บทที่ 170 ทักษะปีศาจคืออะไร?
เมอร์ลินประหลาดใจเมื่อได้เห็นตัวอักษรขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นภายหลังจากแสงสีทองได้ส่องออกมา ข้างในหนังสือมันเขียนด้วยภาษามอลตา
“ทักษะปีศาจคืออะไร? มันเป็นเวทย์มนตร์รึเปล่า?”
เมอร์ลินขมวดคิ้ว เขาไม่รู้ว่าทักษะปีศาจคืออะไร เขาไม่เคยได้ยินคํานี้มาก่อนแม้แต่ในดินแดนมนต์ดําก็ตาม
ในระหว่างที่เมอร์ลินกําลังจะพลิกหน้าต่อไป อยู่ ๆ เสียงฝีเท้าของม้าก็ดังขึ้นต่อหน้าเขา เมื่อเขามองตามเสียงไปก็พบกับเลห์แมนและกองอัศวินเกราะเหล็กของเขา
“เมอร์ลิน มีอะไรรึเปล่า?” เลห์แมนเข้ามาหาเมอร์ลินอย่างรวดเร็วและมองมาที่เขา
เมอร์ลินเก็บหนังสือไว้และส่ายหัวเล็กน้อย “ท่านพ่อ ผมไม่เป็นไร แล้วท่านเคานต์และคนอื่นๆ เป็นอย่างไรบ้าง”
เลห์แมนเหลือบมองไปที่ศพบนพื้น เขารู้ว่าศพพวกนี้เคยเป็นนักเวทย์ที่ทรงพลังในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่แต่พวกมันทั้งหมดถูกฆ่าโดยเมอร์ลิน เขาค่อนข้างตกใจกับฉากนี้ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เมอร์ลินแข็งแกร่งเพียงใด
“เคานต์เซลินสั่งให้กองทัพไล่ตามกองทัพที่แตกพ่ายของเลบส แล้วอีกอย่างเขาต้องการใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้เพื่อควบคุมเมืองเลบิสให้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาด้วย”
เลห์แมนเหลือบมองทหารที่ยังคงหมกมุ่นอยู่กับการฆ่าที่อยู่ห่างไกลจากพวกเขา
สิ่งที่เคานต์เซลินหวังไม่ช้ามันก็กลายเป็นดั่งที่เขาต้องการ เนื่องจากลองการ์ดีได้ทุ่มสุดตัวในสงครามครั้งนี้ เขาได้รวบรวมทหารทั้งหมดและพาพวกเขามาที่นี่
หลังจากประสบความพ่ายแพ้ทําให้มีทหารเหลือปกป้องเมืองเพียงไม่กี่คนเท่านั้น คนที่สามารถเอาชีวิตรอดกลับไปยังเมืองเลบิสได้ พวกเขาไม่มีโอกาสป้องกันตัวเองจากกองทัพของเคาท์เซลินได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมอร์ลินไม่สนใจในเรื่องพวกนี้ เขาทําหน้าที่ของเขาเสร็จแล้ว ที่เหลือปล่อยให้เคานต์เซลินเป็นคนจัดการ
“ท่านพ่อ กลับกันเถอะ เดี๋ยวเคาท์เซลินคงจะจัดการที่เหลือเอง”
หลังจากนั้น เมอร์ลินก็ขี่ม้าและกลับมายังเมืองปรากาชอย่างช้าๆ
หลังการสู้รบ เมืองปรากาชดูคึกคักไปด้วยกิจกรรมต่างๆ หลายคนได้รับข่าวว่ากองทัพของเมืองเลบิสพ่ายแพ้อย่างหมดท่า ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างโห่ร้องด้วยความยินดี
แม้แต่เมอร์ลินก็ยังสังเกตเห็นรอยยิ้มที่จริงใจของคนรับใช้หลายคนในปราสาทวิลสัน
หลังจากที่เขากลับถึงห้องแล้ว เขาสั่งคนใช้ไม่ให้ใครมารบกวนเขา จากนั้นเขาก็หยิบหนังสือแปลกๆ ที่เขาพบในแหวนของพ่อมดเฮกฮาร์ออกมา
เมอร์ลินได้อ่านหน้าแรกแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเกี่ยวกับทักษะของปีศาจ เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร ดังนั้นเขาจึงอ่านหน้าสองต่อไป
หน้าที่สองเขียนเกี่ยวกับคําอธิบายโดยละเอียดเกี่ยวกับทักษะของปีศาจ ดังนั้นเมอร์ลินจึงอ่านข้อความอย่างละเอียด
“ทักษะของปีศาจหรือพลังปีศาจแพนดอร่า เป็นพลังแปลก ๆ ที่แสดงออกจากการผสมผสานของเทคนิค ต่างๆ เช่น คาถาการเล่นแร่แปรธาตุ อักษรรูน ศาสตร์ปรุงยาและอื่น ๆ !
