวลมันเพิ่มด้วยแหละ’

 

  อินกองจำได้อย่างคร่าวว่าคารัคมีระดับเลเวลราวยี่สิบสามหรือสี่เมื่อครั้งกบฏเผ่าสายฟ้าชาด ขณะนี้เจ้าออร์คมีระดับอยู่ที่ยี่สิบแปด

 

‘อินท์ก็เยอะเกินไปปะเนี่ย’

 

  ค่าสติปัญญาของคารัคสูงกว่าเหล่าออร์คที่อินกองพบเห็น ถึงกระนั้นค่าสถานะสติปัญญาก็มิได้เป็นตัวชี้วัดถึงความสามารถในการประมวลผลของสมอง ต่างไปจากไหวพริบ ความหลักแหลม

 

‘แต่ถ้าอินท์เยอะขนาดนี้ ค่าพวกนั้นก็คงเยอะพอกันแหละ’

 

  น่าเสียดายที่ค่าสถานะบางอย่างไม่สามารถแสดงออกเป็นตัวเลขให้เห็นได้

 

  อินกองหันไปทางนาตาช่าอีกครั้ง ค่าสถานะของนางแสดงขึ้นให้เห็นข้างตราลัญจกร มือสังหารมิได้เป็นอาชีพรองของนางดั่งความทรงจำของอินกอง  กลับเป็นอาชีพหลักโดยมีองครักษ์เป็นอาชีพรองเสียแทน

 

‘ตัวเลขแบบนี้มันสายมินแม็กชัดๆ’
min-max ทางเกมหมายถึงการลงค่าสถานะเพียงบางอย่าง โดยเมินที่เหลือ

 

  อินกองคาดเดาว่าทาสคือปัจจัยส่งผลให้ค่าสถานะของนางเปลี่ยนไป จากความทรงจำของเขาค่าสถานะของนาตาช่าสมดุลมากกว่านี้ และระดับเลเวลของนางก็ควรจะสูงกว่านี้ ทว่าบางทีนั่นอาจเป็นตัวเลขในอีกหนึ่งให้หลังก็เป็นได้

 

“รู้สึกอย่างไรบ้าง?”

 

  นาตาช่าตอบคำถามของอินกองด้วยนัยตาเป็นประกาย

 

“ดีเหลือเกิน ข้ารู้สึกร่างกายเบาบางราวกับกำลังบิน”

 

  มิใช่เพียงแววตาของนาง แม้แต่ถ้อยคำและท่าทางก็บ่งบอกราวกับนางกำลังอยู่ในภวังค์

 

  อินกองหัวเราะก่อนจะปล่อยมือ นาตาช่าบ่นพึมพำอย่างจับความไม่ได้ แสงสีขาวที่จางลงแสดงให้เห็นแก้มของนางที่แดงระเรื่อ

 

“นายท่าน”

 

  เสียงกรีนวินด์ดังขึ้นพร้อมปรากฏกายเนื้อ นางกอดแขนอินกองพลางสลับสายตาไปมาระหว่างคารัคกับนาตาช่า

 

“นายท่าน ข้าก็อยากเป็นองครักษ์ด้วยเช่นกัน”

 

“หา?”

 

“ข้าเป็นของนายท่านนั่นย่อมไม่เปลี่ยนแปลง แต่ว่าเจ้าออร์คกับยัยซัคคุบัสนั่นต่างออกไป ข้าต้องการเช่นนั้นเช่นกัน”

 

  คำขอที่เหนือความคาดหมายจากกรีนวินด์ ใบหน้าของนางเจือไปด้วยความอิจฉาเล็กน้อย

 

‘จำเป็นมั้ยเนี่ย?’

 

  กรีนวินด์คอยติดตามตัวอินกองอยู่ตลอดต่างไปจากคารัค กัมมะ และนาตาช่า ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ทักษะรับสั่งกับนาง นอกจากนี้สิ่งที่นางกล่าวอาจดูเกินเลยแต่ก็เรียกได้ว่านางเป็นภูติคุ้มกายของอินกอง เขาไม่เคยคิดเพิ่มนางเป็นองครักษ์เลยสักครั้ง

 

  จำนวนทหารมหาดเล็กที่อินกองสามารถแต่งตั้งได้มีจำกัด ถึงแม้ระดับทักษะเพิ่งเพิ่มขึ้น แต่จำนวนที่ว่างทหารก็เพิ่มขึ้นเพียงสองตำแหน่ง

 

‘เก็บ 1 ที่ให้เวนเดล ก็เหลือว่าง 1’

