บทที่ 102 ขอตัว

หนีหย่าจูนยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายกับคุณนายกำลังเดินทางมา พอพวกเราทานข้าวเสร็จ พวกเขาก็น่าจะถึง”

ฟังเสร็จ เมิ่งอี้หลั่งก็ยกแก้วขึ้นคารวะหนีหย่าจูน

เรื่องการพูดคุยตกเป็นหน้าที่ของหนีหย่าจูน, มู่อี้เจ๋อและภรรยากับเมิ่งอี้หลั่ง ส่วนหลิงเล่กับมู่เทียนซิงทำหน้าที่พลอดรักกัน มู่เทียนซิงเห็นว่าหลิงเล่มัวแต่ป้อนอาหารให้เธอ เธอเลยยิ้มแล้วพูดว่า “หิวไหมคะ” หลิงเล่ตะลึงไปสักพักมองไปยังปากที่มันเยิ้มของเธอแล้วก็กลืนน้ำลาย มู่เทียนซิงเขินอาย เลยหันหน้าไปอีกทาง เธอกลัวว่าเขาจะมีอารมณ์ แล้วกอดจูบเธอต่อหน้าคนอื่น หลิงเล่กระหายน้ำมาก เลยหยิบซุปของเธอมาทานจนหมดเกลี้ยง มู่เทียนซิงหันมามอง เธอรู้สึกเขินจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ผู้ชายคนนี้ชอบกินของเหลือจากฉันรึไง ถ้วยซุปที่วางอยู่ตรงหน้าเขายังไม่แตะเลย

มู่เทียนซิงกินอิ่มแล้ว ที่จริงจะให้ถูกต้องพูดว่า โดนป้อนจนอิ่มเเล้ว เธอกลัวว่าหลิงเล่จะหิว เลยหยิบตะเกียบคีบอาหารใส่จานของเขา หลิงเล่ก็ไม่ปฏิเสธ ไม่ว่าเธอจะคีบอะไรมาให้ เขาก็อ้าปากทานหมด

หลังจากทานเสร็จ ในระหว่างที่ทุกคนกำลังจะแยกย้าย ทันใดนั้นที่ประตูห้องอาหารก็มีเงาคนสองคนปรากฏขึ้น

คนแรกสูงผอม สีหน้าเคร่งเครียด เดินพุ่งตรงมา

อีกคนค่อนข้างผอมแห้ง ก็วิ่งตามมาติดติด ๆ

ทุกคนต่างตกตะลึง เมิ่งอี้หลั่งตกใจอยากเห็นได้ชัด ไม่ทันได้พูดกับลูกชาย มือของเมิ่งเสี่ยวหลงก็เอื้อมไปทางมู่เทียนซิง

“เทียนซิง! อย่าตอบตกลง….นะ !“

มือของเขายังไม่ทันไปถึงไหล่ของมู่เทียนซิง ทันใดนั้นก็มีบางสิ่งบางอย่างพุ่งไปแทงที่กลางมือของเมิ่งเสี่ยวหลงอย่างรวดเร็ว

“เสี่ยวหลง!”

“เสี่ยวหลง!”

เมิ่งอี้หลั่งรีบวิ่งไปคว้ามือของเมิ่งเสี่ยวหลงมา เมื่อเขาเห็นว่าเลือดในมือของลูกไหลนอง เขาก็รู้สึกเจ็บใจเป็นอย่างมาก

จั๋วหรันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาราวกับขั้วโลกเหนือว่า“ คุณชายเมิ่งเสี่ยวหลง คุณควรดีใจที่ยังมีชีวิตรอดมาได้ และก็ควรสำนึกบุญคุณพ่อของคุณ กับการที่ท่านซือซ่าวใจกว้าง อภัยให้ท่าน ครั้งหน้าถ้ายังไม่เคารพว่าที่ภรรยาของซือซ่าวอีกละก็ มีดเล่มนี้ คงไม่ได้ปักอยู่ในมือคุณง่ายๆแบบนี้แน่!”

