ตอนที่ 352 – ไม่ใช่ศัตรู
เห็นโม่เทียนเกอใช้สายตาอย่างนี้จ้องตนเองเขม็ง เนี่ยอู๋ชางจับต้นชนปลายไม่ถูก ก้มหน้ามองตัวเอง “ทำไมหรือ”
โม่เทียนเกอยิ้ม เปิดประตูเห็นภูเขา* “ท่านหนีออกมาหรือ”
เนี่ยอู๋ชางสีหน้าดิ่งลงในพริบตา กำหมัดแน่น
โม่เทียนเกอชำเลืองมองมือของนาง เอ่ยว่า “อย่าลืมเล่า ท่านอยู่ในม่านพลังของข้า”
เนี่ยอู๋ชางตะลึงไป ผ่อนคลายขึ้นมา ผ่านไปชั่วขณะจึงเปิดปากว่า “มิผิด ข้าทรยศซือฟุข้า ขโมยอาวุธเวทที่เขารักถนอม หนีจากเทียนจี๋……” พูดถึงตรงนี้ นางจ้องโม่เทียนเกอ “อย่างนี้ท่านมีความสุขแล้วกระมัง”
ยืนยันการคาดเดาของตนเองแล้ว โม่เทียนเกอปล่อยหินก้อนใหญ่ในใจลง ความสัมพันธ์เป็นศัตรูระหว่างนางกับเนี่ยอู๋ชางก็เป็นเพราะซงเฟิงซ่างเหริน หากนางไปจากซงเฟิงซ่างเหริน ระหว่างทั้งสองก็จะถือว่าไม่เป็นศัตรูแล้ว
นางยิ้มบาง ๆ ทอดมองเนี่ยอู๋ชาง “ถูก ข้ามีความสุขมาก หรือว่าท่านไม่มีความสุขหรือ”
ความสงบนิ่งอย่างนี้ทำให้เนี่ยอู๋ชางตะลึงงันไป นางทอดมองโม่เทียนเกอ อารมณ์ซับซ้อน
จำได้ว่าครั้งแรกตอนที่พบนาง นางยังมีเพียงระดับสร้างฐานพลังขั้นกลาง มีฐานะเป็นศิษย์โดดเด่นของประมุขเต๋าจิ้งเหอ ต้อนรับแขกสตรีในพิธีฉลองผูกจิตวิญญาณของประมุขเต๋าเสวียนอิน ท่าทีสงบนิ่ง การกระทำตามสบาย
เวลานั้น นางรู้ว่าซือฟุคิดจะไปโรงเรียนเสวียนชิงเพื่อหาเรื่องประมุขเต๋าจิ้งเหอ ดังนั้นต่อ “ศิษย์โดดเด่นของประมุขเต๋าจิ้งเหอ” นางนี้จึงให้ความสังเกตเป็นพิเศษ เพียงรู้สึกว่าเห็นได้ชัดว่านางเป็นบุตรผยองแห่งสวรรค์คนหนึ่ง ดันทำท่าทางเหมือนไม่ไยดีความโปรดปรานหรือเหยียดหยาม ทำให้คนดูแล้วรังเกียจ นางยอมรับว่าตนเองในเวลานั้นริษยา เพราะว่าริษยา ดังนั้นอดไม่ได้ที่จะเกิดความรำคาญ
พบกับนางอีกทีเป็นหลายสิบปีให้หลังแล้ว เวลานั้นตนเองเลื่อนระดับเป็นก่อเกิดตานไม่นาน ติดตามซือฟุไปภูเขามาร
เวลานี้ อาจารย์เต๋าชิงเวยมีชื่อเสียงเล็กน้อยแล้ว ตอนที่นางท่องคุนอู๋ก็จะได้ยินคนพูดถึงเป็นครั้งคราวว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอโรงเรียนเสวียนชิงได้รับศิษย์อัจฉริยะที่ก่อเกิดตานในร้อยปีอีกคนหนึ่งแล้ว ฯลฯ
ความริษยาตอนแรกสุดค่อย ๆ จางหายไปในเวลาหลายสิบปีอันยาวนานแล้ว แต่ตอนที่พบกันใหม่ นางยังคงควบคุมตนเองไม่ให้ไปเกลียดชังนางไม่อยู่ เพราะอะไรเป็นสตรีเหมือนกันแต่นางโชคดีขนาดนี้? มีซือฟุที่รักศิษย์ดั่งชีวิต ยังมีซือเกอที่รักถนอมนางเยี่ยงนั้น
ส่วนตนเอง ไม่มีอะไรทั้งนั้น
การเห็นความสมบูรณ์แบบของนางทำให้นางเกลียดชังข้อบกพร่องของตนเอง
