ตอนที่ 98 หัดควบคุมคนของตัวเองบ้าง

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 98 หัดควบคุมคนของตัวเองบ้าง

ตอนที่ 98 หัดควบคุมคนของตัวเองบ้าง

“พวกคุณจำผิดคนแล้ว” ชายหนุ่มหรี่ตาลง ไม่ยอมมองหน้าพวกหล่อน เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและสง่างาม

น้ำเสียงของเจียงอวี่เฟยกลับกระตือรือร้นมาก “นายคือเพื่อนร่วมชั้นของเราที่ชื่อโจวอี้ ฉันมั่นใจว่าตัวเองจำไม่ผิด”

หลินเซี่ยมองดูเขาใกล้ ๆ จนแน่ใจว่าเขาคือโจวอี้เพื่อนร่วมชั้นที่เป็นโรคลมบ้าหมูคนนั้นจริง ๆ

แต่เขากลับออกปากว่าพวกเธอจำคนผิด นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ต้องการเจอหน้าพวกเธอ

เขาลาออกจากโรงเรียนในปีนั้นหลังจากป่วยหนักในชั้นเรียนก็เพราะไม่ต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับอดีตเพื่อนร่วมชั้นอีกต่อไป หรืออาจไม่อยากให้พวกเขามองเห็นแง่มุมที่น่าสังเวชของตัวเอง

หลินเซี่ยดึงแขนเจียงอวี่เฟย เป็นเชิงบอกว่าอย่าทำให้อีกฝ่ายต้องลำบากใจ

ในเมื่อเขาไม่ยอมรับก็อย่าบังคับจิตใจเขา

เจียงอวี่เฟยไม่ให้โอกาสเขาหลบหนี หล่อนมองหน้าของเขาแล้วพยายามควบคุมอารมณ์ตื่นเต้นในใจอย่างเต็มที่ ก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นอ้อนวอน “โจวอี้ พวกเราคิดถึงนายมาก ก่อนหน้านี้ฉันพยายามถามข่าวคราวของนายมาโดยตลอด ในที่สุดพวกเราก็ได้เจอกันสักที ดังนั้นอย่าแสร้งทำเหมือนว่านายไม่รู้จักพวกเราเลยนะ”

หลินเซี่ย “???”

เมื่อประสานกับสายตาอันเป็นประกายของหล่อน ชายหนุ่มก็เปลี่ยนทัศนคติ “ขอโทษที ฉันเกือบจะลืมพวกเธอไปแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นเราขอนั่งโต๊ะเดียวกับนายได้ไหม?” เจียงอวี่เฟยมองเขาอย่างคาดหวัง และถามอย่างระมัดระวัง

“นั่งสิ”

เจียงอวี่เฟยรีบดึงหลินเซี่ยให้นั่งลง จากนั้นก็หันไปหาเถ้าแก่อย่างร่าเริงเพื่อสั่งบะหมี่สองชาม

“พวกเธอยังจำฉันได้อยู่เหรอ?” ดวงตาโศกของโจวอี้มองไปยังรอยยิ้มที่สดใสของสองสาว ทันใดนั้น เขารู้สึกเหมือนกับตัวเองได้ย้อนเวลากลับไปที่ห้องเรียนเมื่อสองปีก่อน

“ฉันต้องจำนายได้แน่อยู่แล้ว ไม่เคยลืมเลย”

เจียงอวี่เฟยมองเขาแล้วถามว่า “ตอนนี้นายย้ายไปเรียนที่ไหนแล้ว? ฉันจำได้ว่าผลการเรียนของนายดีมาก ป่านนี้นายคงสอบเข้ามหาวิทยาลัยติดแล้วใช่ไหม?”

“ฉันไปเรียนต่างเมือง”

เจียงอวี่เฟยถามอีกครั้งว่า “งั้นทำไมนายถึงมากินบะหมี่ในร้านนี้ได้ล่ะ? อาศัยอยู่แถวนี้เหรอ?”

