ตอนที่ 99 ผู้หญิงเหลวแหลก

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 99 ผู้หญิงเหลวแหลก

ตอนที่ 99 ผู้หญิงเหลวแหลก

เมื่อเจียงอวี่เฟยกล่าวถึงแม่ของตน น้ำเสียงร่าเริงก็เปลี่ยนเป็นเศร้าหมองเพราะความอาดูรทันที

“รีบไปล้างหน้าเร็วเข้า ฉันจะสอนเธอแต่งหน้า” หลินเซี่ยพาหล่อนไปเข้าห้องน้ำ

จากนั้นหลินเซี่ยก็เริ่มละเลงศิลปะบนใบหน้าของเจียงอวี่เฟยเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง ลบหน้าแล้วลบหน้าอีก ไม่นานนักเจียงอวี่เฟยก็ค่อย ๆ เชี่ยวชาญทักษะการแต่งหน้ามากขึ้น และสนใจเรียนรู้วิธีวาดทรงคิ้วเป็นพิเศษ

เพราะสิ่งที่น่าทึ่งคือหลินเซี่ยสามารถปรับเปลี่ยนรูปทรงคิ้วได้หลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็ทำให้อารมณ์บุคลิกดูเปลี่ยนไปได้

เจียงอวี่เฟยมองดูตัวเองในกระจก ทันใดนั้นก็นึกชื่นชมหลินเซี่ย

ทำไมถึงไม่เคยรู้เลยนะว่ายัยเด็กคนนี้ชำนาญเรื่องสวย ๆ งาม ๆ ขนาดนี้?

“เอาล่ะ รอบนี้ไม่ต้องเช็ดออกแล้ว เขียนตามทรงคิ้วของตัวเองไปก่อนแล้วกัน ไม่สำคัญหรอกว่าเธอจะวาดทรงคิ้วได้หลายแบบไหม อีกหน่อยถ้าเธอชนะการประกวดจริง ๆ เธอจะมีช่างแต่งหน้าเป็นของตัวเอง ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้อีก”

หลินเซี่ยเก็บอุปกรณ์แต่งหน้าของตัวเองลงกล่อง แล้วพูดว่า “มา ลองเดินให้ฉันดูสักสองก้าวซิ”

เจียงอวี่เฟยถอดเสื้อกันลมออก เหลือเพียงเสื้อสเวตเตอร์สีขาวและกางเกงยีนส์ หล่อนเริ่มยืนไขว้ขา เดินทิ้งสะโพกตามที่อีกฝ่ายเคยแนะนำ

น่าเสียดายที่ห้องนี้เล็กเกินไป เดินไปได้แค่สองก้าวก็ต้องหมุนตัวกลับแล้ว ทำให้ฝึกเดินได้ไม่เท่าใด

“ฉันเช่าลานบ้านขนาดใหญ่ไว้ ไว้วันอื่นเราค่อยไปฝึกเดินกันที่นั่นดีกว่า อย่างน้อยก็กว้างขวางและมีความเป็นส่วนตัว ไม่มีใครมารบกวนเราแน่”

หลังจากได้ยินสิ่งที่หลินเซี่ยพูด เจียงอวี่เฟยก็ถามด้วยความไม่เข้าใจ “เธอยังเช่าลานบ้านอีกทำไม? อย่าบอกนะว่าจะย้ายไปจากที่นี่?”

“เปล่าหรอก ฉันเช่าไว้ให้คนอื่นอยู่”

“ได้” เจียงอวี่เฟยเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ไว้พรุ่งนี้ฉันจะแวะมาหาเธออีก”

“พรุ่งนี้ยังไม่ได้ ฉันมีธุระอย่างอื่นที่ต้องทำ ไม่ว่างฝึกสอนเธอตลอดทั้งวันหรอก”

วันรุ่งขึ้น หลินเซี่ยคิดว่าวันนี้เจ้าของร้านจะกลับมาแล้ว จึงออกไปเดินเล่นตั้งแต่เช้าเผื่อโชคดีที่ทำสัญญาเช่าเลย

เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ผู้ชายคนนั้นกลับมาแล้ว

หลินเซี่ยดีใจที่ตัวเองมาตั้งแต่เช้า เมื่อเห็นว่าลุงคนนั้นกำลังสูบบุหรี่อยู่ในอาคารหลังเล็ก เธอก็ก้าวไปข้างหน้าและถามด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีค่ะคุณลุง คุณเป็นเจ้าของร้านที่ปล่อยให้เช่าตรงนี้หรือเปล่าคะ?”