ดัชนีเยือกแข็งเป็นหนึ่งในทักษะของปีศาจธาตุน้ําแข็ง เงื่อนไขในการฝึกฝน หนึ่งต้องสร้างคาถาระดับหนึ่งน้ําค้างเยือกแข็งและต้องมีไขกระดูกน้ําแข็งร้อยปีของสัตว์ประหลาด!”
เมอร์ลินอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ ผลลัพธ์ของพลังปีศาจแพนดอร่าไม่ได้ระบุไว้ในหนังสือเล่มนี้ ยกเว้นเรื่องของดัชนีเยือกแข็ง หากเขาทําตามคํานําและฝึกฝนมัน เขาก็มีพลังน้ําแข็งอันทรงพลัง
อย่างไรก็ตาม หนังสือเล่มนี้ไม่ได้อธิบายว่าขอบเขตของพลังน้ําแข็ง มันมากเพียงใด เขาเล็งเห็นว่าพลังในการแช่แข็งนั้นมีความสําคัญมาก
มีสองขั้นตอนในการฝึกฝนดัชนีเยือกแข็ง ขั้นตอนแรก เขาต้องการคาถาระดับหนึ่งน้ําค้างเยือกแข็งและไขกระดูกน้ําแข็งร้อยปี ในขณะเดียวกัน ขั้นตอนที่สองนั้นซับซ้อนและยากกว่าตอนแรก เขาต้องการคาถาระดับสี่และแก่นน้ําแข็งพันปี
อย่างไรก็ตาม เมอร์ลินไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับไขกระดูกน้ําแข็งร้อยปีหรือแก่นน้ําแข็งของพันปีมาก่อน
ในทางกลับกัน คาถาระดับแรกที่จําเป็นสําหรับด่านแรกของดัชนีเยือกแข็งคือคาถาน้ําค้างเยือกแข็งที่เมอร์ลินกําลังจะสร้างมันแต่ เนื่องจากพลังจิตของเขายังไม่เพียงพอ เขาจึงยังไม่สามารถสร้างในตอนนี้ได้
เมอร์ลินหลับตาลงและจัดเรียงข้อมูลในหัวของเขาใหม่ ความสามารถพิเศษของปีศาจแพนดอร่า ดัชนีเยือกแข็ง ที่เขาได้รับจากเฮกฮาร์ มันจะช่วยเสริมพลังให้เขา
นอกจากนี้เมอร์ลินกําลังเตรียมสร้างน้ําค้างเยือกแข็งอยู่พอดี ถ้าหากเขาได้ไขกระดูกน้ําแข็งร้อยปีเมื่อไหร่ เขาก็ตั้งใจฝึกฝนดัชนีเยือกแข็งด้วย
หลังจากนั้น เมอร์ลินก็หลับตาลงและเริ่มทําสมาธิ
ผ่านไปหนึ่งเดือน เคานต์เซลินได้นํากองทัพและยึดเมืองเลบิสได้สําเร็จ ทันใดนั้นอิทธิพลของเคานต์เซลนี่ก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ตอนนี้ทั้งเมืองปรากาชเป็นเมืองขนาดเล็กที่ทรงอิทธิพลอย่างยิ่ง
หลังจากที่เคานต์เซลินบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว เขาไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับเมอร์ลิน ดังนั้นเขาจึงประกาศต่อสาธารณชนเพื่อเลื่อนบรรดาศกดิ์ของเมอร์ลินจากบารอนไปเป็นไวเคานต์และแต่งตั้งเลห์แมน วิลสันให้เป็นบารอน
นี่เป็นเรื่องหายากมากที่จะมีขุนนางสองคนในตระกูลเดียวกันเพราะในท้ายที่สุดแล้ว ตําแหน่งขุนนางก็สืบทอดกันในตระกูล อันที่จริงการที่ตระกูลวิลสันมีขุนนางสองคนเป็นสัญลักษณ์ว่าครอบครัววิลสันกําลังเฟื่องฟู