 

  การใช้ตำแหน่งที่เหลือกับกรีนวินด์ดูเปล่าประโยชน์ ในคราวกัมมะตอนนั้นอินกองมีทหารติดตามเพียงคารัคตนเดียว การเพิ่มนางเข้าหน่วยทหารมหาดเล็กจึงมีเหตุผลต่างออกไป

 

  ราวกับคาดเดาความคิดของอินกองได้ กรีนวินด์กอดแขนของอินกองแน่นขึ้น สายตาอ้อนวอนราวกับลูกแมวอันเกินกว่าที่อินกองจะทนทานไหว อินกองจึงเปลี่ยนมาคิดถึงผลประโยชน์หากเขาเพิ่มกรีนวินด์เข้าทหารมหาดเล็กแทน

 

‘รับสั่งจะใช้กับโล่บินได้เปล่านะ?’

 

  โล่ไวท์อีเกิ้ลบินหาอินกองได้อยู่ ทว่าการบินกลับมากับการปรากฏขึ้นทันทีย่อมแตกต่างกัน แม้มีข้อจำกัดด้วยจำนวนครั้งที่เขาสามารถใช้ทักษะได้ ก็ไม่ถึงไร้ประโยชน์เสียทีเดียว

 

‘แล้วก็ผลจากตราที่เพิ่มค่าสถานะ… เดี๋ยวนะ นี่มันสุดยอดสุดๆไปเลยไม่ใช่หรอวะ?’

 

  พลังของกรีนวินด์ลดทอนลงจากการที่นางใช้พลังสร้างตัวแทนสถิต ณ ที่ราบอินคา นั่นทำให้นางไม่สามารถใช้ความสามารถของนางได้อย่างเต็มที่

 

  บางทีผลจากตราลัญจกรอาจช่วยกรีนวินด์ดึงพลังของนางกลับคืนมาได้ และเมื่อพลังของนางฟื้นคืนกลับมาตามเวลา ผลของตราจะช่วยเพิ่มความสามารถของกรีนวินด์ให้เหนือชั้นยิ่งขึ้นไปอีก

 

“นายท่าน?”

 

  กรีนวินด์กล่าวถามอีกครั้งเรียกเสียงหัวเราะจากอินกอง

 

“นั่นสินะ กรีนวินด์อยู่กับผมมาตลอด”

 

  เมื่อระดับของทักษะเพิ่มขึ้นในอนาคตจำนวนทหารย่อมเพิ่มขึ้นได้อีก ประโยชน์ที่ได้เหนือกว่าที่คิดไว้ตอนแรก และอินกองก็ไม่อยากทำให้กรีนวินด์ผิดหวัง

 

  กรีนวินด์หัวเราะออกมาอย่างดีใจก่อนคุกเข่าลง กรีนวินด์ตรงหน้าช่างแตกต่างไปจากยามที่อินกองพบนางครั้งแรกเหลือเกิน

 

  เทพารักษ์กรีนวินด์ผู้เป็นถึงผู้พิทักษ์ระดังสูง คารัคตกตะลึงเมื่อรับรู้ตัวตนของนางตั้งแต่พบเจอ กระทั่งอินกองก็เคารพยำเกรงในความศักดิ์สิทธิ์และลี้ลับ

 

  อินกองทำพิธีการเช่นเดียวกับนาตาช่าเพื่อมิให้กรีนวินด์ไม่พอใจ

 

“อาา”

 

  กรีนวินด์หลับตาครางออกมาเบาเบา ตราลัญจกรแห่งอาณัติปรากฏขึ้นกลางหน้าผากของนาง

 

‘ดูเหมือนจะได้ผล’

 

“ขอบคุณมากนายท่าน ท่านเป็นเจ้านายที่ดีมาก”

 

  กรีนวินด์โผเข้ากอดอินกองก่อนจะลอยตัวหันไปกอดอกตั้งท่า

 

“ทีนี้ก็ไม่มีอะไรนอกเหนืออีกทั้งนั้น”

 

  คำประกาศของกรีนวินด์ทำให้นาตาช่าหรี่ตาลงถามอินกอง

 

“ใต้ฝ่าพระบาท นางผู้นี้เป็นใครหรือเพคะ?”