“เปล่า แค่ออกมาเดินเล่นเฉย ๆ”

โจวอี้เหลือบมองหลินเซี่ยที่นั่งเงียบด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เผยอริมฝีปากพูดเบา ๆ ว่า “เรื่องตอนนั้น…ขอบคุณนะ”

หลินเซี่ยรู้ดีว่าทำไมเขาถึงพูดขอบคุณ ดังนั้นเธอจึงรีบตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ด้วยความยินดี”

เถ้าแก่ยกชามบะหมี่มาเสิร์ฟ จากนั้นทั้งสองคนก็หยิบตะเกียบ และทั้งสามก็นั่งกินบะหมี่ด้วยกัน

โจวอี้ไม่ยอมพูดอะไรเลย หญิงสาวทั้งสองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหาหัวข้อสนทนาอะไรมาพุดคุยดี

โจวอี้กินข้าวเสร็จแล้วจึงเรียกเถ้าแก่มาคิดเงิน และเขายังใจกว้างจ่ายค่าบะหมี่ให้สองสาวอีกด้วย

เจียงอวี่เฟยยังกินไม่เสร็จ แต่หล่อนรีบวางตะเกียบลงแล้วเช็ดปาก ด้วยกลัวว่าโจวอี้จะจากไปดื้อ ๆ จึงรีบเดินไปขวางทางเขา จ้องมองเขาด้วยสายตาที่แน่วแน่และบริสุทธิ์ใจ “ไหน ๆ เราก็ได้เจอกันแล้ว ช่วยทิ้งข้อมูลติดต่อของนายไว้หน่อยสิ เผื่ออีกหน่อยเราจะได้ติดต่อกันง่าย ๆ”

ก่อนที่โจวอี้จะตอบกลับอะไร เจียงอวี่เฟยก็รีบหยิบสมุดโทรศัพท์เล่มเล็กออกจากกระเป๋าของหล่อน จดหมายเลขโทรศัพท์ของตัวเองลงไป แล้วฉีกกระดาษออก ส่งให้โจวอี้

“นี่เบอร์โทรศัพท์บ้านฉันเอง เก็บไว้ดี ๆ ล่ะ ฉันขอเบอร์บ้านของนายด้วยได้ไหม?”

โจวอี้รับกระดาษมาถือไว้และตอบกลับอย่างเฉยเมย “ที่บ้านฉันไม่มีโทรศัพท์”

“อ้อ งั้นถ้าว่างเมื่อไหร่อย่าลืมโทรหาฉันด้วย ถึงยังไงเราก็เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน จากนี้ควรติดต่อกันบ้าง ฉันเรียนอยู่ที่สถาบันสอนเต้นรำไห่เฉิง”

“อืม” โจวอี้มองไปที่หลินเซี่ยอีกครั้งและถามว่า “แล้วเธอล่ะ?”

หลินเซี่ยตอบกลับยิ้ม ๆ “ฉันแต่งงานแล้ว”

เธอตอบด้วยสีหน้าท่าทางที่เป็นธรรมชาติ ขณะพูดก็เผยรอยยิ้มหวานตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่ามีความสุขกับชีวิตในปัจจุบันมาก ๆ เพราะได้แต่งงานกับคนที่เธอรักจริง ๆ

เธอไม่เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าละอายที่จะบอกเพื่อนร่วมชั้นไปตามตรงว่าตัวเองแต่งงานแล้ว

เมื่อโจวอี้ได้ยินแบบนั้น เขาก็ไม่แสดงสีหน้าประหลาดใจเลย

แค่เปล่งเสียงตอบรับในลำคอเท่านั้น

เจียงอวี่เฟยอธิบายจากด้านข้างว่า “ตอนนี้หล่อนไม่ได้ใช้ชื่อเสิ่นอวี้อิ๋งแล้ว แต่เป็นหลินเซี่ย ต่อไปนี้อย่าลืมจำชื่อใหม่ของหล่อนด้วยนะ”

“อ๋อ” โจวอี้ยังคงมีท่าทางไม่แยแส ไม่ว่าเธอจะชื่อเสิ่นอวี้อิ๋งหรือหลินเซี่ยก็ไม่ใช่เรื่องของเขา

