ลักษณะภูมิภาคที่ไร้แหล่งทรัพยากรทำให้เอเวียงเป็นเขตแดนนอกเหนือสายตาของวังจอมมาร แต่ด้วยความที่ว่าเป็นเขตติดชายแดนทำให้เอเวียงมีกำลังพลเฝ้าประจำอยู่ตลอด

 

  กำลังพลเหล่านี้แบ่งกระจายตามป้อมปราการหลายแห่ง แต่ละจุดล้วนมีกำลังพลประจำการหลายพัน เพื่อให้สามารถเฝ้าระวังการรุกล้ำได้อย่างทั่วถึง

 

  ป้อมปราการที่เจ็ดหรือที่ชาวท้องถิ่นเรียกกันว่าป้อมทาก้า เป็นจุดระดมพลที่เชื่อมรอยต่อระหว่างเมืองทาก้ากับป้อมปราการอื่น ป้อมนี้ทำหน้าที่ในการส่งเสบียงเป็นหลัก หากเทียบกับป้อมปราการที่เหลือจึงเรียกได้ว่าป้อมปราการที่เจ็ดมีกำลังรบต่ำที่สุด ถึงกระนั้นป้อมปราการนี้ก็สามารถใช้รักษาความสงบและต่อกรกับสถานการณ์รุนแรงในเขตเอเวียงได้

 

  ทว่านั่นเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นตามปกติ มิได้รวมถึงการรุกล้ำจากชนเถื่อน

 

  บรรดาทหารรักษาการณ์ประจำป้อมทาก้าต่างมองไปยังทิศตะวันออกด้วยสีหน้าย่ำแย่ พวกเขามองเห็นกองทัพชนเถื่อนจำนวนราวหนึ่งพันห้าร้อยตนได้อย่างชัดเจน

 

  ในทางกลับกัน กำลังรบของป้อมทาก้าหากไม่นับหน่วยเสบียงมีประมาณสี่ร้อยตนเท่านั้น

 

  แม้ข้อได้เปรียบด้านยุทธศาสตร์ยังคงอยู่ แต่ด้วยจำนวนของศัตรูที่มีมากกว่าถึงสามเท่าก็ยากที่จะตั้งรับได้

 

  ผู้บัญชาการของป้อมทาก้าแห่งนี้คือลิซาร์ดแมนที่ชื่อกาลิกุลา เขากำลังรำลึกความหลังถึงครอบครัวจากแดนเกิด

 

 

  สองวันก่อนกาลิกุลาได้รับแจ้งเหตุวิกฤติที่เกิดขึ้นกับป้อมปราการที่ห้าและหก ปราการทั้งสองยังไม่ถูกตีแตกทำให้เขาคิดเพียงส่งกำลังเสริมไปสนับสนุนปราการทั้งสอง เขามิได้คิดถึงการป้องการป้อมปราการที่เจ็ด

 

  ที่เหนือความคาดหมายก็คือเหล่าชนเถื่อนใช้กลยุทธกระจายกำลังเข้าตีปราการทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง

 

  กลยุทธที่ผิดแปลกไปจากทุกครั้ง และความรวดเร็วในการปฏิบัติที่พุ่งเป้าต่างจากเดิม

 

  ทั้งที่แบ่งกำลังพลกระจายตัวออกแต่ก็ยังมีชนเถื่อนเกินพันตนมาโจมตี แสดงให้เห็นถึงกำลังรบทั้งหมดของฝ่ายชนเถื่อน

 

  ใบหน้าพ่อแม่พี่น้องอวยพรให้ประสบความสำเร็จผุดขึ้นมาเรื่อยเรื่อย กาลิกุลาลืมตาในที่สุด ผู้แพ้ให้กับชนเถื่อนมีจุดจบที่เดาได้ไม่ยาก แต่กาลิกุลาเลือกยืนหยัดต่อสู้จนตัวตาย เขาจะไม่ยอมหลบหนีอย่างพวกขี้ขลาด

 

  ทหารรักษาการณ์ต่างมองดูผู้บัญชาการของพวกเขา กาลิกุลาหยีบมีดของดูต่างหน้าครอบครัวมาลูบคลำอีกครั้งก่อนประกาศออกมาอย่างหนักแน่น

 

“พวกมันคิดว่าเราจะหนีกันอย่างไอ้ขี้แพ้ แต่พวกมันคิดผิด! ถึงเวลาทำตัวให้สมภาษีที่จ่ายค่าแรงพวกเราแล้ว”

 

  บ้างหัวเราะ บ้างส่งสีหน้าย่ำแย่ บ้างก็จ้องไปยังศัตรูอย่างเคียดแค้น ออร์ครองผู้บัญชาการแอบพูดกระซิบถาม

 

“หัวหน้าได้ค่าปลุกระดมมาเท่าไร?”

