จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 58 แยกจาก
เมื่อเห็นแก่นทั้งสองที่เบื้องหน้า เฮยหยานก็นิ่งตะลึงงัน
มองฉินเทียนอย่างโง่งมไม่อาจทำใจเชื่อได้ลง มันกล่าวถามอย่างไม่อาจควบคุมเส้นเสียงที่สั่นได้ “แก่นพวกนี้…เจ้า…เจ้าไปได้มาจากที่ใด?”
สองแก่น หนึ่งเป็นแก่นของสัตว์ปีศาจระดับหก เพียงแค่นี้ก็สร้างความตกตะลึงให้กับมันมากพอแล้ว มันไม่อาจเชื่อสายตาตนเอง
ในอดีตนั้น มันต้องใช้เวลากว่าครึ่งเดือนในการไล่ล่าสัตว์ปีศาจระดับห้า และกระทั่งต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยชีวิตของพี่น้องไปสิบสองชีวิต ทั้งยังไม่อาจสังหารสัตว์ปีศาจตัวนั้น หากไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวของฉินเทียนแล้วล่ะก็ กระทั่งชีวิตของมันเองก็ยังยากที่จะรักษาไว้ได้
มันเคยสัมผัสกับความพรั่นพรึงของสัตว์ปีศาจระดับห้ามาแล้ว ทว่านี่กลับเป็นแก่นของสัตว์ปีศาจระดับหกที่ทรงพลังยิ่งกว่า นี่จะให้มันทำใจเชื่อได้อย่างไร?
พรสวรรค์และความสามารถของฉินเทียนเป็นสิ่งที่มันไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน ไม่เกินจริงเลยที่จะกล่าวว่าฉินเทียนเป็นอัจฉริยะที่ร้อยปีจะมีสักคน อย่างไรก็ตาม เขาเพิ่งตัดผ่านไปขั้นรวบรวมวิญญาณเท่านั้น หากว่าผู้ฝึกตนขั้นรวบรวมวิญญาณสามารถสังหารสัตว์ปีศาจระดับหกได้ เช่นนั้นเหล่าพี่น้องทั้งสิบสองของมันก็คือไม่ตาย
ตกตะลึง ตื่นเต้น มันแทบไม่อาจทำใจเชื่อได้
ฉิยนเทียนเกาศีรษะพลางหัวเราะ “ดวงของข้ายังไม่เลว ข้าเผอิญพบสัตว์ปีศาจสองตัวกำลังต่อสู้กันจนตกตามทั้งคู่ ดังนั้นข้าจึงเป็นดั่งชาวประมงที่ได้เก็บเกี่ยวในตอนท้าย”
ถ้อยคำที่กล่าวออกมาอย่างสบายๆทำให้เฮยหยานตกตะลึงเมื่อได้ฟัง
การต่อสู้ระหว่างสัตว์ปีศาจระดับสูงเป็นอะไรที่น่ากลัวยิ่ง แม้ฉินเทียนจะกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจ หากแต่ตัวมันที่ได้รับฟังกลับตื่นตระหนกขึ้นมา ไม่ว่าจะดวงดีสักเพียงใด หากปราศจากความแข็งแกร่งแล้ว เขาก็ยังไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของสัตว์ปีศาจระดับหกได้
“พี่ใหญ่เฮยหยาน แก่นระดับหกนี้มอบเป็นของขวัญต่อท่าน”
พร้อมกับคำกล่าว ฉินเทียนได้ยัดแก่นใส่มือของเฮยหยาน มันส่ายศีรษะและส่งแก่นนั้นคืนฉินเทียน “แก่นระดับหกนี้ยังสูงค่ากว่าทักษะระดับทองทั่วไปเสียอีก มันจะเป็นประโชน์มหาศาลหลังจากกลั่นแล้ว ผู้ครอบครองมันจะสามารถเพิ่มระดับได้อย่างต่อเนื่อง ของมีค่าเช่นนี้ข้าไม่กล้ารับไว้หรอก”