หลังออกจากร้านก๋วยเตี๋ยว พวกเธอก็กล่าวอำลาโจวอี้ “เรายังต้องไปที่อาคารพักอาศัยของโรงงานยานยนต์เพื่อช่วยคุณป้าทั้งหลายซ้อมการแสดง ขอตัวก่อนนะ”

“ลาก่อน”

ก่อนจะเดินห่างไปไกล หลินเซี่ยหันไปพูดกับโจวอี้ว่า “โจวอี้ ฉันกำลังจะเปิดร้านตัดผมบนถนนข้างหน้า อีกหน่อยนายแวะมาตัดผมที่ร้านฉันได้นะ”

“ได้”

หลินเซี่ยคิดว่าจะถามไถ่โจวอี้เกี่ยวกับโรคลมบ้าหมูของเขาหลังจากทั้งสองฝ่ายเริ่มคุ้นเคยกันในระดับหนึ่งเพื่อดูว่าอาการเขาดีขึ้นหรือหายดีแล้วหรือยัง เพราะเธออยากทราบวิธีการที่เขาใช้เพื่อรักษาตัว เผื่อว่าข้อมูลเหล่านั้นจะทำให้เธอช่วยน้องชายของเฉินเจียเหอได้

“พวกเราไปแล้วนะ” เจียงอวี่เฟยเดินต่อไปกี่ก้าว มองย้อนกลับมา และโบกมือลาเขา

โจวอี้เองก็ยกมือขึ้นแล้วโบกมือตอบเธอเหมือนกัน

ขณะมองดูเด็กสาวทั้งสองเดินจากไป โจวอี้กลับยังคงยืนอยู่ที่นั่น ดวงตาโศกเต็มไปด้วยแสงอันนุ่มนวล

อย่างน้อยพวกเธอก็ไม่เคยคิดว่าเขาเป็นสัตว์ประหลาด เวลาผ่านมาตั้งสองปี พวกเธอยังคงจำเขาได้ แถมยังกระตือรือร้นที่จะทำความรู้จักอย่างอบอุ่น

เจียงอวี่เฟยอารมณ์ดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด เดินล่องลอยราวเท้าไม่ติดพื้น

ทั้งสองคนไปที่ร้านเครื่องเสียงเพื่อซื้อเทปเพลง หลินเซี่ยที่เป็นฝ่ายเดินตาม มองไปที่หญิงสาวซึ่งร่าเริงเหมือนนกยูงรำแพนหาง แล้วถามว่า “เธอนี่ดูอารมณ์ดีจังเลยนะ? ทำไมถึงดีใจที่ได้เจอเขาขนาดนี้ล่ะ?”

“แปลกตรงไหน? เราได้เจออดีตเพื่อนร่วมชั้นที่ไม่ได้เจอกันมาตั้งสองปีเชียวนะ จะไม่ให้ตื่นเต้นได้ยังไง?”

หลังจากที่เจียงอวี่เฟยพูดจบ หล่อนก็จ้องมองอีกฝ่ายแล้วพูดอย่างเสียไม่ได้ “ฉันขอพูดเรื่องเธอหน่อย เธอเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ไม่เป็นไรหรอกที่จะทำความรู้จักกับเขา แต่ไม่เห็นต้องเชิญชวนเขามาตัดผมเลยนี่ ลำพังทักษะของเธอก็แย่อยู่แล้ว อย่าไปทำลายทรงผมของคนอื่นเลย”

“อย่าเอาแต่ดูถูกฉันตลอดเวลาได้ไหม? รอให้ฉันเปิดร้านเสริมสวยซะก่อนเถอะ แล้วเธอจะรู้ว่าฉันเก่งกว่าเดิมแค่ไหน”

พวกเธอทั้งสองทะเลาะกันตลอดทางตั้งแต่อยู่ในร้านเครื่องเสียง พอซื้อเทปเสร็จก็กลับไปที่เขตพักอาศัย

