เช้าวันรุ่งขึ้น คณะของอินกองก็มารวมตัวกันเพื่อหารือแผนการ

 

  แผนที่ว่าก็แสนเรียบง่าย เดินทางร่วมกับกำลังเสริมเข้าสมทบพลเอกแวนเดล

 

  แน่นอนว่าสมาชิกส่วนใหญ่พอจะคาดเดาได้ล่วงหน้า มีสมาชิกสองตนเท่านั้นที่แสดงอาการต่างไป นาตาช่ากับอมิตาภา

 

“อะไรกันฮะ! วังจอมมารก็ทีนึงแล้วนะฮะ นี่ยังจะสนามรบอีกหรอฮะ!”

 

“ใช่แล้วครับ”

 

  อมิตาภาหยุดจ้องมองคำตอบรับอันไม่สะทักสะท้านของอินกองก้อนใช้หางทุบพื้น

 

“ไอ้! ไอ้! ไอ้!”

 

  หากมิใช่ด้วยข้อจำกัดทางร่างกายที่เป็นเพียงแรคคูนตัวน้อยแล้ว อมิตาภาคงกระชากคอเสื้ออินกองอย่างอันทพาลเป็นแน่แท้ ดาฟเน่รีบเข้ากอดอมิตาภาจากด้านหลัง

 

“กำลังจากอมิตาภาจำเป็นสำหรับพวกเรามากนะ หรือเธอจะปล่อยให้ฉันไปสถานที่อันตรายแบบนั้นตัวคนเดียวจริงๆ?”

 

“เรื่องนั้น… ”

 

  ไหล่และหางพับตกลงในทันที อมิตาภาเปลี่ยนสภาพจากผู้เกรี้ยวกราดกลายเป็นผู้พ่ายแพ้ในพริบตา

 

“ก่อนออกเดินทางวันนี้เดี๋ยวฉันจะซื้อขนมโปรดอมิตาภาให้เยอะๆเลย แล้วพอพวกเรากลับมาฉันก็จะซื้อเพิ่มให้อีก ทีนี้อมิตาภาก็จะมีขนมเยอะจนกินไม่หวาดไม่ไหวเลยละ”

 

  ภาพตนนอนอยู่บนกองขนมผุดขึ้นมาในหัวเจ้าแรคคูนตัวน้อย

 

  อมิตาภาถอนหายใจก่อนกระโดดออกจากอ้อมกอดของดาฟเน่

 

“แบบนั้นก็ช่วยไม่ได้ฮะ เห็นแก่ดาฟเน่อมิตาภาจะยอมไปด้วยก็ได้ฮะ”

 

“ขอบคุณมากอมิตาภา”

 

  ดาฟเน่ยิ้มให้กับอมิตาภาก่อนจะแอบขยิบตาให้อินกอง 

 

‘คิดถูกจริงๆที่ปล่อยเป็นหน้าที่ดาฟเน่’

 

  คณะของอินกองกำลังเดินทางไปสนามรบ ความสามารถของอมิตาภาในฐานะช่างเหล็กนับว่าเป็นประโยชน์กับพวกเขามาก จริงอยู่ที่การจัดสรรปันส่วนอาวุธเป็นเรื่องสำคัญ ทว่าการบำรุงรักษาก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

 

  อมิตาภาอาจเกรี้ยวกราดทุกครั้งที่คณะของอินกองร้องขอ แต่สุดท้ายเจ้าแรคคูนก็ยอมจำนนอยู่ดี

 

‘เจ้าแรคคูนพูดมากกลับมาอารมณ์ดีอีกครั้งแล้วนายท่าน’

 

‘ใช่แล้ว’

 

  อินกองคุยโต้ตอบกับกรีนวินด์ก่อนเพ่งความสนใจไปทางนาตาช่า นางมีอาการลนลานจากข่าวที่ไม่คาดฝัน

 

“นาตาช่า ไม่เป็นอะไรนะ?”