“มากกว่าเงินเดือนของทุกคนละกัน”

 

  ทั้งสองหัวเราะออกมาก่อนถอนหายใจส่งสีหน้าเคร่งเครียดจ้องมองไปยังทัพศัตรูจากด้านบนกำแพง

 

  กาลิกุลาชักอาวุธประจำตัวออกจากฝัก แววตาของเขาแสดงถึงความแน่วแน่ในอุดมการณ์

 

  เหล่าชนเถื่อนด้านล่างเริ่มใช้วิชากายแกร่ง แล้วบุกเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัว

&

 

“พวกมันเริ่มบุกแล้ว”

 

  อินกองมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านดวงตาของกรีนวินด์ที่ล่องลอยอยู่เหนือสนามรบ

 

  ทัพของอินกองได้หลบพักอยู่บนเนินเขาที่ห่างจากการประจัญบานไปไม่ไกล

 

“แบบนี้ก็เหมาะเหม็งเลย”

 

  คารัคกล่าวเสริม คณะของอินกองเดินทางมาถึงก่อนการต่อสู้เริ่มขึ้นราวสามสิบนาที เรียกว่ากระชั้นชิดแต่ก็เพียงพอพักฟื้นเตรียมการรบ

 

  อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าแม้จะเร่งรีบ แต่หากมาถึงสนามรบโดยที่กองทัพอ่อนล้าก็ไร้ประโยชน์

 

  สิ่งที่อินกองทำคือการใช้ประโยชน์จากแผนที่ย่อ เขานำทัพเคลื่อนพลลัดเลาะผ่านเส้นทางที่อุปสรรคน้อยที่สุด มีหยุดแวะพักบ้างเล็กน้อยแต่ก็ไม่ถึงขั้นกินอิ่มนอนหลับ เมื่อถึงจุดหมาย สภาพของสมาชิกทั้งหมดล้วนอ่อนเปลี้ยเพลียแรง

 

  ถึงกระนั้นปัญหาเหล่านี้ก็บันเทาลงได้ด้วยพรกับเวทมนตร์ อาจจะไม่สมบูรณ์เต็มที่แต่กำลังรบทั้งหมดพร้อมรบ

 

  ยกเว้นผู้เสียสละสองตน ดาฟเน่กับเฟลิซีอยู่ในสภาพที่อาจสิ้นลมได้ทุกเมื่อ ทั้งสองใช้พลังเวทและรัศมีเทพในตัวจนร่างกายได้รับภาระอย่างหนัก

 

“………..”

 

  เฟลิซีพยายามกล่าวบางอย่าง แต่นางอ่อนล้าจนไม่มีคำพูดหลุดลอยออกมาชัดเจน ท่าทางเลียนแบบเคทลินของนางพอบ่งบอกได้ว่า ‘ฉัตรแย่มาก’ แน่นอนว่านางมิได้โกรธแค้นจริงจัง เรียกว่าเป็นหนึ่งในหน้าที่ของเจ้าหญิงแห่งวังจอมมาร

 

  อมิตาภากับทหารบางส่วนคอยเฝ้าระวังหญิงสาวทั้งสอง กำลังพลที่เหลือต่างเข้าประจำตำแหน่งเตรียมการศึก

 

  แม้ป้อมปราการที่เจ็ดอยู่ห่างออกไปเพียงเล็กน้อย แต่ด้วยความมืดของค่ำคืนรวมกับแผนการของพวกชนเถื่อน ทำให้พวกมันไม่คิดว่าจะมีกำลังเสริมเดินทางมาทันกาล

 

“พวกผมไปละนะครับ”

 

  อินกองหันไปกล่าวบอกเฟลิซี ร่างของนางแน่นิ่งแต่ยังพอมีการขยับเล็กน้อยที่ละม้ายคลายคลึงการพยักหน้า

 

  อินกองคลายอาคมรวมประสาทกับกรีนวินด์ เขาขึ้นควบเมว่ามองกราดไปยังกำลังพลทั้งหมด ธงแห่งอาณัติเรืองส่องสว่างขึ้นอีกครั้ง

 

“ทั้งหมด บุก! รวดเร็วประดุจลมกรด!”

