บทที่103 รูปถ่าย

แต่ว่าตอนนี้ทั้งสองตระกูลทะเลาะกันแรงขนาดนี้ เมิ่งอี้หลั่งก็ไม่กล้าที่จะออกปากให้มู่อี้เจ๋อช่วยเหลือตัวเองตั้งรกรากที่ เมืองmแล้ว มู่อี้เจ๋อรู้ว่าเมิ่งอี้หลั่งยังคงมีสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ ก็เลยถอนหายใจเบาเบาแล้วก็ตบไปที่ไหล่ของเขา “เหล่าเมิ่งเอ๊ย คุณไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องนั้นแล้ว เรื่องของลูก มันผ่านไปแล้ว ไม่ต้องไปรื้อฟื้นหรอก พวกคุณพักต่อที่นี่ก็ได้ แต่ยังไงเรื่องงานยังคงต้องทำต่อ พรุ่งนี้เช้าผมจะพาคุณไปเดินแถวสวนอุตสาหกรรม ตกลงซื้อที่สักแปลงก่อน แล้วจะได้สร้างโรงงานเลย

เมิงอี้หลั่งฟังแล้วก็รู้สึกเศร้าใจ มีลูกไม่รักดี เขารู้สึกละอายแก่ใจ แต่มู่อี้เจ๋อกลับมีเมตตากับพวกเขา และไม่เอาเรื่อง

เจียงซินมองไปที่หลิงเล่แล้วพูดว่า “ซือซ่าว งั้นค่ำวันนี้พวกเราไปคฤหาสน์จื่อเวยกับคุณเหรอ”

เจียงซินคิดว่านี่เป็นคำถามที่ไม่ยาก ถ้าคุณชายพยักหน้าก็เท่ากับให้เกียรติเธอ

ไม่น่าเชื่อ หลิงเล่กลับยิ้มให้เธอแล้วบอกว่า “อืม!”

เมิ่งอี้หลั่งตกใจ เขาสงสัยว่าคนใบ้ก็ออกเสียงได้เหรอ

เขานึกไปถึงตอนก่อนที่จะพูดเรื่องแต่งงาน เสียงหัวเราะที่ลากยาวของหลิงเล่ ราวกับเสียงเส้นของดนตรีที่สั่นสะเทือน ดังกึกก้องไปทั่วห้อง เมิ่งอี้หลั่งคิดว่าซือซ่าวอาจจะแกล้งใบ้

ทุกคนรู้สึกได้ว่า เขากำลังมองจดจ่อไปที่หลิงเล่

มู่อี้เจ๋อก็เลยยิ้มแล้วก็ไปกระซิบข้างหูของเมิ่งอี้หลั่งว่า “คนใบ้ส่วนใหญ่พูดไม่ได้ แต่ก็สามารถออกเสียงง่ายๆได้ คุณอย่าไปมองเขาด้วยสายตาแบบนั้น ระวังจะเดือดร้อน!”

เมิ่งอี้หลั่งเพิ่งจะรู้ตัว เลยรีบกวาดสายตาไปทางอื่น และก็ล้มเลิกความคิดที่ว่าหลิงเล่อาจมีแผนซ่อนอยู่

มู่อี้เจ๋อกับเจียงซินมองตากัน สองสามีภรรยาเงียบไม่ได้พูดอะไรออกมาเพราะเขาทั้งสองรู้ตั้งนานแล้วว่าหลิงเล่ไม่ได้เป็นใบ้ เมื่อก่อนที่ไม่พูดเพราะกลัวว่าจะเดือดร้อน แต่ที่ตอนนี้ไม่พูดเพราะเห็นว่าหลิงเล่เป็นลูกเขย ครอบครัวก็ต้องช่วยครอบครัวเป็นธรรมดา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังไม่รู้จุดประสงค์ที่แน่ชัดของหลิงเล่

มู่เทีนนซิงเขินอาย เธอเอามือกลับมาแล้วพูดกับหลิงเล่ว่า “รอฉันก่อนนะคะ ฉันไปเก็บของสักครู่”

คำพูดของเธอทำให้รู้ว่าเธอจะไม่กลับมาที่นี่สักพัก

เจียงซินรู้สึกจนปัญญา แต่ก็เข้าใจดีว่าผู้หญิงพอโตขึ้นก็ต้องแต่งงานแล้วแยกย้ายออกไป เห็นลูกจะไปที่ห้อง เจียงซินก็พูดว่า “เดี๋ยวก่อน”มู่เทียนซิงหันมา “มีอะไรเหรอคะ แม่ “ เจียงซินเอากล่องสีฟ้ายื่นให้เธอแล้วพูดว่า “ เก็บไว้ในตู้นิรภัยนะ”

นี่มันเงินทั้งนั้น!