“ใช่ คุณวางแผนว่าจะทำธุรกิจอะไรล่ะ?” เจ้าของบ้านหยิบบุหรี่ออกจากปาก เหลือบมองเธอแล้วถาม

หลินเซี่ยตอบตามความจริง “เปิดร้านเสริมสวยค่ะ”

“ร้านเสริมสวย?”

ใบหน้าของเจ้าของบ้านเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดทันที เขารีบส่ายหัว “คงไม่ได้ ผมไม่อนุญาตให้คุณมาเช่าร้านของผมเปิดเป็นร้านเสริมสวยหรอก”

“ทำไมคะ?” หลินเซี่ยมองเขาด้วยความสับสน

เจ้าของบ้านมองใบหน้างดงามของเธอด้วยใบหน้ามืดมน ดวงตาเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามแฝงด้วยความเจ็บแค้นบางอย่าง “ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะผู้หญิงเหลวแหลกพวกนั้นเคยสร้างความวุ่นวายให้ผมไงล่ะ นับวันศีลธรรมในสังคมยิ่งเสื่อมทรามลง ผมไม่ให้เช่า!”

ผู้หญิงเหลวแหลก?

หลินเซี่ย “???”

เธอตกตะลึงไม่กี่วินาที ก่อนจะเข้าใจว่าเจ้าของบ้านอาจมองว่าเธอเป็นผู้หญิงประเภทเดียวกันนั้น

รอยยับย่นบนหน้าผากค่อยคลายลง ก่อนที่เธอจะเหลือบมองตัวเองโดยไม่รู้ตัว

ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายหรือการแต่งหน้า ไม่ว่าจะมองยังไงเธอก็ไม่เข้าข่ายผู้หญิงพรรค์นั้นซะหน่อย

เจ้าของบ้านจะเหมารวมผู้หญิงทั้งโลกแบบนี้ได้อย่างไร?

เธอมองไปที่เจ้าของบ้านและอธิบายอย่างจริงจัง “คุณลุงเจ้าของบ้านคะ ฉันต้องการเปิดร้านเสริมสวยเพื่อตัดผมและจัดแต่งทรงผมให้ลูกค้าเท่านั้น ไม่มีอะไรอย่างอื่นแอบแฝง”

ลุงของเจ้าของบ้านมองเธอด้วยสายตาเฉียบคม ใบหน้าของเขายังคงมืดมน ราวกับเขาไม่เชื่อคำพูดของเธอ

“คุณลุง การที่คุณปฏิเสธอย่างเต็มปากเต็มคำแบบนี้ แปลว่าคุณเป็นคนซื่อสัตย์และยึดมั่นในศีลธรรมอันดี ฉันดีใจจริง ๆ ที่ได้เจอเจ้าของบ้านดี ๆ แบบคุณ ฉันเป็นสมาชิกในครอบครัวของพนักงานเครือโรงงานยานยนต์ค่ะ ก่อนหน้านี้ฉันเคยทำงานเป็นเด็กฝึกงานในร้านตัดผมของรัฐด้วย ตอนนี้ฉันเรียนจบแล้ว เลยอยากมาเปิดร้านที่นี่ เห็นว่าแถวนี้ทำเลดีจึงสนใจเช่าร้านของคุณ ฉันเป็นคนมีชื่อมีแซ่นะคะ สภาพครอบครัวก็ไม่ได้เลวร้าย”

“คุณพกบัตรประจำตัวมาหรือเปล่าล่ะ?” เจ้าของบ้านถาม

หลินเซี่ยตอบอย่างเชื่องช้าด้วยความเคอะเขิน “บัตรอยู่ที่บ้านค่ะ ฉันไม่ได้พกติดตัวมาด้วย”

เมื่อเห็นทัศนคติที่จริงใจ สายตาที่มีจุดมุ่งหมายชัดเจน ผนวกกับใบหน้าที่ซื่อใสสมวัยของเธอ ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นผู้หญิงที่มาจากสภาพครอบครัวที่ดีจริง ๆ น้ำเสียงของเจ้าของบ้านอ่อนลงเล็กน้อย แต่ยังคงถามต่อว่า “เธอไม่เหมือนพวกที่อยู่ตรงนั้นใช่ไหม?”