““““รวดเร็วประดุจลมกรด!””””

 

  เสียงโห่ร้องดังขานรับ กองทัพเคลื่อนพลภายใต้ธงสีขาวโบกสะบัด

 

&

 

  การรบที่ป้อมทาก้ากำลังดำเนินอย่างดุเดือด

 

  กาลิกุลาต่อยนักรบชนเถื่อนที่ต่อตัวปืนกำแพงกันขึ้นมา การตะลุมบอนที่เกิดขึ้นทำให้ยากแก่การออกคำสั่งชัดเจน

 

  ฝ่ายกาลิกุลาอยู่ที่สูงกว่า พวกเขาพยายามใช้ข้อได้เปรียบนี้อย่างเต็มที่ ศรธนู หิน น้ำมัน และอุปกรณ์ป้องกันหลากชนิดถูกใช้รับมือเหล่าชนเถื่อนที่บุกอย่างไม่กลัวตาย 

 

  วิชากายแกร่งของเหล่าชนเถื่อนทำให้อาวุธมีคมไม่สามารถใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ชนเถื่อนบางตนใช้วิชากายแกร่งได้ถึงขั้นทำให้ดาบของทหารรักษาการณ์กระเด็นหลุดมือเลยทีเดียว

 

  โชคยังนับว่าเข้าข้างฝ่ายทาก้า ชนเถื่อนที่ใช้วิชากายแกร่งได้ถึงระดับนั้นมีไม่มาก ป้อมปราการที่เจ็ดจึงไม่ถูกตีแตกในทันที

 

  กาลิกุลาเปลี่ยนจับใช้สันดาบต่อสู้แทน ไม่ไกลออกไปเขาได้ยินเสียงตะโกนจากออร์คผู้ช่วย

 

  เสียงจากการต่อสู้ทำให้ได้ยินไม่ชัดเจน แต่กาลิกุลาก็พอจับใจความได้ว่า ‘นั่นอะไร’

 

  เขาเหลือบหันไปทางต้นตอดังกล่าวและก็พบกับแสงสีขาวกำลังพุ่งตัวเข้าหาเหล่าชนเถื่อน แสงที่ว่าเคลื่อนตัวเข้ากลืนกินเหล่าชนเถื่อนอย่างรวดเร็วราวกับคลื่นยักษ์

 

  สิ่งที่เกิดสร้างความสับสนให้กับทั้งฝ่ายกาลิกุลาและฝ่ายชนเถื่อน โดยเฉพาะเหล่าชนเถื่อนที่เป็นเป้าหมายของการจู่โจม

 

  ทั้งสองฝ่ายตะโกนร้องอย่างตื่นตระหนก

 

  ภายในแสงสีขาวนั้นคือนักรบบนหลังเดรโก้ที่บุกเข้าโจมตีอย่างไม่ให้ตั้งตัว เมื่อเห็นนักรบเดรโก้ย่อมนึกถึงเหล่าเอลฟ์รัตติกาล หรือก็คือกำลังเสริมฝ่ายกาลิกุลานั่นเอง ทว่ากำลังเสริมเหล่านี้มาจากที่ใดกัน? นอกจากนี้ยังมีนักรบไลแคนโทรปปะปนอยู่ด้วย ทำให้เกิดคำถามต่อมาว่าผู้ใดกันที่นำทัพกำลังเสริมนี้?