 

  นาตาช่าสะดุ้งกับคำถามแสดงความห่วงใยก่อนตั้งสติตอบกลับ

 

“ข้าเป็นหนึ่งในองครักษ์ขององค์ชาย เรื่องเพียงนี้ไม่เป็นปัญหาอะไรเพคะ”

 

  นางอาจตอบเช่นนั้น แต่ท่าทีของนางกลับบ่งบอกอีกอย่าง

 

  จริงอยู่ที่ตราลัญจกรช่วยเสริมความภักดีต่ออินกอง ทว่ามันก็ใช่จะลบล้างตัวตนเดิมไปเสียทีเดียว ผลของมันเอนเอียงไปในลักษณะการโน้มน้าวเสียมากกว่า

 

  ทำให้ทั้งที่ตราลัญจกรส่งผลกับนาตาช่า แต่ก็ยังหลงเหลือความเคลือบแคลงต่ออินกองอยู่บ้าง

 

‘ไม่ใช่ใต้ฝ่าพระบาท แต่เป็นองค์ชายแฮะ’

 

  เป็นครั้งแรกที่อินกองได้ยินนาตาช่าเรียกเขาเช่นนั้น บางทีอาจเป็นการแสดงความประสงค์ดีต่อตัวเขาในแบบหนึ่ง

 

  อินกองยิ้มให้นาตาช่าก่อนหันไปทางเฟลิซี นางตบมือเพื่อดึงความสนใจมาที่นาง

 

“เอาละ ถ้าพวกเราตกลงกันได้เรียบร้อยแล้ว งั้นก็ไปกันเลยดีมั้ย? พวกเราจะออกเดินทางจากทาก้าด้วยเสบียงที่เตรียมเมื่อวาน ไปสมทบที่จุดนัดพบกับกำลังเสริม แล้วเคลื่อนพลสู่ป้อมเอเวียงตอนบ่าย”

 

  ระหว่างที่อินกองใช้เวลาตามหาตัวนาตาช่า เฟลิซีก็ใช้เวลาส่วนนั้นตระเตรียมเสบียงเรียบร้อย เรียกได้ว่านางเป็นที่พึ่งพาได้เสมอ

 

  คณะของอินกองจัดแจงรับประทานอาหารที่ทางโรงแรมจัดเตรียมให้ จากนั้นพวกเขาก็ออกเดินทาง ระหว่างทางพวกเขาสังเกตเห็นบรรดาร้านค้าเปิดให้บริการตามปกติ มีเพียงไม่กี่ร้านที่เสียหายเกินกว่าจะเปิดบริการได้

 

“เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยที่ทาก้าจนเรียกว่าปกติ ตามจุดตรวจทั้งหลายอาจจะเข้มงวดขึ้นเป็นพิเศษ แต่พวกเราน่าจะผ่านได้ไม่มีปัญหาอะไร”

 

  ตามที่เฟลิซีกล่าว ยามตามจุดตรวจค่อนข้างเข้มงวดเผื่อกรณีที่เหล่าชนเถื่อนซุกซ่อนปะปนมากับสินค้า แต่พวกเขาก็สามารถผ่านมาได้อย่างไม่เกิดเรื่อง

 

  คณะอินกองเดินทางไปยังค่ายกลเคลื่อนมิติใกล้เมืองทาก้า ตามกำหนดการเดิมพวกเขาจะพบกับกำลังเสริมที่ตัวเมืองเลย ทว่าด้วยสถานการณ์ของเมืองขณะนี้ค่อนข้างไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไร จึงมีการเปลี่ยนแผนการเล็กน้อย

 

  ค่ายกลข้ามมิติถูกติดตั้งไว้ตามสถานที่หลากหลายกระจายตัวทั่วเขตโลกมาร  ด้วยทางทฤษฎีสามารถเชื่อมค่ายกลเหล่านี้ต่อกันได้ แต่ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง งบประมาณ และข้อพิพาททางการเมือง ทำให้ค่ายกลทั้งหมดมิได้เชื่อมต่อถึงกันหมด
เหมือนรถไฟฟ้าบ้านเรามีสายเดียวเชื่อมทุกสถานีก็ได้ แต่ก็แบ่งทำเป็นสายสีเขียว สีม่วง บลา บลา 

 