ราคาคงแพงน่าดูเลย!

มู่เทียนซิงมองไปที่หลิงเล่ เหมือนว่าเธอกำลังจะขอความคิดเห็นจากเขา

เจียงซินมองไปที่ลูกสาว แล้วพูดว่า “เจ้าเด็กโง่เอ๊ย นี่คือของของลูก คนอื่นมีแต่จะขอความคิดเห็นจากภรรยา มีที่ไหนที่ภรรยาขอความคิดเห็นจากสามี ไม่ไว้หน้าแม่เลย!”

ฟังเสร็จ สีหน้าของมู่อี้เจ๋อสีก็ดูแปลกไป เขาจับจมูกเบาๆ แล้วก็พูดกับมู่เทียนซิงว่า “รีบไปเถอะ!”

ทุกคนที่อยู่ข้างล่างเรียกเธอ ไม่นานมู่เทียนซิงก็ลงมาจากข้างบน ที่หน้าอกของเธอมีไพลินสีฟ้าที่ระยิบระยับห้อยอยู่ ช่างเข้ากันกับอีกอันที่ห้อยอยู่ตรงที่หน้าอกของหลิงเล่

เธอถือมาเพียงแค่กระเป๋าใบเดียว ข้างในมีโทรศัพท์ สายชาร์จ โน้ตบุ๊ค แล้วก็หนังสือสองสามเล่ม ไม่มีอย่างอื่นแล้ว

ที่คฤหาสน์จื่อเวยมีทุกอย่าง เสื้อผ้ารองเท้าที่ไม่มีวันใส่หมด ครีมบำรุงผิวก็เยอะเเยะมากมาย เธอคิดว่าโรงเรียนปิดเทอมมาก็หลายวันแล้ว เธอไม่ได้อ่านหนังสือเลย ความรู้คงเข้าหม้อหมดเเล้ว

มู่เทียนซิงไม่เหมือนกับนักเรียนคนอื่น ที่คิดว่าสอบเข้ามหาลัยเสร็จก็เป็นอิสระ ไม่ต้องอ่านหนังสือแล้ว

เขาเป็นหญิงสาวที่ชอบอ่านนิยายสืบสวน นิยายสืบสวนที่ดังระดับโลกเช่น 《เชอร์ล็อก โฮล์มส์》、《การฆาตกรรมในโรงเก็บศพ》、《The Moonstone》、《Les Huit coups de l’horloge》Sherlock Holmes, The Murders in the Rue Morgue , The Moonstone , The Eight Strokes of the Clock เขาก็อ่านมาหลายรอบเเล้ว นิยายพวกนี้เขาสามารถเล่าได้อย่างละเอียดทุกตอนเลย ดังนั้นคณะที่เขาเรียนในมหาลัยคือนิติเวชวิทยา แล้วก็อาชญาจิตวิทยา ตอนที่เลือกคณะ ตระกูลมู่ถึงกับได้มีการประชุมกันภายในครอบครัวโดยเฉพาะเลย แต่สุดท้ายเธอก็ชนะ หนังสือที่อยู่ในกระเป๋าของเธอตอนนี้ ก็ล้วนแต่เป็นตำราที่เกี่ยวข้องกับคณะของเธอทั้งนั้น

จั๋วหรันไปรับกระเป๋าที่ถืออยู่ในมือของเธอ “คุณหนูมู่ ผมถือให้ครับ”

มู่เทียนซิงหยักหน้า ไปจับที่รถเข็นของหลิงเล่ แล้วโน้มตัวไปพูดกับเขาว่า “พวกเรากลับกันเถอะ”

หลิงเล่ขยับปาก หยักหน้า “อืม”

ใต้ท้องฟ้าอันมืดมิด มู่อี้เจ๋อกับภรรยาและเมิ่งอี้หลั่งก็นำพวกเขาไปส่งที่สวนหย่อมหน้าบ้าน มองดูมู่เทียนซิงขึ้นรถไป

เมื่อประตูรถปิด มู่เทียนซิงก็ลงกระจกรถโบกมือไปทางเจียงซินแล้วพูดว่า “แม่ กลับไปเถอะ หนูดูแลตัวเองได้ อีกไม่กี่วันเดี๋ยวจะกลับมาเยี่ยมแม่นะ!”