“คะ?” หลินเซี่ยมองไปยังถนนฝั่งตรงข้ามด้วยความสับสน ก่อนจะตอบว่า “ฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าบ้านหลังนั้นเขาทำอาชีพอะไร ฉันเพิ่งแต่งงานและย้ายมา ไม่คุ้นเคยกับถนนสายนี้ด้วยซ้ำ ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน งั้นฉันจะไปขอให้สามีมาเซ็นสัญญาโดยใช้บัตรประจำตัวประชาชนของเขา เขาทำงานอยู่ที่โรงงานยานยนต์ค่ะ”

เจ้าของบ้านพยักหน้า “ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ให้เขามาเซ็นเองเถอะ อย่าลืมนำบัตรประจำตัวมาด้วย”

หลินเซี่ยรอจนกระทั่งเฉินเจียเหอกลับมาทานอาหารตอนเที่ยง ก่อนจะเล่าเรื่องในวันนี้ให้เขาฟัง เมื่อได้ยินแบบนั้นเฉินเจียเหอก็ยินดีช่วยเธอ เข้าไปในห้องเพื่อหาบัตรประจำตัว จากนั้นทั้งสองก็ไปหาเจ้าของบ้านด้วยกัน

เมื่อเจ้าของบ้านเห็นเฉินเจียเหอที่สวมชุดทำงานซึ่งมาพร้อมกับบัตรประจำตัว ทัศนคติของเขาที่มีต่อทั้งสองก็เริ่มเปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นขึ้นมาทันที

เฉินเจียเหออาศัยอยู่ที่นี่มานาน และมักจะพาหู่จือออกไปซื้อของหรือกินอาหารบนถนนสายนี้บ่อย ๆ ทุกคนจึงคุ้นหน้าคุ้นตาเขาอยู่บ้าง

เจ้าของบ้านตกลงเซ็นสัญญาเช่า และพาหลินเซี่ยกับเฉินเจียเหอเข้าไปเยี่ยมชมตัวร้าน

ร้านนี้มีพื้นที่ประมาณสามสิบถึงสี่สิบตารางเมตร ซึ่งเพียงพอที่จะเปิดร้านเสริมสวยแบบธรรมดาทั่วไปได้ในเบื้องต้น

“คุณลุง เรามาคุยเรื่องค่าเช่ากันดีกว่า ฉันขอเช่าที่นี่เป็นระยะเวลาหนึ่งปีได้ไหมคะ?”

“ผมคิดค่าเช่าห้าร้อยหยวนต่อปี”

เจ้าของบ้านไม่รอให้หลินเซี่ยต่อรอง พูดตัดบทออกไปตรง ๆ “ลดกว่านี้ไม่ได้แล้ว นี่ถือเป็นราคาเช่าทั่วไปของหน้าร้านบนถนนสายนี้”

หลินเซี่ยถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับเงื่อนไขในการเช่า พบว่าเจ้าของไม่ใช่คนเรื่องมาก

“ค่ะ งั้นเรามาเซ็นสัญญากันเถอะ” หลินเซี่ยกลัวว่าเวลายิ่งล่วงเลยปัญหาก็ยิ่งตามมา จึงอาศัยตอนที่เฉินเจียเหออยู่ด้วยเซ็นสัญญาเช่ากับเจ้าของบ้าน

หลังจากร่างเอกสารสัญญาเช่าแล้ว พวกเขาก็ไปที่ร้านถ่ายเอกสารเพื่อสั่งพิมพ์ ตามด้วยทั้งสองฝ่ายลงนามในสัญญา