  กรณีค่ายกลถูกศัตรูยึดจะทำให้พวกมันไม่สามารถเคลื่อนย้ายเข้าสู่วังจอมมารได้ในทันที หลายเผ่าก็ไม่ยินยอมให้กำลังพลจากทางวังสามารถมาปรากฏยังเขตแดนตนได้โดยมิทันตั้งตัว จึงมีเพียงค่ายกลเคลื่อนมิติในเขตหัวเมืองหลักเท่านั้นที่เชื่อมโยงถึงวังจอมมาร

 

‘ก็นะ แต่ละเผ่าก็มีผู้ครอง’
แต่ละประเทศ/เผ่ามีราชา ซึ่งถูกปกครองโดยจักรพรรดิ/จอมมารอีกที

 

  ยกตัวอย่างเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าไลแคนโทรป สิ่งแรกที่คริสต์ทำคือการทำลายค่ายกลเคลื่อนมิติเพื่อขัดขวางการเดินทางจากวังจอมมาร

 

‘หลังจากวันล้างบาง ค่ายกลทั้งหมดก็แทบจะถูกตัดขาดจากกันสิ้นเชิง’

 

  ความหวาดระแวงทำให้ทุกเผ่าต่างทำลายค่ายกลในเขตแดนของตนทิ้ง

 

  นี่คืออนาคตที่อาจจะเกิดขึ้นหากเหตุการณ์ยังคงดำเนินเฉกเช่นในเกม อนาคตที่อินกองต้องการป้องกันมิให้เกิดขึ้นจริง

 

  หลังจากคณะของอินกองเดินทางมาถึงค่ายกลเคลื่อนมิติ สักพักก็ปรากฏกำลังเสริมจากเผ่าเอลฟ์รัตติกาล กำลังพลทั้งหมดราวสองร้อยตนต่างมีเดรโก้พาหนะประจำตัว เป็นทั้งนักรบ จอมเวท นักพรตปะปนกันไป

 

“ดียิ่งนักที่เจ้าหญิงยังคงสมบูรณ์ดี”

 

  ผู้ที่นำทัพกำลังเสริมจากเผ่าเอลฟ์รัตติกาลก็คือเอลิต้า ดูมเบลด น้องสาวคนเล็กของราชินีซิลเวีย

 

“ดีใจที่พบอีกครั้งคะ น้าเอลิต้า”

 

  เฟลิซีเข้ากอดน้าของนางก่อนเริ่มแนะนำสมาชิกคณะ

 

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบเจ้าชายฉัตรตามคำร่ำลือ”

 

  เจ้าชายฉัตรตามคำร่ำลือ?

 

  อินกองยิ้มทักทาย เอลิต้าให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับเฟลิซีมาก จะต่างก็ตรงที่นางดูดุดัน และเป็นสาวกว่าเฟลิซี

 

‘ในเกมก็นะ… นางเป็นบอสรองก่อนเจอเฟลิซี’

 

  ทันใดนั้นสีหน้าของเอลิต้าก็เปลี่ยนไป สายตาของนางจดจ้องไปยังสัตว์ตัวน้อยที่กำลังสายหาง นางเดินไปลูบหัวสัตว์ตนนั้นอย่างไม่รอช้า

 

  อินกองมองสำรวจเสบียงทั้งหมดที่กำลังเสริมของเอลิต้านำมา เสบียงสำหรับทหารร่วมสองร้อยตนมีจำนวนที่ค่อนข้างมากทีเดียว

 

  ราวเที่ยงกำลังเสริมจากเผ่าไลแคนโทรปก็ปรากฏ ทหารราวสองร้อยตนเช่นเดียวกับของเผ่าเอลฟ์รัตติกาล ทหารเหล่านี้สวมชุดหนังสำหรับการเคลื่อนไหวที่คล่องตัว

 

“คัปลานนำเหล่ากำลังพลเข้าสมทบเจ้าหญิงเคทลินพระพุทธเจ้าข้า”

 

  คัปลานผู้เป็นดาวเด่นหน้าใหม่ของหน่วยกองพลโลหิต หากเทียบตามสายเลือดราชวงศ์อาจเรียกได้ว่าห่างไกล แต่เคทลินก็สนิทสนมไม่ต่างจากลูกพี่ลูกน้อง

