ตอนที่ 73 สร้างความวุ่นวายเพิ่ม

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 73 สร้างความวุ่นวายเพิ่ม
ไป๋จิ่นซิ่วพยักหน้า “หวังว่าท่านอาสะใภ้ห้าจะคลอดลูกชาย อย่างน้อยจะได้รับช่วงต่อตระกูลไป๋!”

ไป๋จิ่นซิ่วเอ่ยถึงคำว่าบุตรชายก็อดนึกถึงบุตรอนุที่เรือนชิงหมิงขึ้นมามิได้ ลำคอจุกแน่น “ลูกอนุของท่านพ่อข้าผู้นั้น ข้าได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นบนถนนแล้ว ช่างชั่วช้าเสียจริง เกรงว่าคงฝากความหวังไว้ที่เขามิได้”

ไป๋ชิงเหยียนไม่อยากเอ่ยถึงบุตรอนุผู้นั้น จึงเอ่ยเพียง “เจ้ามิต้องใส่ใจลูกอนุนั่นหรอก เขาก่อปัญหาอันใดมิได้ ท่านอาสะใภ้ห้าจะคลอดบุตรชายหรือบุตรสาวก็ขึ้นอยู่กับลิขิตสวรรค์ เรากำหนดมิได้ พวกเราต้องเตรียมพร้อมรับมือกับผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดที่สามารถเกิดขึ้นได้”

“เช่นนั้น ภายภาคหน้าตระกูลไป๋จะทำเช่นไรต่อไปเจ้าคะ” ไป๋จิ่นซิ่วกล่าวอย่างยากลำบาก

“รอให้ศพของท่านปู่และคนอื่นๆ กลับมาก่อน ท่านย่าจะขอร้องฮ่องเต้ให้พระราชทานอนุญาตให้ตระกูลไป๋ย้ายกลับไปอยู่ที่ซั่วหยาง ท่านย่าจะย้ายไปอยู่ที่วัดชิ่งอันเพื่อบำเพ็ญเพียรขอพรให้แคว้นต้าจิ้น โดยท่านจะพาน้องสามไป๋จิ่นถงของเจ้าไปด้วย ท่านย่าสั่งให้น้องสามปลอมกายเป็นชายออกไปทำการค้า ลอบสั่งสมเงินเพื่อตระกูลไป๋..”

ไป๋จิ่นซิ่วได้ฟังแผนการของไป๋ชิงเหยียนก็หวั่นวิตกในทันที

ไป๋จิ่นซิ่วกุมมือไป๋ชิงเหยียนแน่น ในใจสับสนว้าวุ่น วาจาจึงพลอยเลอะเลือนไปด้วย “ย้ายกลับซั่วหยางหรือเจ้าคะ ข้าก็อยากกลับไปด้วย! ฉินหล่างย้ายออกจากจวนจงหย่งโหวแล้ว ซั่วหยางเป็นเมืองสงบมีบัณฑิตมากมายเหมาะแก่การอ่านตำรา! ข้า…”

เทียบกับการอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว ไป๋จิ่นซิ่วรู้สึกว่าการที่พี่น้องได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันมันรู้สึกอุ่นใจมากกว่า

ไป๋ชิงเหยียนลูบไปที่มือของไป๋จิ่นซิ่วเบาๆ ปลอบจนไป๋จิ่นซิ่วสงบลงจากนั้นส่ายหน้าให้นาง “เจ้าแต่งงานกับฉินหล่างแล้ว อีกอย่างตระกูลไป๋จะย้ายกลับไปเมืองซั่วหยางได้หรือไม่ก็ยังมิรู้เลย หากย้ายกลับไปได้ ทางเมืองหลวงก็ต้องมีคนคอยเป็นหูเป็นตา เจ้าเข้าใจความหมายพี่หรือไม่”

ไป๋จิ่นซิ่วตะลึง เริ่มรู้สึกได้ว่าไป๋ชิงเหยียนกำลังวางแผนทำสิ่งใดบางอย่างอยู่ “พี่หญิงใหญ่…”