ทันทีที่สองสาวไปถึงประตูอาคาร ก็ได้ยินเสียงเพลงดังลั่น

เพลงความทรงจำสีชมพูดังก้องไปทั่วลานกว้าง

บอกได้เลยว่าคุณภาพและเอฟเฟกต์เสียงของเครื่องเล่นเทปเครื่องนี้ดีจริง ๆ นอกจากจะเก็บรายละเอียดดนตรีครบถ้วนแล้วยังอึกทึกหนวกหูมาก

ทันทีที่เข้าไป ก็เห็นว่าคุณป้าและคุณลุงกำลังฝึกซ้อมเต้นรำอย่างมีความสุขอยู่กลางลาน

“พวกเรากลับมาแล้วค่ะ”

เมื่อเห็นหลินเซี่ยกลับมา พี่สาวจางก็ปิดเครื่องเล่นเทป จากนั้นทุกคนก็หยุดเต้นและเข้ามารวมตัวกัน

หลินเซี่ยแนะนำให้พวกเขาฟังว่า “นี่คือเพื่อนของฉันที่เรียนเต้นรำโดยเฉพาะ ฉันขอให้หล่อนช่วยออกแบบท่าทางการเคลื่อนไหวเพิ่มอีกหน่อยในช่วงครึ่งเพลงท้าย เสร็จแล้วเราค่อยมาฝึกซ้อมกันให้ต่อเนื่อง”

“ขอบคุณมากนะจ๊ะสาวน้อย หน้าตาสวยจริงนะแม่หนู”

“ใช่แล้ว สมแล้วล่ะที่เรียนเต้นรำมาโดยเฉพาะ”

“มาค่ะ มาเต้นประกอบเพลงกันอีกครั้งเพื่อให้หล่อนเห็นภาพรวมกันดีกว่า”

หลินเซี่ยนำทุกคนเต้นประกอบเพลงต่อหน้าเจียงอวี่เฟย

หลังจากดูการแสดงของทุกคนในครึ่งเพลงแรกแล้ว เจียงอวี่เฟยก็ถามหลินเซี่ยด้วยเสียงต่ำว่า “เธอไปเอาท่าเต้นแบบนี้มาจากไหนกัน? ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”

หลินเซี่ยบอกว่า “มันเป็นแค่ท่าออกกำลังกายทั่วไปน่ะ ฉันถึงได้ขอให้เธอช่วยมาเพิ่มท่าทางให้หน่อยนี่ไง”

เจียงอวี่เฟยรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวที่พวกเขาทำประกอบเพลงดูเหมือนไม่ใช่การเต้นรำเลย แต่เมื่อพิจารณาถึงอายุของคุณลุงและคุณป้าทั้งหลาย ก็พอจะเข้าใจว่าพวกเขาคงเต้นท่ายากมากไม่ได้

แม้หล่อนจะไม่เคยเห็นการเต้นรำแบบที่พวกเขาเต้นกันมาก่อน แต่เมื่อผนวกกับจังหวะดนตรี พบว่ามันค่อนข้างพร้อมเพรียงและทรงพลัง

หล่อนทำตามคำขอของหลินเซี่ย เพิ่มท่าเต้นพื้นฐานและปรับแก้ไขท่าทางหลายจุดในช่วงครึ่งเพลงหลัง และยังช่วยออกแบบท่าโพสต์ตอนจบการแสดงอีกด้วย

“เปิดเพลงอีกรอบเถอะ คุณลุงคุณป้าทุกคนจะได้เรียนรู้จากฉัน”

เจียงอวี่เฟยนำทุกคนเต้นท่าทางที่หล่อนเพิ่งออกแบบเพิ่มเติมซ้ำสองรอบ

หล่อนไม่คาดคิดเลยว่าบรรดาผู้สูงอายุจะมีทักษะการเคลื่อนไหวที่สอดประสานกันดีกว่าพี่สาวทั้งหลายซะอีก

พวกเขาเรียนรู้และจดจำได้ภายในสองครั้ง

“พี่สาวจาง รบกวนคุณพาทุกคนฝึกซ้อมกันเองไปก่อนนะคะ ฉันยังมีธุระที่ต้องคุยกับเพื่อน ว่าจะพาหล่อนขึ้นไปบนบ้านสักพัก”

“ได้ เอาล่ะ พวกเรามาฝึกเต้นด้วยตัวเองกันเถอะ”