เมิ่งอี้หลั่งมองดูลูกชายด้วยความเจ็บปวด “ไอลูกไม่รักดี! ทำไมแกถึงเหมือนน้องแกเลย ทำให้พ่อแม่ภูมิใจบ้างไม่ได้เหรอ”

“พ่อ เทียนซิงเป็นภรรยาของผมนะ พ่อพูดกับหลิงหยวนไว้แล้วไม่ใช่เหรอ ไปตามเขามาให้เขาจัดการไอ้พิการนี่!”

“หุบปากเดี๋ยวนี้นะ!”เมิ่งอี้หลั่งอยากจะบ้าตาย เขารีบไปห้ามลูกชายไว้ ไม่ให้ลูกชายพูดมั่วซั่ว

หลิงเล่ไอเบาๆ ไม่พูดอะไร แล้วก็เอาเธอมาไว้ในอ้อมกอด ถ้าเป็นไปได้เขาไม่อยากให้เธอเห็นเลือดแม้แต่น้อย และก็ไม่อยากให้เธอตกอยู่ในอัตรายด้วย เขาตำหนิจั๋วหรันด้วยสายตา จั๋วหรันรู้ตัวเขาอยู่ไม่ถูกเลยรีบก้มหน้าสำนึกผิด เขาคิดในใจว่าคราวหลังจะไม่ทำร้ายคนอื่นต่อหน้าคุณหนูมู่อีกแล้ว

หนีหย่าจูนพูดอย่างไม่สนใจ “ที่คุณพูดถึงเมื่อกี้คือหลิงหยวนเหรอ แหม! ถ้าทายไม่ผิด พวกคุณไปหาเขามาก่อนหน้านี้แล้วใช่ไหม แค่เขาไม่กล้ามา”

เมิ่งอี๋หรันได้ยินแล้วก็ตกใจ เขาไปหาหลิงหยวนแล้ว แต่หลิงหยวนไม่กล้ามา!

“พ่อ เทียนซิงเป็นของผม!”

“พอแล้ว ห้ามพูดแบบนี้อีกเด็ดขาด!”

สองพ่อลูกเถียงกันไม่หยุด เจียงซินทนฟังไม่ได้แล้ว เลยยืนขึ้นพูด “เสี่ยวหลิงวันนี้น้าซินจะพูดกับเสี่ยวหลงให้รู้เรื่อง เทียนซินกับคุณซือซ่าวไปมาหาสู่กันและใกล้จะเเต่งงานกันแล้ว พวกเราในฐานะเป็นพ่อแม่ ก็ตอบตกลงเเล้ว ตอนนี้คุณซือซ่าวเป็นลูกเขยบ้านน้าเเล้ว และก็เปรียบเสมือนเป็นลูกน้าด้วย วันหลังถ้ายังมารังควานกันอีก ถ้ายังพูดคำว่าไอพิการ ก็ไม่ต้องเข้าประตูบ้านตระกูลมู่อีกต่อไป!”

ป๋ายเมยฟังแล้ว ไม่เข้าใจเลยพูด “อาซิน!”

เจียงซินมองหน้าเธอแล้วพูด “เมยเมยเราก็เป็นพี่น้องมาหลายปี แต่วันนี้ฉันเห็นชัดแล้วว่าลูกหลานตระกูลเราทั้งสองต่างกันมาก เธอไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บแรงพูด กลับบ้านไปปิดประตูบ้านสั่งสอนลูกทั้งสองคนของเธอเถอะ เรื่องดีชั่ววันนี้ไม่ว่าใครผิดใครถูก พวกเราไม่ต้องมาถกเถียงกันแล้ว ลูกเธอก่อเรื่องเอง แถมยังจะทำให้พวกเราเดือดร้อน เข้าไปช่วยอีก ตระกูลมู่ไม่มีอะไรติดค้างพวกเธอ แต่ถ้าพวกเธอยังจะหาเรื่อง ก็ไม่ต้องไปมาหาสู่กัน!

มู่อี้เจ๋อมองเมิ่งเสี่ยวหลงด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด เขาพูดแบบไม่พอใจ“อยู่ในบ้านของตระกูลมู่ คุณยังกล้าถือโอกาสตอนที่ผมกับน้าซินไม่อยู่ ทำเรื่องไม่ดีไม่ร้ายกับเทียนซิน มาถึงตอนนี้คุณยังไปรบกวนเทียนซินอีก แต่ยังดีที่ยังมีชีวิตรอดกลับมา คุณควรจะสำนึกผิดได้เเล้ว!”