ไป๋ชิงเหยียนบีบมือของไป๋จิ่นซิ่วแน่น “ครานี้ หากตระกูลไป๋ย้ายกลับซั่วหยางได้อย่างปลอดภัย ทางเมืองหลวงต้องการคนคอยจัดการดูแล เจ้าเป็นคนคมในฝัก สุขุมรอบคอบ เจ้าอยู่ที่เมืองหลวง พี่จะได้วางใจ”

ไป๋จิ่นซิ่วเม้มปาก เหมือนจะเข้าใจความหมายที่ไป๋ชิงเหยียนต้องการสื่อ พี่หญิงใหญ่กำลังวางแผนเพื่ออนาคตของตระกูลไป๋ ตระกูลไป๋ย้ายกลับไปซั่วหยางเพียงชั่วคราวเท่านั้น ภายภาคหน้าพี่หญิงใหญ่จะพาตระกูลไป๋กลับมาเมืองหลวง!

เมื่อรับรู้แผนการของไป๋ชิงเหยียน ไป๋จิ่นซิ่วจะไม่ทำตัวเป็นตัวถ่วงเด็ดขาด นางเงยหน้าขึ้นพยักหน้าด้วยแววตาจริงจัง “พี่หญิงใหญ่วางใจได้เจ้าค่ะ จิ่นซิ่วจะไม่ทำให้พี่หญิงใหญ่ต้องผิดหวัง ข้าจะรอพี่หญิงใหญ่อยู่ที่เมืองหลวงเจ้าค่ะ”

“คุณหนูใหญ่ ญาติผู้พี่มาแล้วเจ้าค่ะ!” ชุนเถากล่าวเสียงเบาอยู่ทางด้านนอก

ไป๋จิ่นซิ่วได้ยินจึงรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา จัดเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย นั่งอยู่ข้างเตาผิงทองแดงแกะสลักด้วยท่วงท่าสง่างาม

“ให้เฉินชิ่งเซิงเข้ามาได้” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว

เฉินชิ่งเซิงเดินเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นว่าไป๋จิ่นซิ่วอยู่ด้วยจึงรีบก้มหน้าทำความเคารพ อย่างนอบน้อมมิกล้าเงยหน้าขึ้นมอง “คาราวะคุณหนูใหญ่ คุณหนูรองขอรับ”

ไป๋ชิงเหยียนนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมข้างๆ โต๊ะน้ำชา เอ่ยถามขึ้นโดยไม่ได้ให้ไป๋จิ่นซิ่วหลบฉาก “เจ้าได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นหน้าจวนเจิ้นกั๋วกงวันนี้แล้วหรือไม่”

เฉินชิ่งเซิงเป็นคนฉลาด คุณหนูใหญ่เรียกเขามาโดยที่คุณหนูรองยังอยู่เช่นนี้คงไม่กลัวว่าคุณหนูรองจะรู้ เขาจึงเอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา “ได้ยินแล้วขอรับ คุณหนูใหญ่สั่งการมาได้เลยขอรับ!”

หญิงสาวก้มหน้าลงเปิดฝากระถางธูปสีทองออก กำไม้ขีดไฟสีเงินในมือพลางเขี่ยไปที่ขี้เถาในกระถางธูป พยายามควบคุมไอสังหารในดวงตา “คำว่าดึงดันออกรบมาจากซิ่นอ๋อง คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้กล้าเล่นงานตระกูลไป๋เพราะอยากโยนความผิดในการนำทัพแพ้ของซิ่นอ๋องซึ่งกำลังเดินทางกลับมาเมืองหลวงให้ตระกูลไป๋แต่เพียงผู้เดียว เขาต้องการทำลายชื่อเสียงของตระกูลไป๋ให้ย่อยยับ ในเมื่อพวกเขากล้าลงมือแต่ทำไม่สำเร็จ ต่อไปก็ควรเป็นตาของตระกูลไป๋บ้าง ให้พวกเขาได้รับรู้ว่าเมื่อทำให้เกิดคลื่นแล้ว การจะทำให้คลื่นสงบลงมิใช่เรื่องง่าย”