“พี่ใหญ่ ในวันที่ข้าได้แก่นของกอลลิล่าดุร้ายมา ข้าก็ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องตอบแทนท่านให้ได้ โปรดรับมันไว้เถอะ มิเช่นนั้นข้าคงรู้สึกติดค้างท่าน”
หากปราศจากแก่นของกอลิล่าที่กลืนเข้าไปแล้ว ฉินเทียนก็คงไม่อาจสังหารราชสีห์เนตรโลหิตและได้รับแก่นทั้งสองมา ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงเวลาที่ผ่านเฮยหยานยังดูแลเขาราวกับเป็นพี่น้องกันจริงๆ
ฉินเทียนได้สลักเรื่องเหล่านี้ไว้ในใจและหาโอกาสที่จะตอบแทนมาตลอด
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่เขาก็เป็นคนรู้คุณคน
การที่สามารถเข้าสู่เทือกเขาคุนหลุน ทั้งยังสามารถตัดผ่านได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียนงครึ่งปี ทั้งหมดนี้ต้องยกความดีความชอบให้เฮยหยานที่คอยช่วยเหลือเขา เป็นการช่วยเหลือโดยไม่ตัดพ้อใดๆ การเข้าสู่เทือกเขาคุนหลุนไม่เพียงแต่จะไม่ทำให้มันก้าวหน้าเท่านั้น หากแต่ยังเป็นการสละเวลาของตัวเองเพื่อสั่งสอนฉินเทียนด้วย ด้วยเหตุนี้ฉินเทียนจึงรู้สึกสำนึกขอบคุณอย่างมาก
ไม่ต้องกล่าวถึงเพียงแก่นระดับหก หากว่าเฮยหยานต้องการแก่นทั้งสอง เขาก็จะยกให้โดยไม่ลังเลใดๆ
นอกจากนี้เขายังเข้าใจความขมขื่นที่ไม่อาจทะลวงระดับได้ สำหรับเฮยหยานแล้ว แก่นปีศาจนี้มีความสำคัญยิ่ง เพื่อเส้นทางในการบ่มเพาะเมื่อเข้าไปในสำนักเมฆาล่อง ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรฉินเทียนต้องให้เฮยหยานรับไว้ให้ได้
มองแววตาที่จริงใจของฉินเทียนแล้ว เฮยหยานก็ตื้นตันใจ มันทราบดียิ่งกว่าผู้ใดว่าแก่นนี้สำคัญกับมันแค่ไหน ในเมื่อฉินเทียนตั้งใจจะมอบให้มันแล้ว มันก็จะรับไว้
มันจะจดจำน้ำใจครั้งนี้ตลอดไป
เฮยหยานตัดสินใจไม่ปฏิเสธอีก มันหยิบแก่นระดับห้าขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณเจ้ามาก”
‘ขอบคุณ’ เพียงคำเดียวหากแต่มากไปด้วยอารมณ์
อารมณ์ของมันแทบจะเอ่อล้นออกมา มันติดอยู่ในระดับแรกของของขั้นกลั่นวิญญาณมาอย่างยาวนาน ทำมันต้องทนอยู่กับความขมขื่น ด้วยแก่นปีศาจนี้แล้ว มันย่อมสามารถตัดผ่านระดับได้แน่ นี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของแก่นต่อมัน
แต่แก่นปีศาจเองก็สำคัญต่อฉินเทียนเช่นกัน ความก้าวหน้าของฉินเทียนอยู่เหนือความคาดหมายของมันมาก และสักวันหนึ่งการปรากฏตัวของฉินเทียนจะต้องทำให้ทั่วทั้งทวีปเทียนหยวนต้องสั่นสะเทือน
ฉินเทียนต้องการจะเกลี้ยกล่อมให้เฮยหยานรับแก่นระดับหกไป แต่เฮยหยานก็ปฏิเสธตัดบทไป
สุดท้ายฉินเทียนก็ไม่ได้เกลี้ยกล่อมอีก
โฮ่ง โฮ่ง
มาวมาววิ่งมาหยุดที่ข้างขาของเฮยหยานก่อนจะเอาตัวถูไถเพื่อแสดงความเป็นมิตร