หลินเซี่ยพาเจียงอวี่เฟยขึ้นไปบนอาคาร จากนั้นก็เตือนด้วยเสียงแผ่วเบา “ถ้าเธอกลับไปแล้ว อย่าเอาเรื่องการแสดงของโรงงานฉันไปเล่าให้ใครฟังเชียวล่ะ”

เจียงอวี่เฟยรับปาก “ไม่ต้องกังวล ฉันไม่มีส่วนร่วมอะไรในการแสดงของโรงงานเครื่องจักรอยู่แล้ว”

หลินเซี่ยใช้กุญแจไขประตูบ้าน แล้วพาเธอเข้าไปข้างใน เจียงอวี่เฟยมองไปรอบ ๆ ทั่วห้องชุดที่สะอาดสะอ้านและเรียบง่าย รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย “เขายังไม่ได้ซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้านหลังแต่งงานอีกเหรอ?

มิน่าล่ะหลินเซี่ยถึงพาหล่อนไปที่ร้านบะหมี่ริมทาง และเลี้ยงบะหมี่ธรรมดา ๆ ราคาชามละห้า บ้านหลังนี้เรียบง่ายเกินไป ไม่มีแม้แต่โทรทัศน์ขาวดำ

หล่อนมองหลินเซี่ยอย่างเห็นอกเห็นใจ เริ่มสงสัยในความรู้สึกของชายคนนั้นที่มีต่อหลินเซี่ย

หลินเซี่ยหยิบกาต้มน้ำมารินน้ำให้ตัวเองและอีกฝ่ายคนละแก้ว ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ

“เฉินเจียเหอขอให้ฉันไปดูและเลือกซื้อเอง แต่ฉันยังไม่มีเวลา เลยเอาไว้ค่อยหาซื้อทีหลัง”

“เพราะอะไรเขาถึงไม่เป็นฝ่ายซื้อให้เธอด้วยตัวเองล่ะ? เขาอายุไม่ใช่น้อย ๆ ได้แต่งงานทั้งทีแต่กลับไม่รู้จักซื้อของตกแต่งบ้านเลย เขาไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าสักวันเธอจะไม่หนีไปจากเขา?”

หลังจากที่เจียงอวี่เฟยบ่นจบ หล่อนก็พูดพึมพำกับตัวเอง “เป็นลูกหลานของอดีตทหารผ่านศึก ไม่แปลกหรอกที่จะมีความมั่นใจในตัวเอง”

หล่อนถือแก้วน้ำพลางมองหลินเซี่ยด้วยดวงตาเป็นประกาย และพูดอย่างจริงจังว่า “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เธอจะอยู่อย่างถ่อมตัวแบบนี้ตลอดไปไม่ได้ ลำพังเสิ่นเสี่ยวเหมยน้องสะใภ้ของเธอก็จัดการยากพออยู่แล้ว ถ้าไม่หัดควบคุมคนของตัวเองซะบ้าง ในอนาคตคนที่ต้องเป็นฝ่ายทุกข์ทรมานคงหนีไม่พ้นตัวเธอเอง”

“เธอเป็นสาวน้อยที่ยังไม่เคยผ่านการแต่งงาน แล้วไปเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหนกัน?” หลินเซี่ยหัวเราะเมื่อได้ยินคำแนะนำแสนจู้จี้ที่ไม่เข้ากับบุคลิกอันเย็นชาของหล่อนเอาเสียเลย

“สมัยแม่ยังไม่ตายท่านเคยสอนฉันไว้แบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปไม่ใช่หรือไง? ผู้ใหญ่ทุกคนควรรู้เรื่องพวกนี้ดีด้วยซ้ำ”

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ตอนนี้โจวอี้เป็นอยู่ยังไงบ้างนะ ชีวิตดูเหงาๆ จังเลย ถ้าสองสาวไม่ได้มาคุยก็คงโดดเดี่ยวต่อไป

พี่เหอแสดงความรับผิดชอบหน่อยค่ะ พี่เริ่มดังแล้วนะ

ไหหม่า(海馬)