 

“ชื่อเสียงเรียงนามของท่านเล่าลือ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมรบออกศึกกับท่าน”

 

“ใช่แล้ว ฉัตรสุดยอดที่สุด”

 

  เคทลินหัวเราะอวดอ้างสรรพคุณขณะอินกองจับมือกับคัปลาน รอยยิ้มที่ละม้ายคล้ายคลึงเคทลินบ่งบอกว่าชายผู้นี้มีสายเลือดราชวงศ์ไลแคนโทรปไหลเวียนในตัว

 

‘ชักเริ่มสงสัยแล้วเนี่ย ข่าวลืออะไรกันวะ’

 

  นักรบไลแคนโทรปส่วนใหญ่มีทักษะการต่อสู้ไม่แตกต่างกัน ความพยายามระลึกข้อมูลคัปลานของอินกองจึงไม่เกิดผล

 

  กำลังเสริมจากเผ่าไลแคนโทรปทั้งหมดเป็นนักรบ มิใช่ว่าพวกเขาไม่สามารถใช้เวทมนตร์หรือรัศมีเทพได้ แต่เพราะการรับราชการทหารเผ่าไลแคนโทรปต้องได้รับการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อย่างแน่นหนา

 

  ด้วยความที่ว่าเผ่าไลแคนโทรปเป็นสัตว์สมิง เสบียงของพวกเขาจึงมีปริมาณมากกว่าเผ่าเอลฟ์รัตติกาลมากนัก

 

  กำลังเสริมทั้งหมดรวมกันได้ราวสี่ร้อยตน หากพิจารณาว่าทั้งหมดเป็นทหารระดับสูงด้วยแล้ว เรียกว่ากำลังเสริมชุดนี้เทียบเท่ากำลังพลหนึ่งพันตนก็ว่าได้

 

  ระหว่างที่เคทลินกับอินกองกล่าวทักทายเอลิต้ากับคัปลาน เฟลิซีก็ได้ใช้เวลาในการจัดสรรเสบียงเตรียมเคลื่อนทัพ พ้นเมืองทาก้าเมื่อใด การขนเสบียงในดินแดนไร้กฏเกณฑ์อย่างเอเวียงย่อมเกิดปัญหา

 

  เวลาผ่านละเลยไปจนคณะอินกองพร้อมเคลื่อนพล

 

“ใต้ฝ่าพระบาทพระพุทธเจ้าข้า!”

 

  มีทหารประจำค่ายกลเคลื่อนมิติรีบส่งเสียงร้อง หลังจากได้รับอณุญาตทหารตนนี้ก็เริ่มนำม้วนกระดาษข้อความออกมา

 

“มีข้อความเร่งด่วนถูกส่งมาจากป้อมเอเวียงพระพุทธเจ้าข้า!”

 

“หรือจะเป็นแม่ทัพแวนเดล?”

 

  อินกองรีบถามกลับ ทหารตนนั้นส่ายหน้าก่อนส่งมอบม้วนกระดาษพลางกล่าวอธิบาย

 

“มิใช่ท่านพลเอกแวนเดล แต่เป็นข้อความจากป้อมปราการหลายแห่งพระพุทธเจ้าข้า!”

 

  สีหน้าของทหารที่รายงานบ่งบอกว่านี่เป็นเรื่องร้ายแรง คัปลานกล่าวซักรายละเอียด
  ฉัตรเป็นเจ้าชายแต่โดนคัปลานพูดแทรกได้ไง?

 

“เกิดอะไรขึ้น? พลเอกแวนเดลนำทัพเข้าสะกัดกั้นศัตรูเอาไว้ไม่ใช่หรือยังไง?”