“คุณหนูใหญ่วางใจได้ขอรับ ข้าทราบดีว่าควรทำเช่นไร! พวกมันใช้ข่าวลือโจมตีจวนเจิ้นกั๋วกงของเรา จวนเจิ้นกั๋วกงก็แค่เอาคืนด้วยวิธีเดียวกัน เรื่องแบบนี้ข้าถนัดดีขอรับ! ข้าจะไม่ทำให้คุณหนูใหญ่ผิดหวังแน่นอนขอรับ!”

ไป๋ชิงเหยียนปิดฝากระถางธูป มองเฉินชิ่งเซิงอย่างจริงจัง “ลำบากเจ้าแล้ว! เจ้าไปเถิด!”

ไป๋จิ่นจื้อโดนโบยเสร็จ แม้หลูผิงจะออมมือแล้วแต่บาดแผลก็ยังสาหัสอยู่ดี

ไป๋จิ่นจื้อเป็นคนหัวแข็ง รู้ตัวว่าตนเองผิด จึงกัดฟันไม่ร้องออกมาสักนิด พอโบยเสร็จก็เดินกลับเรือนด้วยตัวเองโดยไม่ยอมให้คนแบกกลับ

คุณหนูสามไป๋จิ่นถงถือยาทาแผลเดินเข้าไปในห้องเพื่อดูอาการของไป๋จิ่นจื้อ เห็นว่าไป๋จิ่นจื้อนอนน้ำตาซึมอยู่บนเตียง เมื่อได้ยินเสียงประตูก็รีบก้มหน้าใช้หมอนซับน้ำตา

“พี่หญิงใหญ่สั่งให้ลุงผิงออมมือ เจ้าถือว่าเจ็บน้อยแล้ว” ไป๋จิ่นถงล้างมือแล้วนั่งลงตรงขอบเตียง ขยับเตาผิงเข้ามาใกล้ เลิกผ้าห่มออกแล้วทายาให้ไป๋จิ่นจื้อ

“วันนี้พี่หญิงใหญ่ลงโทษเจ้า เจ้ายอมรับหรือไม่” ไป๋จิ่นถงมองดูไป๋จิ่นจื้อที่นอนแอบร้องไห้อยู่บนเตียง

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไป๋จิ่นถงทายาแรงเกินไปหรือไม่ ไป๋จิ่นจื้อเกร็งไปทั้งร่าง ขานรับเสียงอู้อี้ “อืม ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ! ข้าจะเปลี่ยนแปลงนิสัยใจร้อนวู่วามของข้า! ต่อไปจะคิดก่อนทำเจ้าค่ะ”

“เจ้าเข้าใจความหมายที่พี่หญิงใหญ่กล่าวว่า ภายนอกเอาแต่ใจ ภายในสงบนิ่งหรือไม่” ไป๋จิ่นถงต้องการชี้แนะไป๋จิ่นจื้อ

ไป๋จิ่นจื้อเท้าแขนข้างหนึ่งบนหมอนพลางหันกลับไปมองไป๋จิ่นถง

ไป๋จิ่นถงทายาให้ไป๋จิ่นจื้อเสร็จ คลุมผ้าห่มให้ตามเดิม ใช้ผ้าขนหนูเช็ดมือพลางกล่าวขึ้น “พี่หญิงใหญ่ไม่ได้ต้องการให้เจ้าเปลี่ยนแปลงนิสัยเอาแต่ใจของตัวเอง ผู้คนมักกล่าวว่าการทำตัวเป็นคนง่ายๆ แต่ภายในเป็นคนจริงจังคือวิธีการเข้าหาคน เจ้าสามารถทำตามใจต้องการได้อย่างเปิดเผย คนในเมืองหลวงต่างรู้ดีว่าเจ้าเป็นคนรักความยุติธรรม ใจร้อนวู่วาม หากเจ้าแสร้งทำตัวเช่นนั้นเพื่อหลอกให้ศัตรูตายใจ เจ้าก็จะสามารถทำในสิ่งที่ผู้อื่นทำไม่ได้ ผู้อื่นก็จะไม่คิดหวาดระแวงในตัวคนที่โผงผางไร้เล่ห์เหลี่ยมเช่นเจ้า”