“พี่ใหญ่ นี่มาวมาว” ฉินเทียนหัวเราะ
“ราชสีห์เนตรโลหิต” เฮยหยานบอกได้ทันทีเพียงแรกเห็น เฮยหยานประสานตากับมันก่อนที่จะตกใจและเอ่ยถามฉินเทียน “ทารกเพิ่งเกิด นี่หายากยิ่ง หากเลี้ยงมันดีๆ มันจะกลายเป็นผู้ช่วยอันเข้มแข็ง ยิ่งกว่านั้นสัตว์ปีศาจสายพันธุ์นี้ยังดุร้ายมาก”
“แล้วมันมาติดตามเจ้าได้อย่างไร แม่ของมัน…”
“หรือท่านไม่เห็นว่ามีแก่นของราชสีห์เนตรโลหิต?”
เฮยหยานลอบประหลาดใจ ขณะที่ภายในรู้สึกพลุ่งพล่านขึ้นมา ราชสีห์เนตรโลหิตนั้นไม่ใช่สัตวืปีศาจดาษดื่นทั่วไป แต่เป็นสายพันธุ์ที่มีพลังต่อสู้อันแข็งแกร่ง การที่มันจะไปถึงระดับที่หกได้ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย จากระดับที่ห้ามันจะต้องผ่านการต่อสู้อย่างโชกโชนนับครั้งไม่ถ้วน
ส่วนการจะสยบมันได้นั้นยังยากเย็นยิ่งกว่า ทารกแรกเกิดจะคิดว่าคนแรกที่มันเห็นเป็นแม่ของมัน
และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้มาวมาววิ่งแจ้นมาหาฉินเทียนทันทีที่มันเห็น
ฉินเทียนหัวเราะเป็นเชิงยอมรับ แต่เมื่อเห็นอาการตกใจของเฮยหยานแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะถาม “เลี้ยงเจ้าตัวเล็กนี่เป็นเรื่องหาดูยากหรือ?”
“ยาก หายากยิ่ง” เฮยหยานตอบพลางเกาคอมาวมาวอย่างอ่อนโยน นี่ให้ความรู้สึกสบายยิ่ง มาวมาวหรี่ตาปรือแสดงสีหน้ามีความสุขออกมา เฮยหยานยิ้มและกล่าวต่อว่า “การเลี้ยงเจ้าตัวเล็กนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าเตรียมตัวปวดหัวได้เลย”
ผู้ฝึกสัตว์ปีศาจนั้นพบเห็นได้ยากในทวีปเทียนหยวน ปกติแล้วมีเพียงตระกูลจูชิงเท่านั้นที่เพาะสร้างผู้ฝึกสัตว์ปีศาจขึ้นมา เหล่าสัตว์ปีศาจที่ได้รับการฝึกนั้นไม่เพียงใช้เป็นพาหนะเท่านั้น หากแต่ยังใช้เป็นสัตว์สงคราม
บางตัวที่เติบโตขึ้นมาก็อาจจะกลายเป็นสัตว์ปีศาจทรงพลัง
อย่างไรก็ตาม ลูกสัตว์ปีศาจสายต่อสู้นั้นยากที่จะทำให้เชื่อง ในทวีปเทียนหยวนนั้น ผู้ฝึกสัตว์มักมุ่งเน้นไปที่สัตว์ขี่ ผู้ที่ฝึกสัตว์สายต่อสู้จึงมีจำนวนเพียงหยิบมือ
แน่นอนว่าฉินเทียนย่อมไม่ทราบรายละเอียดเหล่านี้ ในเวลานั้นที่เขาตกปากรับคำขอของราชสีห์เนตรโลหิตตัวแม่ก็เพราะความใจอ่อน แต่ผู้ใดจะทราบเล่าว่านั้นจะเป็นการเปิดใช้งานระบบสัตว์เลี้ยง ดังนั้นเขาจึงได้แต่ยอมรับมัน
เมื่อได้ฟังเฮยหยานอธิบายความยากในการเลี้ยงสัตว์ปีศาจสายต่อสู้แล้ว ฉินเทียนก็เริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมา
ราวกับว่ามาวฟังพวกเขาคุยกันรู้เรื่อง มันลดหัวลงต่ำพลางคลานมาหาฉินเทียน มันเงยหน้าขึ้นส่งสายตาสุกใสราวกับจะบอกว่า “อย่าทิ้งข้านะ….”