 

  อินกองรับรู้เพียงราชาชนเถื่อนนำทัพบุกดินแดนแล้วพลเอกแวนเดลนำกำลังพลเข้าสกัดกั้น จากกิตติศัพท์ของชื่อแวนเดลทำให้ความเป็นไปได้ที่ศัตรูบุกฝ่าไปโจมตีป้อมปราการมีน้อยมาก

 

“กองทัพศัตรูมีจำนวนมากกว่าที่ประเมินเอาไว้พระพุทธเจ้าข้า”

 

  เอลิต้านำจดหมายเหตุจากนายทหารมาคลี่บนโต๊ะ ช่วงเวลาของแต่ละแห่งแตกต่างกันออกไป แต่ทั้งหมดมีรายละเอียดเป็นเหตุฉุกเฉิน

 

  เมื่ออ่านถึงจำนวนของศัตรูที่แต่ละจุดรายงาน เอลิต้าก็หน้าถอดสีในทันที

 

“ดูเหมือนพวกมันกระจายตัวเข้ายึดป้อมปราการต่างๆระหว่างสกัดกั้นแวนเดลเอาไว้ ถ้าพวกมันทำสำเร็จจะกลายเป็นว่าแวนเดลถูกล้อมอยู่ในดงศัตรู”

 

  คารัครีบนำแผนที่เอเวียงมากางแผ่บนโต๊ะทันที หมากตำแหน่งถูกแทนลงตามป้อมปราการกับตำแหน่งของแวนเดล จริงอย่างที่เอลิต้ากล่าว หากศัตรูทำสำเร็จช่องทางเสบียงของแวนเดลจะถูกตัดขาดทำให้ไม่สามารถทำศึกต่อได้

 

  กลยุทธนี้จะสำเร็จก็ต่อเมื่อมั่นใจว่าจำนวนกำลังพลของตนมีมากกว่าอีกฝ่าย เป็นการใช้จำนวนกระจายเข้าล้อมอีกฝ่ายก่อนบุกโจมตีทุกทิศทาง

 

  เฟลิซีกัดริมฝีปากถาม

 

“ข้อความฉุกเฉินที่ส่งมา จุดไหนอยู่ใกล้พวกเรามากที่สุด?”

 

“ป้อม7เพคะ แต่ด้วยระยะทาง คาดว่าต้องใช้เวลาเดินทางราว 4 วัน เร่งมากที่สุดก็ยังต้องใช้เวลาถึง 2 วันเพคะ”

 

  เดเลียตอบด้วยสีหน้าไม่สู้ดีสักเท่าไร กำลังพลของพวกเขาอาจจะมีฝีมือที่เก่งกาจและการเคลื่อนพลที่รวดเร็ว ทว่าก็ไม่สามารถข้ามข้อจำกัดทั้งหมดไปได้

 

  เวลาเดินทางสองวันเรียกได้ว่าไม่ทันการ ป้อมปราการที่เจ็ดต้องโดนศัตรูตีแตกแล้วอย่างแน่นอน จากนั้นกำลังพลที่อ่อนแรงจากการเร่งรีบเคลื่อนพลจะต้องต่อสู้แย่งชิงป้อมปราการจากศัตรู

 

  หากมองโดยภาพรวมแล้ว พวกเขาควรยอมสูญเสียป้อมปราการที่เจ็ดและรีบเร่งไปสนับสนุนพลเอกแวนเดล ยิ่งขอกำลังสมทบจากทางวังจอมมารได้จะยิ่งดี

 

  เฟลิซีหลับตาลงใช้ความคิดอย่างเคร่งเครียด

 

“อย่าห่วงครับนูนะ พวกเราไปถึงทันการแน่”

 

“ฉัตร?”

 

  อินกองมองสำรวจผ่านแผนที่ย่อ เขาพยายามนึกภาพเหตุการณ์ระหว่างเคราโตสกับแวนเดลจากความทรงจำ

 

  เช่นเดียวกับที่พวกชนเถื่อนพยายามกระทำ พวกเขาต้องตัดเส้นทางเสบียงของฝ่ายชนเถื่อน เพื่อการนั้นพวกเขาต้องรักษาป้อมปราการที่เจ็ดเอาไว้ให้ได้ ปัญหาก็คือต้องทำอย่างไรพวกเขาจึงจะไปถึงทันเวลา

 

  คำพูดจากอินกองดึงทุกสายตาให้มาจดจ้องที่เขา อินกองหันไปถามเฟลิซี

 

“นูนิมช่วยร่ายเวทมนตร์กำบังกองเสบียงจากทุกคนได้ไหมครับ?”