 

  ถ้อยคำปกติที่ดูนอบน้อม ทว่าอินกองกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น

 

“นางคือเทพารักษ์กรีนวินด์ ผู้พิทักษ์สิงสถิตแห่งที่ราบอินคา ณ ตอนนี้นางคือภูติคุ้มกายของเรา”

 

  ดวงตากรีนวินด์เป็นประกายกับคำว่า ‘ของเรา’

 

“ใช่แล้ว ข้าคือภูติคุ้มกายของนายท่าน ประวัติความเป็นมาของข้าต่างจากเจ้าที่เพิ่งโผล่มามากนัก”

 

“ประวัติความเป็นมาอะไร แกก็เพิ่งติดตามองค์ชายได้ไม่กี่เดือนไม่ใช่เรอะ?”

 

  คำค้านจากคารัคเรียกเสียงคำรามจากกรีนวินด์ ทำให้มันรีบเบือนหน้าหนี

 

  นาตาช่าผงกหัวก่อนกล่าวเสริม

 

“เช่นนั้นพวกเราก็เปรียบเสมือนพี่น้อง ข้าขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย”

 

  นาตาช่ากล่าวด้วยร้อยยิ้มอันงดงาม รอยยิ้มที่ทำให้อินกองขนลุกด้วยความกลัว กรีนวินด์จ้องตานาตาช่าครู่หนึ่งก่อนยื่นมือออกไปจับมือ ฝ่ายหนึ่งหัวเราะยิ้มแย้มฝ่ายหนึ่งไม่วางใจ ราวกับมีประกายเกิดขึ้นระหว่างสายตาทั้งสองก็ไม่ปาน

 

  การเผชิญหน้าระหว่างทั้งคู่กลับทำให้อินกองรู้สึกอบอุ่นขึ้นอย่างประหลาด

 

‘นี่มันอะไรกัน? ความรู้สึกที่เหมือนบางอย่างได้รับการเติมเต็ม… ’

 

  ความรู้สึกเบิกบานที่อินกองไม่เคยรับรู้มาก่อน เขาไม่รู้ว่าเหตุใดกรีนวินด์กับนาตาช่าจึงเผชิญหน้ากัน และเหตุใดเขาจึงยินดีกับการปะทะของทั้งสอง

 

  หลังจากที่อินกองตั้งสติกลับมาได้ เขาก็หยุดการต่อสู้โดยให้กรีนวินด์สลายกายเนื้อของนาง จากนั้นเขาก็สั่งให้คารัคกับนาตาช่าไปพักผ่อน อาจเกิดเรื่องดีขึ้นบ้างแต่สถานการณ์ไม่สามารถให้พวกเขารื่นเริงได้

 

  นาตาช่าน้อมรับแต่โดยดี ส่วนคารัคก็แสดงความห่วงใยออกมา

 

  อินกองนั่งลงใช้ความคิดเพียงผู้เดียว ไม่รวมความจริงว่ากรีนวินด์เพียงแค่ไม่ปรากฏกายเนื้อ

 

‘ได้ตัวนาตาช่ามาละวะ’

 

  หนึ่งในสามขุนพลสุดโปรดของอินกองยามเล่นเกม

 

  นาตาช่ายังเป็นปัจจัยสำคัญกับการฆ่าล้างเผาไลแคนโทรป

 

  ความรู้สึกภาคภูมิเกิดขึ้นเมื่อเป้าหมายได้สำเร็จลุล่วงไปหนึ่ง

 

‘ต่อไปก็แวนเดล’

 

  ภาพที่อินกองจับมือกับบลัดโอเกอร์โผล่ขึ้นมา รอยยิ้มผุดขึ้นบนในหน้าของเขา

 

‘ราชาบาบาเรี่ยนเก่งอยู่ เราต้องรอบคอบ แล้วสุดท้ายเราต้องดวลตัวตัวชนะแวนเดลให้ได้อีก’

 

  อินกองสูดหายใจเข้าเต็มปอด เขาเตรียมตัวเข้าภวังค์เพื่อฝึกลมปราณเช่นทุกวัน

 

“ฉัตร ฉันเข้าไปได้ไหม?”

 

  แต่ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นอีกด้านของประตู

 

  เมื่ออินกองลุกไปเปิดประตู เขาก็พบกับเฟลิซีในชุดนอน 

 

“คุยกันเสร็จแล้วสินะ?”