ขั้นตอนต่าง ๆ ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เฉินเจียเหอต้องกลับไปเข้างานที่โรงงาน หลังจากทั้งสองฝ่ายเก็บเอกสารเช่าไว้คนละชุดแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

หลินเซี่ยรับสัญญามาถือไว้ ในใจเต็มไปด้วยความคาดหวังต่ออนาคตอันใกล้ “ร้านก็เช่าเรียบร้อยแล้ว ต่อไปเราคงต้องหาช่างตกแต่งภายใน”

เฉินเจียเหอเสนอว่า “น้องชายของเหล่าฟางรับตกแต่งภายในอยู่พอดี ไว้ผมจะไปขอให้เหล่าฟางช่วยแนะนำเขาให้เราหน่อย”

“เยี่ยมไปเลย คราวนี้เราก็ไม่จำเป็นต้องมองหาคนอื่นแล้ว ฉันจะรอฟังข่าวจากคุณนะคะ”

เฉินเจียเหอยังไม่ได้กินข้าว ดังนั้นหลินเซี่ยจึงทำบะหมี่ตุ๋นทิ้งไว้ในหม้อให้เขา

หลังจากที่เขากินเสร็จ เขาก็หันไปหาเธอซึ่งมาส่งเขาที่หน้าประตูพลางพูดว่า “เย็นนี้ไม่ต้องทำกับข้าวนะ ผมจะซื้อข้าวจากโรงอาหารกลับมาให้คุณ คุณจะได้ถือโอกาสลองชิมข้าวหม้อใหญ่ของโรงงานเรา”

“ค่ะ”

เมื่อเห็นว่าภรรยาคนสวยยังคงยืนอยู่ที่ประตูเพื่อส่งเขาออกไป เฉินเจียเหอก็กลับไปที่โรงงานอย่างอารมณ์ดี มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม

หลินเซี่ยหันหลังกลับเพื่อกลับบ้าน จึงบังเอิญไปเจอพี่สาวจางเข้าพอดี

พี่สาวจางและคนอื่น ๆ ได้รับวันหยุดพิเศษจากทางโรงงานเพื่อให้มีเวลาฝึกซ้อมการแสดงโดยเฉพาะ

พี่สาวจางทักทายว่า “เสี่ยวหลิน ฉันว่าจะไปหาเธออยู่พอดี พรุ่งนี้เราต้องกลับไปทำงานตามปกติแล้ว จะมีเวลาว่างซ้อมแค่ตอนกลางคืนเท่านั้น บ่ายนี้เธอพอมีเวลาไหม? เราออกไปซื้อเสื้อผ้าสำหรับขึ้นแสดงบนเวทีกันเถอะ”

“พี่สาวจาง ฉันมีเวลาว่างพอดีเลยค่ะ ไปกันเถอะ พาทุกคนไปด้วยกันก็ได้นะคะ แต่ถ้าใครไม่สะดวกไปก็อย่าลืมบอกไซส์เสื้อของตัวเองให้พวกเราทราบด้วย”

“ได้ พวกเราจะออกเดินทางกันภายในครึ่งชั่วโมง”

หลินเซี่ยกลับขึ้นไปบนบ้าน หวีผมให้เรียบร้อย ก่อนจะลงไปชั้นล่างเพื่อสมทบกับพี่สาวจางและคนอื่น ๆ

นอกเหนือจากหวังซิ่วฟางที่อ้างว่าติดงานตรวจสอบข้อมูลบางอย่างในโรงงานจึงไปไม่ได้แล้ว คุณป้าคนอื่น ๆ ต่างก็แห่แหนกันไปทั้งหมด

ลุงหนิวและลุงหลี่เป็นนักกิจกรรมตัวยง พวกเขาจึงสนใจออกไปเลือกเสื้อผ้าด้วยตัวเอง

“คนครบแล้วงั้นก็ไปกันเถอะ”

คนกลุ่มหนึ่งเดินเท้าออกไปกันเป็นกลุ่มใหญ่ พวกเขาขึ้นรถประจำทางไปลงที่ป้ายใกล้กับห้างสรรพสินค้า