แต่ว่า ตอนที่ซือฟุอยากจะทำลายความสมบูรณ์แบบนี้ ทำให้พวกเขาศิษย์อาจารย์สามคนลองลิ้มรสชาติอันน่าขยะแขยงดุจดั่งกลืนแมลงวัน นางกลับทนไม่ได้ ดังนั้นแอบเคลื่อนมือเท้าตอนที่ปฏิบัติตามคำสั่ง แม้กระทั่งตอนที่ซือฟุเร่งไปวังอวี้เสินก็กลับไปขัดขวางการเกิดขึ้นของเรื่องราว
เพราะอะไรถึงทำอย่างไร ตัวนางเองยังไม่ทราบชัด อาจจะเป็นเพราะความสมบูรณ์แบบของนางทำให้ตนเองเกิดความถวิลหา ดังนั้นทนไม่ได้ที่จะไปทำลาย? หรือบางที ในฐานะสตรี เรื่องอย่างนี้โหดร้ายเกินไป โหดร้ายจนแม้แต่นางยังรับไม่ได้?
การไล่วิเคราะห์เหตุผลไม่จำเป็นแล้ว ตอนที่นางมีปฏิกิริยาขึ้นมาก็ทำอย่างนี้ไปแล้ว
จากนั้น ฉวยเวลาที่ซือฟุไปวังอวี้เสิน แทบจะหนีหัวซุกหัวซุนออกจากภูเขามาร
นางกลัวมาก กลัวว่าซือฟุรู้ว่านางทำเรื่องอย่างนี้แล้วจะลงทัณฑ์นางอย่างไร จะโกรธจนตบนางตายเลยไหม หรือว่าขังนางไว้ในสระแห่งบรรพมาร รับทัณฑ์ทรมานที่มีชีวิตมิสู้ตกตาย?
แต่ถึงแม้นางกลัวจนแทบไม่เป็นตัวของตัวเองกลับไม่เคยเสียใจภายหลัง
ใครจะรู้ ลำดับถัดมาภูเขามารเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงพิสดาร นางกลับหนีรอดออกมาเพราะเหตุนี้ ถึงซือฟุจะหนีอย่างอเนจอนาถ แต่บนร่างได้รับบาดเจ็บสาหัส และไม่ได้รู้เลยว่านางทำเรื่องอะไร
สิบกว่าปีถัดมา ซือฟุกักตนรักษาบาดเจ็บโดยตลอด ไม่ว่างมาสนใจนาง
นางโล่งอกชั่วคราว ในใจกลับคำนึงถึงเรื่องนี้ตลอดเวลา ซือฟุจะช้าหรือเร็วก็ต้องรู้ ตอนที่เขารู้ หากตนเองสามารถถูกเขาตบทีเดียวตายก็เป็นเรื่องโชคดีแล้ว นางไม่คิดจะตาย อีกทั้งยังคิดจะมีชีวิตให้ดียิ่งขึ้น ดังนั้น ความปรารถนาที่จะหลบหนีจึงเร่งร้อนขึ้นทุก ๆ วัน
ซือฟุร่างได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่ได้ว่างมาใส่ใจนางเลย ยังมีจังหวะเวลาที่ดียิ่งกว่านี้ไหม นางวางแผนอยู่นานมาก ในที่สุดตกลงใจ ไม่โอ้เอ้รีรอ ฉวยเวลาที่ซือฟุรักษาบาดเจ็บ ขโมยอาวุธเวทของเขา หนีจากเทียนจี๋
ตั้งแต่ขณะนั้นเป็นต้นมา นางไม่มีซือฟุจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายแล้ว ไม่มีขุนเขาหนุนหลัง แต่ว่า นางครอบครองอิสรภาพ อิสรภาพที่ใฝ่ฝันหา
ข้ามทะเลใต้ หนีจากเทียนจี๋ เป็นย่างก้าวที่แสนอันตรายของนาง นางทราบกระจ่างยิ่งกว่าใครถึงนิสัยมีแค้นต้องชำระของซือฟุ ในเมื่อนางทรยศซือฟุแล้ว อย่างนั้นก็ไม่มีทางถอยแล้ว สมมติว่าถูกเขาจับได้จะขอเป็นก็ไม่ได้ขอตายก็ไม่สามารถ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงจะตายที่ทะเลใต้ก็ดีกว่าชีวิตครึ่งหลังอย่างนั้น