 

  เฟลิซีถามพลางเดินเข้าห้องพร้อมปิดประตู อินกองตอบนาง

 

“ใช่ครับ ต่อจากนี้นาตาช่าจะร่วมเดินทางกับพวกเรา หน้าที่หลักของนางคือการรวบรวมข้อมูล”

 

  ข้อมูลเป็นสิ่งจำเป็นไม่ว่าจะด้วยยุทธศาสตร์ใด คารัคอาจเป็นองครักษ์ที่มากความสามารถ ทว่ามันก็ไม่สามารถรวบรวมข้อมูลได้ดีเท่าเซร่าหรือเดเลีย อินกองใช้นาตาช่ามาเสริมจุดด้อยตรงนี้ของมัน

 

  สิ้นคำพูดของอินกอง เฟลิซีก็นั่งลงบนเตียง

 

“อืม ฉันยังคงคิดว่าฉัตรรับนางมาเพราะว่าเป็นซัคคุบัสอยู่… แต่ฉันจะเชื่อในตัวเธอก็แล้วกัน”

 

  ถ้อยคำที่บ่งบอกว่านางจะไม่เอ่ยถามอะไรเพิ่มเติม ตัวอินกองก็ไม่รู้จะอธิบายเฟลิซีอย่างไร นี่จึงเป็นข้อเสนอที่เขารับไว้อย่างเต็มใจ

 

“ขอบคุณครับ”

 

“ไม่ต้องขอบคุณอะไรหรอก”

 

  เฟลิซีหัวเราะก่อนยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้าง

 

“ฉัตรรู้ไหมว่าฉันมาเพราะอะไร?”

 

  อินกองพอจะเดาได้อยู่ เขาจึงเลือกถามบางอย่างนำทางไปก่อน

 

“เคทลินนูนะละครับ?”

 

“หลับไปแล้ว วันนี้ค่อนข้างหนักสำหรับนาง”

 

  หลังจากเดินตระเวนซื้อของทั่วเมืองทาก้าตอนบ่ายก็การต่อสู้ที่เกิดขึ้นช่วงค่ำคืน

 

“ทีนี้ก็เล่ามาซะ”

 

  เฟลิซีกล่าวสั่งพร้อมยกแขนขึ้นเท้าคาง อินกองใช้เวลารวบรวมความคิดชั่วครู่ว่าจะเริ่มจากจุดไหน เขาตัดสินใจได้และนำหมวกมังกรออกมา

 

“สิ่งนี้คือหมวกมังกรทองแห่งราชา เป้าหมายการจู่โจมของพวกบาบาเรี่ยนก็คือเจ้านี่”

 

  เฟลิซีหยิบหมวกขึ้นมองสำรวจ ดวงตานาจดจ้องยังรอยสลักก่อนเอ่ยถาม

 

“ราชามังกรทอง?”

 

“ราชาบาบาเรี่ยนในตำนานครับ เขาได้รับการนับถือดุจเทพ”

 

“ว้าว”

 

  แน่นอนว่าโบราณวัตถุย่อมจุดประกายอยากรู้ให้กับนักโบราณคดีอย่างเฟลิซี นางสำรวจหมวกอย่างพิถีพิถัน

 

  อินกองยังคงพูดต่อไป

 

“ความสำคัญของหมวกนี้สำหรับพวกบาบาเรี่ยนต่างออกไป มันสื่อถึงอำราจของราชา คล้ายกับมงกุฎหรือพวกตราประทับ”

 

“หมวกนี้อยู่ที่เมืองทาก้ามาแต่แรกแล้วรึ?”

 

“เรื่องนั้นผมก็ไม่มั่นใจ แต่ที่แน่ๆคือพวกบาบาเรี่ยนบุกมาเพื่อจะชิงมัน”

 

  มันอาจจะถูกปล้นช่วงชิงมา หรือเป็นโบราณวัตถุที่ถูกขุดเจอ 

 

  เฟลิซีสัมผัสหมวกมังกรทองอย่างแผ่วเบา แววตาของนางเปลี่ยนไปอีกครั้ง ไม่ใช่นักโบราณคดีแต่เป็นเจ้าหญิงแห่งวังจอมมาร

 

“น่าเสียดายที่เราใช้ประโยชน์มันได้ไม่มาก”

 

  ถึงจะเป็นสัญลักษณ์อันชอบธรรมของราชา แต่พวกเขาก็ไม่สามารถใช้มันเพื่อปกครองเหล่าชนเถื่อนได้ เพราะคงไม่มีชนเถื่อนตนใดจะยอมรับฟังคำสั่งจากพวกเขาอย่างแน่นอน

 

  แต่ว่าหมวกนี้ยังสามารถใช้ทำประโยชน์ให้กับคณะของอินกองได้อยู่ พวกเขาสามารถใช้มันทำลายขวัญกำลังใจเหล่าชนเถื่อน หรือก่อสงครามภายในแย่งชิงอำนาจ

 

  เฟลิซีไม่จำเป็นต้องยกตัวอย่างเหล่านี้ขึ้นมา นางทำเพียงยักไหล่แล้วถามบางอย่างเพิ่ม

 

“แล้ว… เพราโตสใช่มั้ย? บาบาเรี่ยนนั่นรู้ไหมว่าหมวกนี้อยู่ที่เธอ?”