“วางใจเถอะ ไม่ทิ้งเจ้าหรอก” ฉินเทียนเผยยิ้มชั่วร้าย ขณะที่ลอบคิดขึ้นในใจ “เม็ดยาของข้าย่อมต้องมีคนลอง”
มองดูรอยยิ้มที่ชั่วร้ายของฉินเทียนแล้ว มาวมาวก็ก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว มันรู้สึกสยิวกายจนขนลุกชี้ชัน มองฉินเทียนด้วยสีหน้าเว้าวอน
นี่ทำให้ฉินเทียนและเฮยหยานหัวเราะออกมา
………………………
วันเวลาไหลผ่านดุจสายน้ำไหล
เพียงชั่วกระพริบตาก็เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วที่ทั้งสองได้เข้ามาภายในเทือกเขาคุนหลุน
ค่าประสบการณ์มหาศาลที่สั่งสมมาตลอดหนึ่งปีนี้ทำให้ฉินเทียนแข็งแกร่งขึ้นมาก พาให้เขาทะยานจากระดับสี่ขั้นก่อตั้งวิญญาณไปถึงระดับสามขั้นรวบรวมวิญญาณ หากเปิดเผยออกไปเกรงว่าจะทำให้ทั่วทั้งทวีปเทียนหยวนต้องสั่นสะเทือน และอาจจะทำให้เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายต้องกระอักเลือด
กระทั่งเฮยหยานเองก็ยังรู้สึกอิจฉาฉินเทียน เขารู้ราวกับว่าฉินเทียนไม่จำเป็นต้องบ่มเพาะเพื่อทะลวง หากแต่อาศัยเพียงการสังหารสัตว์ปีศาจซึ่งคล้ายคลึงกับวิธีบ่มเพาะของพวกสัตว์ปีศาจ
สามารถที่จะยกระดับตนเองโดยการสังหารสัตว์ปีศาจ นอกจากฉินเทียนแล้วก็ไม่มีผู้ใดอีก
ที่ปากทางเข้าถ้ำ เฮยหยานเหม่อมองฟ้าไกลก่อนจะเปิดปากขึ้น “ข้าจะไปแล้ว ดูแลตัวเองให้ดี”
“ทราบแล้ว” ฉินเทียนที่ยืนอยู่ด้านข้างผงกศีรษะ
เฮยหยานจะไปแล้ว จากที่นี่ไปสำนักเมฆาล่องเป็นเส้นทางที่ยาวไกล กระทั่งผู้บ่มเพาะระดับสองขั้นกลั่นวิญญาณเช่นเฮยหยานก็ต้องเวลานานนับเดือน
ทว่ามีเพียงช่วงฤดูใบไม้ผลิเท่านั้นที่สำนักเมฆาล่องจะเปิดรับศิษย์
ทั้งสองต่างจมอยู่ในความเงียบ เฮยหยานชำเลืองมองฉินเทียน มันยิ้มออกมาก่อนจะกระโดดออกจากปากถ้ำไป…