โชคดีที่สวรรค์ผู้ทำให้นางผิดหวังมาหนึ่งร้อยกว่าปี ครั้งนี้ในที่สุดก็มอบความหวังให้นาง ทำให้นางข้ามผ่านทะเลใต้ มาถึงเกาะเป่ยจี๋ของอวิ๋นจงอย่างปลอดภัย
แต่จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่านางจะได้มาพานพบกับอาจารย์เต๋าชิงเวยผู้นี้ที่นี่อีกแล้ว
ก่อนจากเทียนจี๋ นางได้ทราบว่าซือเกอผู้นั้นของนางผูกจิตวิญญาณสำเร็จแล้ว อีกทั้งทั้งสองคนได้กลายเป็นคู่เต๋าฝึกตนร่วมสัมพันธ์แล้ว พูดตามเหตุผล เวลานี้พวกเขามิใช่ควรจะไม่ยอมพลัดพรากเกาะติดดุจทากาวหรอกหรือ เหตุใดกลับอยู่ห่างกันสุดขอบฟ้า มาที่อวิ๋นจงที่ไกลหมื่นลี้อย่างโดดเดี่ยว นางรู้สึกงงงวยมาก จู่ ๆ ค้นพบว่าตนเองดู “บุตรผยองแห่งสวรรค์” ที่ตนเองนึกไปคนนี้ไม่เข้าใจเลย
“ทำไม” นางไม่พูดจาเป็นครึ่งค่อนวัน โม่เทียนเกอเลิกคิ้ว ถามมาคำหนึ่ง
เนี่ยอู๋ชางเก็บสายตาของตนเองกลับ เอ่ยอย่างชืดชาว่า “ไม่มีอะไร เพียงแค่จู่ ๆ ค้นพบว่าข้าเหมือนจะไม่รู้จักท่านเลย”
โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้ของนางอยู่บ้าง
ถัดจากนั้น เนี่ยอู๋ชางยิ้มแล้ว “ช่างเถอะ เรื่องพวกนี้ไม่เอ่ยถึงแล้ว มาถกเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเรากันต่อดีกว่า”
โม่เทียนเกอกลับโบกมือ “ในเมื่อท่านไปจากซือฟุท่านแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ถือว่ามิใช่สหาย แล้วก็มิใช่ศัตรู แน่นอนว่าขอเพียงท่านไม่มีจิตมุ่งร้าย”
“……” เนี่ยอู๋ชางทอดมองนาง สายตาซับซ้อนขึ้นมาอีกครั้ง “ท่าน……”
“อ้อ ท่านยังเคยช่วยชีวิตข้าด้วย” นางยิ้มบาง ๆ “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เรื่องนั้นสุดท้ายก็คือท่านที่ขัดขวาง ปีนั้นไม่มีโอกาส ตอนนี้ขอขอบคุณท่านมาก”
เนี่ยอู๋ชางได้ยิน สายตาสั่นไหว สามารถพูดได้ว่าการที่นางนั่งอยู่ที่นี่ในวันนี้ก็มีเหตุมาจากเรื่องนี้ตรง ๆ หากมิใช่นางช่วยชีวิตโม่เทียนเกอก็จะไม่เกรงกลัวซือฟุลงทัณฑ์และเลือกจะหนีออกมา ยิ่งจะไม่เสี่ยงอันตรายไปข้ามทะเลใต้มาถึงเกาะเป่ยจี๋
“ขอบคุณข้าทำอะไร หากมิใช่ข้าพาซือฟุไป ท่านก็จะไม่……”
โม่เทียนเกอกลับเพียงแค่ยิ้ม “ตอนนั้นท่านจากไปไม่นานมากก็พาซือฟุท่านวกกลับมาแล้ว คิดว่าซือฟุท่านคงอยู่ใกล้เคียงกระมัง ด้วยจิตหยั่งรู้ของเขาผู้เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายอันดับหนึ่งของเทียนจี๋ เกรงว่าค้นพบพวกเราแต่แรกแล้ว แน่นอนว่า ข้าก็มิใช่ไม่ได้ใส่ใจสักนิด เพียงแต่ว่า ความแค้นระหว่างข้ากับท่านถึงอย่างไรเป็นเพราะซือฟุท่าน ในเมื่อปัจจุบันนี้ท่านไปจากเขาแล้ว เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงอีก”