จากนั้นก็เข้าไปในห้างสรรพสินค้า

หลินเซี่ยเตือนพวกเขาว่า “ถ้าได้ชุดที่ถูกใจแล้วอย่าลืมต่อรองให้ได้มากที่สุดนะคะ พวกเราซื้อเสื้อผ้าทีละมาก ๆ ดังนั้นทางร้านควรขายให้เราในราคาขายส่ง”

พี่สาวหลิวตอบว่า “ไม่ต้องกังวล พวกเราถนัดเรื่องนี้ดี”

ว่าแล้วทุกคนก็ตรงขึ้นไปที่ชั้นสามของห้างสรรพสินค้า และเริ่มเดินไปรอบๆ โซนเสื้อผ้าสตรี

“คุณว่าชุดกีฬาตัวนี้เป็นยังไงคะ? สีสันสดใสเหมาะเป็นตัวเลือกทีเดียว”

หลินเซี่ยเอื้อมมือไปหยิบกางเกงกีฬาเข้าชุดกับเสื้อกีฬาสีแดงซึ่งมีแถบสีขาวตรงแขนเสื้อ จากนั้นก็หันไปถามความคิดเห็นของทุกคน

พี่สาวหลายคนรีบมารวมตัวกัน ก่อนจะคว้าเสื้อผ้าไปทาบกับตัวแล้วแสดงความคิดเห็น

“เสื้อกีฬาพวกนี้วัยรุ่นเขานิยมใส่กันไม่ใช่เหรอ จะเหมาะกับเราหรือเปล่า?”

หลินเซี่ยยิ้มและพูดว่า “พวกคุณส่วนใหญ่เพิ่งจะอายุสามสิบหรือสี่สิบต้น ๆ เอง เสื้อผ้าพวกนี้ต้องเหมาะกับทุกคนแน่อยู่แล้วค่ะ ชุดกีฬาเป็นชุดสากล ไม่เกี่ยวกับอายุหรือลักษณะส่วนบุคคล”

เมื่อพนักงานขายเห็นว่าหน้าร้านมีลูกค้าสนใจจำนวนมาก เธอก็เข้าไปต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่น จากนั้นก็เริ่มปฏิบัติการยกย่องว่าพี่สาวทั้งหลายยังดูไม่แก่เลย ชุดนี้เหมาะสมอย่างยิ่ง

“เอาล่ะ งั้นมาลองดูกัน”

ผู้หญิงหลายคนเริ่มรายงานขนาดไซส์ของตัวเอง จากนั้นก็ยุ่งอยู่กับการลองเสื้อผ้า

ที่นี่ไม่มีห้องลองชุด โชคดีที่อากาศในเดือนแรกของปียังหนาวเย็นมาก ทุกคนจึงสวมเสื้อผ้าหนา ๆ อยู่ข้างใน หลังจากถอดเสื้อโค้ตออกแล้วก็ลองสวมตรงนั้นเลยโดยไม่หลบเลี่ยงสายตาผู้คน

“ตัวนี้เล็กไปสำหรับฉัน ช่วงปีใหม่น่าจะกินเยอะไปหน่อย น้ำหนักขึ้นอีกแล้ว”

“ขอลองไซส์เล็กกว่านี้หน่อยสิ เหมือนฉันจะผอมลง”

เมื่อเห็นว่าสาว ๆ ทั้งหลายเริ่มลองเสื้อผ้าตัวใหม่กันแล้ว ลุงหนิวก็โพล่งขึ้นด้วยความกังวล “แล้วพวกเราล่ะ? พวกเราคงไม่ได้ใส่ชุดสีชมพูหรอกนะ”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ฝั่งตรงข้ามคงเป็นซ่องสินะ คุณลุงเลยไม่ยอมให้เช่าร้าน

ผู้ชายก็ใส่สีชมพูได้ค่ะ สีเสื้อผ้าไม่ได้จำกัดเพศสักหน่อย มีแต่คนนี่แหละที่กำหนดเพศให้สีเสื้อผ้า

ไหหม่า(海馬)