จากปีที่แล้วตระกูลวิลสันเป็นเพียงตระกูลพลัดถิ่นจากดินแดนห่างไกลแต่ตอนนี้พวกเขากลายเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลในเมืองปรากาซ
ทางด้านเมอร์ลินก็อยู่ในปราสาทวิลสันตลอดเวลา ช่วงเวลากลางวัน เขาจะไปกับแอวริลกับเชอรีส ส่วนช่วงเวลาตอนกลางคืน เขาจะใช้เวลาในการปรุงยา
น้ํายาที่เมอร์ลินจะทําคือ น้ํายามนตราอสูรซึ่งมันต้องใช้วัตถุดิบล้ําค่าหลายอย่าง วัตถุดิบยาที่เขาได้รับมาจากชายชราผมเงินนั้น มันทําได้เพียงน้ําได้สองขวด ยิ่งกว่านั้น ยังมีโอกาสมากที่เขาอาจจะล้มเหลวในการปรุงยาดังนั้นเมอร์ลินจึงไม่กล้าเสียงที่จําปรุงอีก เขากลัวว่าเขาจะใช้วัตถุดิบจนหมดและจะหาวัตถุดิบเหล่าไม่ได้
หลังจากที่เขาออกจากดินแดนมต์ดํา เมอร์ลินก็ตระหนักว่าทรัพยากรต่าง ๆ นั้นหายากเพียงใด แค่ส่วนผสมทํายาธรรมดยังหายากเลย นับประสาอะไรกับวัตถุล้ําค่าสําหรับน้ํายามนตราอสูร
ด้วยเหตุผลนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เหล่านักเวทย์เลือกที่จะอยู่ในพื้นที่รกร้าง เหตุผลที่สําคัญที่สุดอาจเป็นเพราะขาดวัตถุปรุงยาถึงขนาดที่พวกเขาไม่สามารถฝึกฝนนักเวทย์มนต์ในชีวิตประจําวันได้
เมอร์ลินวางแผนที่จะทําน้ํายามนตราอสูรเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังจิตของเขา แม้ว่าเขาจะทําไม่สําเร็จ เขาก็สามารถทําน้ํายาบลูเบอร์รี่ได้ ในแหวนของพ่อมดวิกซ่ายังมีวัสดุปรุงยาเหลืออยู่พอที่จะปรุงยาได้
หากใช้พวกน้ํายา มันจะเพิ่มพลังจิตอย่างรวดเร็ว มันได้ผลมากกว่าการทําสมาธิหลายชั่วโมง
“เดอะเมทริกซ์ เริ่มกระบวนการสร้างน้ํายามนตราอสูร!”
เมอร์ลินสั่งให้เดอะเมทริกซ์เตรียมปรุงยา เขาเคยชินกับการเตรียมการปรุงยาทั่ว ๆ ไปแล้วแต่เขาไม่มั่นใจในการเตรียมปรุงยามนตราอสูรมากนัก
ผ่านหนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง…
ในไม่ช้า เมอร์ลินก็เตรียมทําน้ํายามนตราอสูรเสร็จ เขาทําตามคําแนะนําของเดอะเมทริกซ์ทุกอย่างแต่น่าเสียดายที่เขาล้มเหลวในการเตรียมยา หลังจากการตรวจสอบโดยเอะเมทริกซ์
ทําให้ตอนนี้คือส่วนผสมชุดสุดท้าย ทําให้เขาระมัดระวังในการปรุงยามากขึ้นอีกเท่าตัว
ผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดเขาก็ประสบความสําเร็จ โดยตัวยามีคุณสมบัติครบถ้วนตามเกณฑ์ของเดอะเมทริกซ์
“ในที่สุดฉันก็ทําได้!”