“……” เนี่ยอู๋ชางสีหน้าซับซ้อน ทอดมองนางเนิ่นนาน ในที่สุดกล่าวว่า “วันนั้น มิใช่ว่าข้านำซือฟุข้าไปเลย พวกเราพอออกจากหมอกหนาก็ถูกเขาค้นพบแล้ว……”
ได้ฟังประโยคนี้ โม่เทียนเกอไม่แปลกใจเลย เพียงพยักหน้าเบา ๆ “ที่แท้เป็นเช่นนี้” ดูทัศนคติของเนี่ยอู๋ชางในครั้งนี้ นางเดาได้แล้วว่าตัวนางไม่ได้มีจิตมุ่งร้ายต่อนางเลย อย่างนี้ดีที่สุด นางไม่คิดจะเป็นศัตรูกับเนี่ยอู๋ชางเลย
ทั้งสองเงียบกันไปช่วงใหญ่ โม่เทียนเกอถามว่า “ท่านยังมีอะไรอยากพูดไหม”
เนี่ยอู๋ชางส่ายหน้าก่อน แล้วค่อยลังเลนิดหน่อย และพยักหน้าอีก “เรื่องของสำนักเทียนเหยี่ยน ท่านก็ไม่ต้องกังวลว่าจะพัวพันไปถึงท่าน คาดว่าพวกเขาก็ค้นหาข้าไม่เจอหรอก ถึงจะเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ก็เหมือนกัน”
“ท่านมีความมั่นใจในตนเองขนาดนี้เลยหรือ” โม่เทียนเกอประหลาดใจอยู่บ้าง อันที่จริงนางไม่กลัวการพัวพันอะไรเลย ม่านพลังเฉพาะตัวของนางมิใช่อะไรพื้น ๆ ถึงจะเป็นจิตหยั่งรู้ของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ก็จะถูกขวางกั้นไว้ด้านนอกเหมือนกัน
เนี่ยอู๋ชางบิดมุมปาก เผยรอยยิ้มที่เจือความทะนงตนออกมา “วิชาซ่อนกายของข้านี้ยังไม่เคยล้มเหลวเลย ไม่อย่างนั้นข้าจะกล้าไปขโมยสิ่งของของสำนักเทียนเหยี่ยนได้อย่างไร”
นี่ก็ใช่ ไม่มีซงเฟิงซ่างเหรินอยู่ ทุกวันนี้นางเป็นเพียงผู้ฝึกตนก่อเกิดตานขั้นต้น จะสู้สำนักเทียนเหยี่ยนที่ครอบครองผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สองคนได้อย่างไร ในเมื่อกล้าย่อมมีสิ่งที่พึ่งพาได้
โม่เทียนเกอคิดแล้วถามว่า “เหตุใดท่านต้องไปขโมยสิ่งของของสำนักเทียนเหยี่ยนเล่า” เห็นสีหน้าอยากพูดแต่ไม่พูดของเนี่ยอู๋ชาง นางเสริมไปอีกประโยคว่า “ข้าแค่ถาม ๆ ดู หากท่านไม่อยากตอบก็สามารถไม่ตอบได้”
“ไม่มีอะไรที่ไม่สามารถพูดหรอก” เนี่ยอู๋ชางเผยรอยยิ้มขม ก้มหน้ามองมือที่สวมถุงมือของตนเอง เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านน่าจะรู้ว่าซือฟุข้าเป็นผู้ฝึกตนประเภทไหนกระมัง”
โม่เทียนเกอไม่ได้ตอบ ไม่เข้าใจว่านางหมายความว่าอะไร
เนี่ยอู๋ชางทอดหายใจ พูดต่อว่า “ข่าวลือของเทียนจี๋มิผิด เขาเป็นคนไม่ใช่คนผีไม่ใช่ผีเต๋าไม่เต๋ามารไม่มารจริง ๆ ไม่สามารถถือว่าเป็นคนอย่างแท้จริงเลย ถึงระดับการฝึกตนข้ามิใช่วิชาเวทหลักของเขา แต่สิ่งที่เขาสอนข้าจะสามารถเป็นสิ่งของที่ดีอะไรได้หรือ ข้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เพียงแค่หนึ่งร้อยกว่าปีก็เดินมาถึงวันนี้อย่างแทบจะไม่มีด่านติดขัดเลย