 

  นั่นไม่ใช่ประเด็น กาลิกุลาตั้งสติตะโกนสั่งทหารของเขา รายละเอียดปลีกย่อยเป็นเรื่องที่ตามมาภายหลัง ที่สำคัญก็คือมีกำลังเสริมมาสมทบพวกเขาแล้ว

 

  หากแต่ในกลุ่มกำลังเสริมไม่ทราบชื่อมีจุดหนึ่งที่แสงสีขาวหมุนลอยตัวขึ้นกลางอากาศราวกับพายุ ดึงความสนใจของกาลิกุลาไว้อีกครั้ง

 

  ใจกลางพายุแห่งแสงนี้พอเห็นได้ว่าเป็นนักรบลอยตัวอยู่ ผ้าคลุมสีกำมะหยี่สบัด มือข้างหนึ่งถือธงตราสัญลักษณ์ที่กาลิกุลาไม่เคยเห็นมาก่อน… หรือนี่อาจมิใช่กำลังเสริมดังที่เขาคิดไว้?

 

  สิ่งที่ดึงสายตาของกาลิกุลาเอาไว้มากที่สุดคือ ร่างนิรนามที่ลอยตัวอยู่นั้นชูมือข้างที่มิได้ถือธงขึ้น ราวกับต้องการจะส่งสัญญาณบางอย่าง

 

“เอามันเลย”

 

  หนึ่งเสียงดังขึ้นจากออร์คตนหนึ่งที่อยู่ในการปะทะ

 

  ห่างออกไปก็มีสัตว์น้อยตัวหนึ่งในอ้อมกอดของหญิงสาว มันจ้องมองยังนักรบที่ลอยตัวอยู่เช่นกัน มันหรี่ตามองด้วยแววตาเคร่งเครียด ราวกับนักวิจัยมองการทดสอบสิ่งประดิษฐ์ของตน

 

“ฉัตร”

 

  คำพูดหลุดลอยขึ้นจากนักรบไลแคนโทรปตนหนึ่งในการต่อสู้ ร่างนั้นใช้มือข้างหนึ่งกุมอกของตน ลมปราณบางส่วนของร่างนั้นถึงส่งลอยไปยังร่างที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ

 

‘นายท่าน’

 

  เสียงกระซิบดังแผ่วเบาผ่านสายลมในการต่อสู้ นักรบที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศจ้องมองไปยังมือข้างที่ชูอยู่ เขากำหมัดก่อนพูดบางอย่างกับตนเอง

 

“พสุธา… ”

 

  ราวกับมิติบริเวณหมัดข้างนั้นถูกฉีกเป็นช่องว่าง ชิ้นส่วนหลากหลายปรากฏจากช่องว่างนั้นมารวมตัวกับหมัดที่ชูอยู่

 

“มหา… “

 

  แสงสีขาวที่หมุนราวพายุสงบหายไป เกิดเสียงคำรามร้องดังก้องไปทั่วสนามรบ ต้นตอของเสียงนั้นแลดูมาจากกำปั้นเสียมากกว่าตัวนักรบ

 

“กัมปนาท!”

 

  ร่างของนักรบที่ลอยตัวอยู่หายไป แสงสีขาวรวมตัวเป็นก้อนพุ่งลงกระแทกพื้นอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด

 

  ชนเถื่อนเคราะห์ร้าย ณ จุดตกถูกพลังทำลายอันมหาศาลฉีกร่างขาดกระจาย เศษหิน ดิน ทรายลอยกระเด็นไปทั่วทิศทางเป็นคลื่นกระแทกแผ่ขยายโดยมีจุกตกเป็นศูนย์กลาง

 

  ก่อนจะตามมาด้วยเสียงอันดังสนั่น เฉกเช่นฟ้าร้องที่เกิดขึ้นหลังฟ้าผ่า

 

  ทว่ามันยังไม่จบเพียงเท่านี้ รอยจากพื้นดินที่แตกกระจายจากแรงกระแทกเรืองขึ้นหลากสีปะปน แดง เหลือง เขียว ขาว ก่อนจะรวมกันเป็นแสงที่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นสีอะไร แสงที่ส่องสว่างระเบิดขึ้นอีกครั้ง

 

  ทุกสิ่งในรัศมีการระเบิดราวยี่สิบเมตรถูกทำลาย แรงจากการระเบิดยังซัดเศษทรายกระจายออกไปนอกเหนือรัศมีราวคมมีดฝ่าอากาศ 

 