ได้ยินคำว่าโผงผางไร้เล่ห์เหลี่ยม ไป๋จิ่นจื้อเกือบโวยวายออกมา ขมวดคิ้วแน่น

“ผู้อื่นมองเจ้าเช่นไรไม่สำคัญ เจ้ารู้ตัวเองก็พอว่าเจ้าเป็นคนเช่นไร รู้ว่าตัวเองคือคุณหนูสี่ของตระกูลไป๋แห่งจวนเจิ้นกั๋วกง! พวกเราไม่มีที่ปรึกษาที่มากความสามารถ ยิ่งต้องมีความหนักแน่นให้มาก ต้องคิดก่อนที่จะลงมือทำสิ่งใด ภายนอกเถรตรง…ภายในเตรียมพร้อมรับมือ หากเจ้ามั่นใจว่ารับมือได้ เจ้าก็สามารถทำตามใจตัวเองได้เต็มที่ เจ้าลองคิดทบทวนดูแล้วกันว่าตัวเองควรทำตัวเช่นไร!”

“เรือหลายลำแล่นผ่านซากเรือที่ผุพัง ข้างต้นไม้ที่เป็นโรคยังมีต้นไม้ที่สมบูรณ์เกิดขึ้นใหม่มากมาย! แม้บุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตหมดแล้ว แต่พี่หญิงใหญ่ยังอยู่ พวกเราก็ยังอยู่ แม้พวกเราจะเป็นเพียงสตรีแต่ก็สามารถปกป้องตระกูลไป๋ไว้ได้เช่นเดียวกัน คนตระกูลไป๋แม้ตัวจะตาย แต่จิตวิญญาณยังมิดับสิ้น แข็งแกร่งไม่หักงอ ความกล้าไม่สูญสิ้น!”

ดวงตาของไป๋จิ่นถงที่คล้ายคลึงกับดวงตาของไป๋ชิงเหยียนแดงก่ำ เอื้อมมือจับบ่าของไป๋จิ่นจื้อแน่น “พี่รู้ว่าการที่ท่านปู่รวมถึงพี่น้องทั้งสิบเจ็ดคนกลับมาไม่ได้แล้วทำให้เจ้ารู้สึกกลัว รู้สึกเคว้งคว้างและโกรธแค้นคนชั่วที่ใส่ร้ายตระกูลไป๋ของเรามาก! ความจริงพี่ก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับเจ้า แต่บัดนี้ตระกูลไป๋กำลังตกอยู่ในอันตราย มีแต่ความไม่แน่นอน พวกเราจะสับสนมิได้ เอาแต่ระบายความโกรธอย่างคนบ้าคลั่งมิได้เด็ดขาด พวกเราต้องคอยช่วยเหลือ สนับสนุนท่านป้าสะใภ้ใหญ่และพี่หญิงใหญ่ ห้ามสร้างความวุ่นวายเพิ่มเป็นอันขาด”

เมื่อไป๋จิ่นจื้อโดนจี้จุดน้ำตาจึงไหลออกมาในทันที เมื่อนึกได้ว่าวันนี้นางเกือบสร้างปัญหาใหญ่ให้แก่ตระกูลไป๋ก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ นางกำผ้าปูที่นอนแน่น “พี่หญิงสามวางใจเถิด จิ่นจื้อทราบแล้วเจ้าค่ะ!”

———————————————

[1] เป็นสำนวนเปรียบเทียบว่าทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นใหม่ได้ขอแค่ก้าวเดินไปข้างหน้า