ก็เพราะว่าเขาใช้ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มของตนเองทะลวงชีพจรปราณทั้งหมดของข้า……” พูดถึงตรงนี้ เห็นสีหน้าตกตะลึงของโม่เทียนเกอ รอยยิ้มของนางยิ่งขมขื่น “มิผิด พูดจากอีกมุมมองหนึ่ง ข้าก็มิใช่มนุษย์บริสุทธิ์ ทุก ๆ ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มบนร่างข้าก็จะปะทุ เวลานั้น มีชีวิตมิสู้ตกตาย……”
ฟังนางพูดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอสูดลมหายใจเย็นเยียบ นางคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าซงเฟิงซ่างเหรินถึงกับจะกระทำเช่นนี้ต่อศิษย์ของตนเอง
“ท่านไปขโมยสิ่งของของสำนักเทียนเหยี่ยน เกี่ยวกับสิ่งนี้หรือ”
“มิผิด” เนี่ยอู๋ชางยังคงทอดมองมือของตนเอง สีหน้าอึ้งงัน “ตั้งแต่ที่ไปจากซือฟุ ข้าก็คิดจะใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ หลังมาถึงเกาะเป่ยจี๋ ในเวลาหนึ่งปีนี้ ข้าสอบถามไปทั่วทุกที่ว่ามีวิธีการอะไรที่สามารถลบล้างปราณแห่งปีศาจแรกเริ่ม ในที่สุดสอบถามได้ว่าสำนักเทียนเหยี่ยนมีสมบัติหนึ่งชิ้น……”
พูดถึงตรงนี้ นางเงยหน้าทอดมองโม่เทียนเกอ เผยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ล้วนพูดว่าผู้ฝึกตนอวิ๋นจงร้ายกาจกว่าเทียนจี๋ ในความเห็นข้า เพียงแค่วิธีการต่อสู้พิสดารหน่อยเท่านั้น ร้ายกาจกลับไม่เท่าไหร่”
โม่เทียนเกอนิ่งเงียบ เนี่ยอู๋ชางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ วิธีการต่อสู้ไม่เหมือนกับผู้ฝึกเต๋าอย่างมาก เอกลักษณ์เด่นสองอย่างในการต่อสู้ของผู้ฝึกตนอวิ๋นจงคือความเร็วและควบคุมพลังวิญญาณ สำหรับนางแล้วกลับไม่มีประโยชน์ ก็ไม่แปลกที่นางจะพูดอย่างนี้
“เช่นนั้นถัดจากนี้เล่า” นางถาม “ท่านอยากจะซ่อนตัวอยู่ที่ข้านี่ถึงเวลาใด”
เนี่ยอู๋ชางกล่าวอย่างไม่อินังขังขอบว่า “ไม่นานเกินไปหรอก เจ้าโง่กลุ่มนั้นหาข้าไม่เจอ สามวันให้หลังข้าจะปลอมตัวเป็นผู้ฝึกตนที่จะออกทะเล ถึงเวลาไปจากเกาะเป่ยจี๋” นางทอดมองโม่เทียนเกอ สายตาวิบวับ “แน่นอนว่า ถ้าท่านยังกลัวว่าข้าจะพัวพันท่าน ข้าก็สามารถจากไป”
โม่เทียนเกอทอดมองนาง แต่กลับเลิกคิ้วยิ้ม “ทำไม อยากกระตุ้นให้ข้าช่วยท่านหรือ”
เนี่ยอู๋ชางตะลึงไป ยิ้มอย่างจนใจ “เอาเถอะ พวกเราตอนนี้ถึงจะไม่ใช่ศัตรู แต่ก็ไม่ใช่สหาย ข้าแค่อยากอยู่ที่นี่ หากท่านอยากไล่ข้า ข้าไม่มีหนทาง แต่ท่านไม่ไล่ข้า ข้าก็จะไม่ไป”
………………………………
* สำนวน แปลว่าพูดจาตรงเข้าประเด็นไม่อ้อมค้อม
สงสารเนี่ยอู๋ชางจริง ๆ ความซวยน้องก็ไม่ธรรมดาเลยนะ