 

“ใต้ฝ่าพระบาท?”

 

  คัปลานเอ่ยถามด้วยความสงสัยแต่เวลากระชั้นชิดเกินกว่าอินกองจะอธิบาย เฟลิซีเข้าใจว่าอินกองวางแผนบางอย่างเอาไว้ แทนที่จะเสียเวลาซักถาม นางเชื่อมั่นแล้วทำตามสิ่งที่เขาขอ

 

“ไม่มีปัญหา ดาฟเน่ เธอมาช่วยฉันหน่อยสิ?”

 

“เข้าใจแล้วคะ”

 

  เฟลิซีกับดาฟเน่เดินไปทางกองเสบียง เอลิต้ากับคัปลานต่างสงสัยในสิ่งที่อินกองจะทำแต่อินกองละไว้เป็นหน้าที่ของคารัค แน่นอนว่าการทำให้เสบียงมากมายเหล่านี้หลุดรอดจากทุกสายตามิใช่เรื่องง่าย แต่พี่สาวที่พึ่งพาได้เสมอก็จัดการให้อย่างไม่เป็นปัญหา ภูติแสงกับภูติน้ำถูกเรียกกมาสร้างกระจกสะท้อนมิให้เสบียงทั้งหมดอยู่ในการมองเห็น
  ดูเหมือนหลักการมองเห็นตามหลักวิทยาศาสตร์ยังคงใช้ได้กับโลกในนิยาย

 

  จริงอยู่ที่ช่องเก็บของมีข้อจำกัดเรื่องจำนวนที่อินกองสามารถส่งเข้าออก สิ่งที่อินกองต้องทำก็แสนง่าย ส่งเสบียงในปริมาณที่มากที่สุดเข้าช่องเก็บของในแต่ละครั้งและทำมันหลายครั้ง และแล้วเสบียงทั้งหมดก็ถูกขนย้ายในเวลาต่อมา

 

  กระทั้งเฟลิซีกับเคทลินที่รู้เกี่ยวกับช่องเก็บของนี้ก็ตกตะลึง ช่องว่างมิติที่น้องชายของพวกนางจุสิ่งของมีขนาดใหญ่โตจนจุเสบียงทั้งหมดได้เชียวหรือ?

 

  เฟลิซีพยายามข่มความอยากรู้ตามวิสัยนักค้นคว้าเอาไว้ เคทลินทำได้เพียงกระพริบตา นางตะลึงจนลืมเอ่ยวลีติดปาก‘สุดยอด’ออกมา

 

  เมื่อนำเสบียงทั้งหมดจุเข้าช่องเก็บของภาระด้านการขนเสบียงก็หมดไป ทหารหลายตนสับสนที่เสบียงหายไปอย่างกระทันหัน อินกองเริ่มสั่งการ

 

  เอลฟ์รัตติกาลทั้งหมดขึ้นควบเดรโก้ เหล่าไลแคนโทรปแปลงเข้าร่างสมิง

 

  ในที่สุดคัปลานกับเอลิต้าก็เข้าใจเป้าหมายของอินกอง ถึงแม้ปัญหาเรื่องเสบียงจะถูกตัดออกไปได้แต่วิธีนี้ก็ยังไร้เหตุผลเกินไป พวกเขาอาจเร่งฝีเท้าได้ไวขึ้นแต่ก็ไม่สามารถไปได้ทันเวลาอยู่ดี และการเร่งรีบเช่นนี้ย่อมส่งผลให้พวกเขาถึงสนามรบในสภาพที่อ่อนแรง จะมีประโยชน์อันใดหากพวกเขาไปถึงโดยที่ไม่สามารถต่อสู้ได้?

 

  ถึงกระนั้นเฟลิซีก็เชื่อมั่นในตัวอินกอง นั่นทำให้คัปลานกับเอลิต้าต้องทำตามคำสั่งอย่างไม่ปริปาก

 

  เคทลินก็เชื่อในตัวอินกองเช่นกัน นางสั่งให้เหล่าทหารปฏิบัติคำสั่งในทันทีพลางขึ้นควบสัตว์พาหนะของนาง

 

  อินกองหันไปถามเฟลิซี

 

“จำปราสาทธันเดอร์ดูมได้ไหมครับ?”