เมอร์ลินรู้สึกอิ่มเอิบใจที่เขาประสบความสําเร็จเป็นครั้งที่สอง ส่วนใหญ่ของความสําเร็จของเขาเกิดจากโชค เนื่องจากเมอร์ลินไม่สามารถรับประกันได้ว่าเขาจะประสบความสําเร็จเมื่อเขาปรุงยาเป็นครั้งที่สอง
เมอร์ลินยังไม่ดื่มน้ํายามนตราอสูรในทันทีแต่เขาเริ่มทําน้ํายาบลูเบอร์รี่ต่อ
การทําน้ํายาบลูเบอร์รี่นั้นค่อนข้างง่ายกว่า เขาได้รับสูตรยามาจากพ่อมดวิกซ่า
เขาต้องการดื่มน้ํายาทั้งสองตัวเพื่อเพิ่มพลังจิตให้เร็วที่สุด เขาวางแผนที่จะสร้างคาถาระดับหนึ่งอีกอัน
แม้ว่าการทําน้ํายาบลูเบอร์รี่จะค่อนข้างง่ายกว่าน้ํายามนตราอสูร แต่ใช่ว่าจะปรุงได้ง่ายๆ เขาสามารถปรุงยาได้สําเร็จเพียงสามชุดเท่านั้นจากวัตถุดิบทั้งหมด
หากไม่มีวัตถุดิบปรุงยา เมอร์ลินก็ไม่สามารถผลิตอะไรได้อีก ดังนั้นเขาจึงหยุด
ตอนนี้มีน้ํายาที่พร้อมใช้งานแล้ว เขาอยากจะรู้ว่าพลังจิตของเขาสามารถเพิ่มขึ้นไปไกลมากแค่ไหน
ย้อนกลับไป ตอนนี้เมอร์ลินกินน้ํายามนตราอสูรครั้งแรก พลังจิตของเขาเพิ่มขึ้นถึง 30%
จากนั้นเมอร์ลินก็พักผ่อนสักครู่ เมื่อพลังจิตของเขากลับสู่จุดสูงสุด เขาได้กินดื่มน้ํายามนตราอสูร ทันใดนั้น ความรู้สึกอบอุ่นในร่างกายขยายตัวอย่างรวดเร็วในหัวของเขาซึ่งทําให้เขาแทบจะทนไม่ไหว
ความรู้สึกแบบเดียวกับครั้งที่แล้วที่เขาดื่มน้ํายามนตราอสูรครั้งที่แล้ว โชคดีที่พลังจิตของเมอร์ลินแข็งแกร่งพอที่จะทนต่อความเจ็บปวดได้
หลังจากนั้นไม่นาน ความรู้สึกเจ็บปวดในหัวของเมอร์ลินก็ค่อยเบาบางลง ในขณะเดียวกันพลังจิตของเขาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากการประเมินเบื้องต้น พลังจิตของเขาเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 20% แม้ว่าจะไม่ได้มากเท่าในครั้งที่แล้ว
การเพิ่มพลังจิต 20% ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงนั้นเร็วกว่าการทําสมาธิมาก อย่างไรก็ตาม เขาต้องเสียค่าใช้จ่ายจํานวนมากสําหรับสิ่งนี้เช่นกัน หากเขาไม่ประสบความสําเร็จในการปรุงยา แต้มที่ลงทุนแลกไปก็จะสูญเปล่า
แม้ว่ายาจะสามารถเพิ่มพลังจิตของเขาได้อย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ไม่ควรเอาแต่พึ่งพาน้ำยาเพียงอย่างเดียว
ต่อมาเมอร์ลินก็ดื่มน้ํายาบลูเบอร์รี่ต่อ
ผลของน้ํายาบลูเบอร์รี่ ไม่สูงเท่าน้ํายามนตราอสูร โดยน้ํายาบลูเบอร์รี่ 3ขวดจะเทียบเท่าน้ํายามาตรอสูร 1ขวด
ด้วยพลังจิตที่เพิ่มขึ้นมานี้ ทําให้เมอร์ลินคิดว่าเขาน่าจะสร้างคาถาระดับหนึ่งอันที่สองได้แล้ว
“ต่อไปจะเป็นคาถาอะไรดี”
เมอร์ลินเริ่มมองไปที่คาถาระดับหนึ่งที่เขาเก็บไว้ในแหวนของเขา เนื่องจากเขาไม่ได้มีพลังจิตมากนัก เขาจึงทําได้เพียงเลือกคาถาที่สามารถช่วยเหลือเขาได้มากที่สุด