  แรงสั่นสะเทือนจากการระเบิดยังคงส่งผ่านผืนดินออกไป เหล่าทหารรักษาการณ์บนกำแพงป้อมปราการต่างพยายามหาสิ่งยึดจับ มีบ้างที่ถูกแรงสั่นสะเทือนกระเด็นตกกำแพงอย่างไม่ทันตั้งตัว

 

  ชนเถื่อนที่อยู่ในรัศมีการระเบิดตาย บางส่วนที่รอดก็บาดเจ็บอย่างรุนแรง เรียกได้ว่าสูญเสียกำลังรบไปมาก

 

  เหล่านักรบเดรโก้เองก็ไม่ต่างออกไป บ้างที่ไม่สามารถทนแรงสะเทือนได้ตกลงจากสัตว์ภาหนะบาดเจ็บด้วยอาวุธของตนเอง มีเพียงเหล่าไลแคนโทรปที่ก้มตัวลงกับพื้นป้องกันตัวได้ทันท่วงที อาจจะด้วยสัญชาติญาณสัตว์ป่าในตัว 

 

  พื้นดินระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงในเวลาชั่วครู่ ‘พสุธามหากัมปนาท’ ใช้นิยามเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่เกินเลย

 

  หลังทุกอย่างผ่านพ้น เกิดความสงบชั่วขณะ

 

  แม้แต่เหล่านักรบชนเถื่อนที่สู้อย่างไม่กลัวความตายก็ไม่สามารถข่มตนให้หยุดตัวสั่นได้ แววตาของพวกเขาต่างแฝงไว้ด้วยความชื่นชมและยำเกรง

 

  ที่จุดศูนย์กลางของการระเบิด นักรบถอดสนับมือของเขาออกพลางพยุงตัวเองให้ยืนขึ้น เขาใช้มือทั้งสองควงธงก่อนปักมันให้ตั้งตระหง่าน แสงสีขาวแผ่กระจายออกจากธงนั้น

 

‘ใต้ร่มเงากษัตริย์’

 

  เหล่าผู้สวามิภักดิ์ใต้ธงผืนนั้น…

 

“คุร่าฮ์!”

 

  เสียงคำรามศึกดังขึ้น หนึ่งนักรบทำในสิ่งที่เหลือเชื่อดึงความสนใจจากทั้งสมรภูมิเอาไว้ แต่นั่นมิได้หมายความว่าทหารตนอื่นได้อันตรธานหายไป

 

  เหล่าไลแคนโทรปกระโจนเข้าต่อสู้ เอลฟ์รัตติกาลดึงบังเหียนควบเดรโก้บุกตะลุย บางส่วนร่ายเวทมนตร์และคำสาปจากด้านหลัง

 

  ไลแคนโทรปตนหนึ่งวิ่งไปยังนักรบผู้ถือธงพร้อมด้วยองครักษ์สามตนเตรียมอารักขา แน่นอนว่าวิชาอะไรก็ตามที่สร้างพลังทำลายได้รุนแรงขนาดนี้ย่อมมอบภาระให้กับร่างกายผู้ใช้

 

  เหล่ากำลังเสริมใต้ไอพลังสีขาวต่อสู้กับชนเถื่อนที่หลงเหลือ นำทัพโดยออร์คตนหนึ่งคู่กับเซเทอร์

 

  กาลิกุลาไม่รอช้ารีบสั่งกองกำลังของตนให้เปิดประตูป้อมนำกำลังพลออกไปร่วมต่อสู้

 

  การรบดำเนินต่อไม่นานก็จบสิ้น เหล่าชนเถื่อนที่เสียขวัญไม่สามารถต่อต้านการโจมตีประสานจากสองฝั่งได้ ชนเถื่อนบางตนยังฮึดสู้จนตัวตาย แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์อะไรได้อีก

 

  ชนเถื่อนร่วมหนึ่งพันห้าร้อยตนแตกพ่ายในที่สุด

 

  เสียงโห่ร้องชัยชนะดังขึ้นจากฝั่งป้อมทาก้าในเวลาต่อมา

 

&

 

  ราวสิบนาทีหลังการต่อสู้เสร็จสิ้น… 

 

  กาลิกุลาพร้อมองครักษ์จัดแจงเตรียมการต้อนรับคณะของอินกอง แม้จะไม่มีผู้ใดบอกกล่าวอะไรแต่เขาก็รับรู้ได้ว่าใครคือผู้นำกำลังเสริมในครั้งนี้