 

“แน่นอน ใครจะลืมได้ลงกัน”

 

  เฟลิซีหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา เดเลียและดาฟเน่ต่างก็แสดงอาการเช่นเดียวกันออกมา คารัคแสยะยิ้มพลางจ้องมองไปยังทิศทางเป้าหมายข้างหน้า

 

“คราวนี้แกไม่หลบอยู่หลังข้าแล้วหรือ องค์ชาย?”

 

“ตามผมให้ทันก็แล้วกัน”

 

  อินกองขึ้นขี่เมว่า เขาสูดหายใจเข้าให้เต็มปอดเตรียมเรียกใช้ทักษะอันคุ้นเคย

ในเมื่อพวกชนเถื่อนใช้แผนอันแยบยล พวกเขาก็ต้องเหนือชั้นยิ่งกว่านั้นไปอีกหลายขุม

 

“ให้ข้าช่วยท่านเอง นายท่าน”

 

  กรีนวินด์ปรากฏกายเนื้อในลักษณะโปร่งแสง นางลอยตัวขึ้นเหนือกองทัพพวกเขา ตราลัญจกรกลางหน้าผากของนางส่องแสงเรืองรอง

 

  สมกับเป็นอดีตเทพารักษ์แห่งที่ราบอินคา… 

 

  แสงจากตราและแสงสีเขียวที่ส่องเรืองจากตัวนางให้ความรู้สึกอันศักดิ์สิทธิ์ ราวกับทหารทั้งสี่ร้อยตนอยู่ในอ้อมกอดของนาง

 

‘พรแห่งสายลม’

 

  พรที่นางเคยร่ายให้กับอินกองเพื่อเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่

 

  สายลมสีเขียวแผ่กระจายสู่กองกำลัง กลิ่นอายจากทุ่งหญ้า ฝีเท้าที่เบาบางราวล่องลอย แม้ตราลัญจกรจะช่วยฟื้นฟูพลังของกรีนวินด์กลับมาได้บางส่วน แต่การร่ายพรให้กับเป้าหมายจำนวนมากเช่นนี้ย่อมสร้างภาระให้กับนาง ถึงกระนั้นกรีนวินด์ก็ไม่ต้องการทำให้เจ้านายของนางผิดหวัง

 

  ร่างที่เบาบางของกรีนวินด์ร่อนลงมาอยู่เคียงข้างอินกองบ่งบอกให้รับรู้ว่านางอ่อนแรง เขาเอื้อมมือออกไปลูบหัวชมเชยนาง พลังของทหารมหาดเล็กราชวัลลภที่เพิ่มขึ้นย่อมบ่งบอกว่าพลังแห่งอาณัติเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน มากมายเหนือกว่ายามที่อินกองได้รับมันมา

 

“ใต้ร่มเงากษัตริย์”

 

  แสงสีขาวส่องสว่างออกจากตัวอินกอง รวมตัวกันกลายเป็นธงสีขาวโบกสะบัด

 

  ธงราชลัญจกรแห่งแสง…

 

  อินกองถือธงเอาไว้ในลักษณะราวกับอัศวินถือหอกบนหลังม้า พลังแห่งอาณัติแผ่ขยายออกจากธงครอบคลุมกองกำลังของพวกเขา

 

  พรแห่งสายลมเสริมเพิ่มด้วยพลังแห่งอาณัติเข้าไปอีก

 

  มิใช่แค่เพียงเอลิต้ากับคัปลานที่จ้องอินกองอย่างอัศจรรย์ใจอีกต่อไป

 

“ไปเลยนายท่าน รวดเร็วประดุจลมกรด”

 

  เสียงร้องดังขึ้นจากกรีนวินด์ คารัคแสยะยิ้มออกมาแล้วร้องตะโกนคำราม

 

“คุร่าฮ์!”

 

  เสียงคำรามที่เหมือนสัญญาณออกวิ่ง อินกองตวัดธงวิ่งทะยานออกไปเป็นทัพหน้า กองทัพพุ่งทะยานตามมาอย่างรวดเร็วประดุจลมกรด