หลิงเล่เหมือนนึกอะไรออก เขาส่งกระดาษโน้ตไปให้จั๋วหรัน

ตอนที่เขาเขียนอักษรลงบนกระดาษ มู่เทียนซิงก็มองเห็นคำว่า “การ์ด”

จั๋วหรันหยิบแฟ้มออกมาจากลิ้นชักหน้ารถ แล้วเขาก็นับ สักพักก็ลงจากรถไปแล้วส่งให้มู่อี้เจ๋อ

“คุณชายมู่ นี่คือการ์ดเชิญงานเลี้ยงพิธีหมั้นของซือซ่าวกลับคุณหนูมู่ สถานที่คือคฤหาสน์จื่อเวย ทั้งหมด 20 ใบ คุณชายมู่จะเชิญญาติมิตรคนไหนก็เขียนชื่อลงไปได้เลย ถ้าหากไม่พอก็บอกผมได้ตลอด ผมจะเอามาให้ครับ”

“พอ พอ!” มู่อีเจ๋อหยักหน้าแล้วยื่นมือไปรับ

เขานับในใจคร่าวๆ การ์ดเชิญหนึ่งใบสำหรับหนึ่งครอบครัว งั้น 20 ใบก็ 20 ครอบครัว ญาติมิตรที่เมืองชิงเฉิงแค่โทรไปบอกก็ได้แล้วไม่ต้องใช้การ์ดหรอก ส่วนพวกเพื่อนสมัยเรียนเพื่อนบ้านเดียวกันแล้วก็เพื่อนที่ค่อนข้างสนิท หนึ่งครอบครัวหนึ่งใบ 20 ใบก็เพียงพอแล้ว

จั๋วหรันพยักหน้า “ได้ครับ”

ทุกคนส่งพวกเขาเสร็จแล้วก็แยกย้ายกันกลับเข้าไปในคฤหาสน์

ตอนที่รถคันนี้ขับออกมาจากบ้านตระกูลมู่ จู่จู่หนีหย่าจูนก็คิดขึ้นมาได้ว่า “เออใช่ เพื่อนร่วมห้องคุณล่ะไม่เชิญเขามาเหรอ แล้วคุณครู กลับครูดูแลวิทยานิพนธ์ล่ะ”

“ห้ะ”มู่เทียนซิงรู้สึกเขินอาย เธอตอบว่า “ไม่มี ฉันไปโรงเรียนแค่ไปเรียน ไม่ได้พักอาศัยอยู่ที่นั่น เพื่อนที่เรียนกันก็มาจากทั่วทุกสารทิศ ส่วนเพื่อน ม.ปลายที่เล่นด้วยกันสมัยเด็กๆ ถึงแม้ตอนนี้จะปิดเทอมแต่ก็ไม่ได้ติดต่อพวกเขามาเป็นปีแล้ว ครูและครูดูแลวิทยานิพนธ์ ฉันเพิ่งจะอยู่ปีหนึ่ง เลยไม่ได้สนิทกับพวกเขามาก”

พอพูดถึงเรื่องนี้สายตาของมู่เทียนซิงเศร้าขึ้นมาทันที

เธอยังไม่ได้เปิดปากพูด หลิงเล่ก็ไปกุมมือเธอไว้และพูดปลอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “พวกเขาไม่เหมาะกับที่จะเป็นเพื่อนสนิทของคุณ พวกเขาก็เป็นแค่คนที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป นี่เป็นเรื่องที่ดี เธอควรดีใจไม่ควรเสียใจ

มู่เทียนซิงมองไปที่เขา ในใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้น

เธอยังไม่ได้พูดในสิ่งที่เธอคิดออกมา แต่เขาก็ดูใจเธอออก สุดยอดจริงๆ

หนีหย่าจูนเห็นว่าเรื่องแต่งงานก็คุยกันเสร็จแล้ว เขาก็ยิ้มอย่างพอใจ ไม่เสียแรงที่วันนี้ไปกับหลิงเล่ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแกล้งทำเป็นมองดูโทรศัพท์ แต่แล้วเขาก็แอบถ่ายรูปมือของหลิงเล่กับมู่เทียนซิงที่กุมอยู่ด้วยกัน