 

  กาลิกุลากลืนน้ำลายอึกใหญ่ เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าผู้นำกำลังเสริมที่มีพลังทำลายดุจเทพเจ้าจะเป็นเพียงเด็กหนุ่มสาว

 

  กาลิกุลากล่าวทำความเคารพตามระเบียบทหาร

 

“กระผมกาลิกุลา ผู้บัญชาการทหารของป้อมปราการลำดับที่เจ็ด”

“บารัค รองผู้บัญชาการทหาร”

 

  ทั้งสองตนกล่าวแนะนำตัว จากนั้นเซเทอร์องครักษ์ของเด็กหนุ่มเป็นตัวแทนกล่าวแนะนำอีกฝ่าย

 

“พระองค์เจ้าทั้งสองท่านนี้คือเจ้าชายลำดับที่เก้าฉัตร อิกษณา และเจ้าหญิงลำดับที่แปดเคทลิน มูนไลท์”

 

  กาลิกุลาแข็งเกร็งทันทีเมื่อรับรู้ตัวตนของทั้งสอง นั่นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาเชื่ออย่างสนิทใจ 

 

“เดชะพระอาญามิพ้นเกล้า เป็นบุญอันยิ่งที่ข้าพระพุทธเจ้ามีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระองค์เจ้าทั้งสองพระพุทธเจ้าข้า”

 

  ผู้สืบสายเลือดจอมมารย่อมแข็งแกร่ง คือสิ่งที่ประชาชนโลกมารรับรู้ ทว่าการที่ได้เห็นความแข็งแกร่งนั้นด้วยตาตนเองย่อมเหนือคำเล่าลือ

 

  กาลิกุลาคุกเข่าหมอบทั้งสองด้วยความเคารพจากใจ

 

“เป็นเรื่องดีที่เราได้พบเช่นกัน นี่อาจจะกระทันหันอยู่ แต่เราขอเป็นผู้ออกคำสั่งการรบนับแต่บัดนี้”

“พระพุทธเจ้าข้า”

 

  อินกองถอนหายใจอย่างโล่งอกที่อีกฝ่ายยอมรับ ก่อนออกคำสั่งทันที

 

“ให้ทหารทั้งหมดพักผ่อนเต็มที่ รุ่งเช้าพวกเราจะออกจากป้อมแห่งนี้”

“หา?”

 

  กาลิกุลาหลุดอุทานอย่างงงงวย กัมมะตัวสั่นเทาราวกับกลัวอะไรบางอย่างในทันที คารัคหัวเราะร่าออกมา

 

  อินกองพูดขยายความเพิ่มเติม

 

“รุ่งเช้า พวกเราจะบุกไปที่ป้อมหก”

 

  ถ้าอินกองนำทัพไปทันท่วงที กำลังเสริมจากพวกเขาย่อมช่วยรักษาป้อมปราการลำดับที่หกไว้ได้ หากไม่ทันพวกเขาก็จะชิงมันกลับมาจากเงื้อมมือชนเถื่อน

 

  คณะอินกองจะตะลุยผ่านอุปสรรคทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นชนเถื่อนหรืออะไรก็ตาม ในทุกวิกฤติที่กอบกู้จะช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจของเหล่าทหาร หลังรวบรวมกำลังพลจากแต่ละป้อมปราการเข้าด้วยกันพวกเขาก็จะนำทัพไปสนับสนุนพลเอกแวนเดล
  เราจะบุกอัดข้าศึกด้วยทุกสิ่งที่เรามี ทะลวงมันให้ทะลุ อย่างไม่หยุดยั้ง!

 

  กาลิกุลาจ้องมองเจ้าชายตรงหน้าอย่างสับสน อินกองไม่สนใจพลางมองพุ่งเป้าไปยังทิศทางที่เป็นของป้อมปราการที่หก

 

  เมื่อรุ่งอรุณมาเยือน…

 

  ธงสีขาวแห่งอาณัติได้โบกสะบัดอีกครั้ง ณ ป้อมปราการที่หก… 

 

  ป้อมปราการที่เพิ่งโดนชนเถื่อนตีแตกพ่าย