เมิ่งอี้หลั่งแสนเจ็บปวดใจเมื่อเห็นเลือดในมือของลูกไหลไม่หยุด “ผมพาเมิ่งเสี่ยวหลงไปโรงพยาบาลก่อนนะ พวกคุณเหล่ามู่,น้อวสะใภ้อย่าโกรธเลย เทียนซิง ซือซ่าว พวกคุณก็เป็นคนมีเมตตายกโทษให้กันเถอะ เดี๋ยวผมจะกลับมารับโทษเอง!”

มู่อี้เจ๋อถอนหายใจเบาเบา “ฟางฉี เตรียมรถ !“

เมิ่งอี้หลั่งนำภรรยาและลูกส่งขึ้นรถ แต่ก็ไม่สบายใจหันกลับมาอีกรอบ เพราะลูกสาวที่ไม่ได้เรื่องยังอยู่ในตึก ถ้าเขาไม่อยู่ แล้วลูกสาวดันก่อเรื่องขึ้นมาอีกจะทำไง เพิ่งช่วยลูกชายออกมาได้ ถ้าเป็นเรื่องอีกคน คงต้องเครียดตาย อีกอย่างหลิงเล่ก็มาสู่ขอสำเร็จแล้ว เราขอตัวกลับก่อนน่าจะดีกว่า

ยามพลบค่ำ ดวงดาวระยิบระยับ เขากุมมือของเทียนซินไว้ไม่ยอมปล่อย

มู่เทียนซินก็ไม่อยากแยกออกจากเขาเหมือนกัน ดวงตาของเธอจ้องมองไปที่เจียงซิน “แม่ เดี๋ยวน้าเมยก็พาพี่เสี่ยวหลงกลับมา เสี่ยวหวีก็ยังอยู่ที่นี่ ถ้าฉันอยู่ต่อที่นี่กลัวว่าจะอึดอัดและไม่สะดวก”

เจียงซินมองลูกสาวของตัวเองอย่างเบื่อหน่าย สิ่งที่เธอกำลังคิดอยู่มันแสดงอยู่บนหน้าเธอหมดแล้ว

เมิ่งอี่หลั่งกลับรู้สึกอับอาย เลยพูดว่า“เทียนซิงเอ๊ย ไม่ต้องกังวล เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะลุงเมิ่งสั่งสอนลูกไม่ดีเอง เดี๋ยวน้าเมยมา พวกเราก็จะขับรถกลับเมืองชิงเฉิง ขึ้นทางด่วนไม่นานก็ถึงบ้าน

ตอนแรกเมิ่งอี้หลั่งคุยกับมู่อี้เจ๋อเรียบร้อยแล้วว่าจะให้ตระกูลมู่มาตั้งรกรากที่เมืองm ก่อน รอทุกอย่างราบรื่นแล้วค่อยให้ตระกูลเมิ่งตามมา ตอนแรกที่ตระกูลมู่ซื้อบ้านที่เมืองmเมิ่งอี้หลั่งก็ซื้อด้วย โดยซื้อบ้านที่อยู่ตรงข้ามกับตระกูลมู่ เหมือนกับที่เมืองชิงเฉิง บ้านทั้งสองอยู่ตรงข้ามกัน เพียงแต่บ้านของตระกูลเมิ่งยังไม่ได้ตกแต่ง ข้างในเป็นเพียงห้องเปล่า เลยไม่สามารถพักอาศัยอยู่ได้ และครั้งนี้เมิ่งอี้หลั่งกับมู่อี้เจ๋อก็ปรึกษากันเรียบร้อยแล้วว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะจัดงานหมั้นให้กับเมิ่งเสี่ยวหลงและมู่เทียนซิง อย่างที่สองก็คือถือโอกาสใช้ช่วงเวลานี้ศึกษาการตลาดที่ เมืองm หลังจากนั้นตระกูลเมิ่งก็เตรียมที่จะตั้งรกรากที่ เมืองm