 

“ครับ แต่เขาคงไม่รู้ตัวตนของผมหรอก”

 

  ยิ่งกว่านั้นเพราโตสในตอนนี้คงไม่มีเวลาให้ครุ่นคิดมากนัก เขาต้องหาทางหลบหนีออกเมืองทาก้าให้ได้เสียก่อน อินกองไม่รู้รายละเอียดปลีกย่อยแต่คงอีกสักพักใหญ่กว่าเขาจะเผชิญหน้าเพราโตสอีกครั้ง

 

  การแสดงออกของเพราโตสบ่งบอกว่าสิ่งนี้คือเป้าหมายของเขาอย่างแน่นอน

 

“ตาพายุจริงๆ ช่วยคิดถึกคนที่โดนลูกหลงหน่อยได้มั้ย?”

 

  เฟลิซีขมวดคิ้วพลางกอดอกใช้ความคิด

 

“ขอโทษครับ”

 

  อินกองรู้สึกผิดต่อเฟลิซีอย่างจริงใจ นั่นเพราะนางคอยเก็บกวาดเรื่องที่เขาเป็นต้นเหตุอยู่เสมอ

 

  สีหน้าสำนึกผิดของอินกองทำให้เฟลิซีรีบลุกขึ้นปัดมืออย่างเขินอาย

 

“ฉันแค่หยอกเล่นนะ แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง ทำไมต้องทำหน้าจริงจังขนาดนั้น แล้วครั้งนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมาย อาจจะวุ่นๆหน่อย แต่ก็ไม่ต่างไปจากปกติหรอก อย่าเก็บไปคิดให้รกหัวเปล่าๆเลย”

 

  ถ้าทางลนลานของนางทำให้อินกองกลับมาสบายใจอีกครั้ง 

 

“ยังไงก็สรุปว่า เพราโตสบุกเข้าเมืองทาก้าเพื่อจะชิงหมวกนี้ใช่ไหม?”

 

“ตอนนี้ก็ใช่ครับ”

 

“ของชิ้นอื่นละ?”

 

  เฟลิซีเท้าเอวถาม อินกองทำเพียงยิ้มแหยตอบนาง

 

“เอ่อ… ก็… ถึงผมไม่ฉกมาของพวกนั้นก็คงโดนลูกหลงเสียหายอยู่ดีละมั้งครับ?”

 

  เป็นเหตุผลที่พอฟังขึ้นอยู่บ้าง ทว่าเฟลิซียังคงจดจ้องมาที่อินกอง

 

“พูดได้ดีนิ”

 

  จะเกิดเรื่องหรือไม่ อย่างไรเสียอินกองก็คงนำของพวกนั้นมาอยู่ดี

 

“ครั้งนี้ช่วยไม่ได้เพราะวัลคาโน่ไม่ใช่คนดีอะไรนัก แต่พวกเราเป็นถึงทายาทจอมมาร พวกเราควรมาขโมยของอะไรแบบนี้หรือ?”
โอ้ววววว มีคนหลุดจากการล้างสมองของคุณปู่แล้ว (@^◡^)

 

“ผมจะเก็บไปคิดครับ”

 

“ใช่แล้ว เก็บไปคิดซะ”

 

  เฟลิซีลูบหัวอินกองอย่างเอ็นดู ส่วนใหญ่อินกองจะเป็นฝ่ายลูบหัวผู้อื่นเสียมากกว่า เมื่อเป็นฝ่ายถูกลูบหัวบ้างทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาด

 

“แล้วก็”

 

“แล้วก็?”

 

“ได้อะไรมาบ้างละ? มีของน่าสนใจบ้างไหม? ถ้าเป็นเครื่องเพชรหรือรูปภาพที่ฉันเล็งไว้บ้างยิ่งดีเลย”
หน่านี้! ไหนว่ากลับใจแล้วไงหนู?

 

  เฟลิซีถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ครั้นจะตอบนางก็จะเสียเวลา อินกองทำเพียงอมยิ้มก่อนนำสิ่งของเตรียมประมูลทั้งหมดออกมาทีละชิ้น