ตอนที่ 137 ขโมยบ๊ะจ่าง ตอนที่ 138 ชดใช้

ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล

ตอนที่ 137 ขโมยบ๊ะจ่าง

แม้ว่าตอนนี้อาหลานทั้งสองต่างก็แยกไปสร้างครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว แต่ซ่งหม่านซานยังคงรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าหลานชายผู้นี้เช่นเดิม

แน่นอนว่าซ่งเสี่ยนก็เช่นกัน เขาคิดว่าเขาอาผู้นี้ไม่น่านับถือ

เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่อึดอัดใจอย่างยิ่ง

นางหัวเราะแห้งเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยโต้ตอบซ่งหม่านซาน

“ที่บ้านยังมีใครอยู่อีกล่ะ ซ่งเสี่ยนไอ้หลานไม่เอาไหนผู้นั้นอย่าได้ฉวยโอกาสตอนพวกเราไม่อยู่นี้ขโมยบ๊ะจ่างไปกินเสียล่ะ?” ซ่งหม่านซานกล่าวขึ้นมาอีกครั้งกะทันหัน

ซ่งอิงก็นิ่งอึ้งไปชั่วครู่เช่นกัน ก่อนชักหน้านิ่วคิ้วขมวด

ซ่งเสี่ยน…มีความเป็นไปได้จริงๆ ว่าจะทำอย่างนี้

“ไอ้ลูกเหลวไหล! เจ้าด่าใคร!?” ชายชราตวัดมือตบศีรษะของซ่งหม่านซานอย่างกะทันหัน

ซ่งเสี่ยนเป็นหลานไม่เอาไหน แล้วเขาเป็นอะไร?! ก็ไม่เอาไหนไม่ใช่หรือ?!

ไอ้ลูกไม่เอาไหนผู้นี้ พูดจาไม่รู้จักใช้สมองบ้างหรือไร?!

“ท่านพ่อ ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น!” ซ่งหม่านซานกุมศีรษะสบถฮึ “หลานชายท่านเป็นคนเช่นไรท่านไม่รู้หรอกหรือ ก็เป็นไอ้พวกดีแต่ปากอย่างไรล่ะ ท่านคอยดูแล้วกัน พวกเราไม่อยู่ เขาจะต้องทำเรื่องเลวๆ แน่!”

ชายชราเดือดดาลยิ่ง “เจ้าจะคิดอะไรที่มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือ! หลานเสี่ยนร่ำเรียนหนังสือมาตั้งแต่เด็ก จะทำเรื่องลักเล็กขโมยน้อยได้อย่างไรกัน! ตั้งแต่เล็กจนโต เจ้าสร้างปัญหามากกว่าเขาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่! ยังมีหน้ามาพูดอีก!”

“นั่นสิน้องสี่ ลูกซ่งเสี่ยนครอบครัวข้าไม่ขโมยของหรอก” บุตรชายนางเป็นคนให้ความสำคัญต่อภาพพจน์อย่างยิ่งคนหนึ่ง

“พวกท่านเข้าข้างเขาไปเถอะ! หรือไม่พวกเรากลับไปดูสิ หากบ๊ะจ่างไม่หายไปสักชิ้นเดียว ข้าในฐานะอาจะคุกเข่าเป็นการขอโทษให้เขาเลย!” ซ่งหม่านซานไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที “มีหรือข้าจะไม่เข้าใจเขา เขาผู้นี้ชอบทำเรื่องชั่วช้าลับหลังเป็นที่สุด ก่อนหน้านี้ยังถ่อไปบีบบังคับเอ้อร์ยาโถวให้ยกสูตรตำรับลับให้เขา ตอนนี้จะแอบขโมยบ๊ะจ่างสักจำนวนหนึ่งก็คงไม่แปลก?”

แต่ไม่ขโมยเลยสักชิ้นนั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอน!

ถึงแม้ซ่งเสี่ยนไม่ลงมือ เผยซื่อก็จะลงมืออยู่ดี!

เวลานี้ ในเมื่อคือการมาโถงบรรพชน ดังนั้นคนจากครอบครัวก็มาเกือบจะทั้งหมด มีเพียงหลานต๋าและหลานอู่ของบ้านสามที่เพิ่งสิบขวบออกไปเล่นข้างนอก ดังนั้นในบ้าน นอกจากสองสามีภรรยาซ่งเสี่ยน ก็มีเพียงหลานคังของบ้านสี่และแม่เฒ่า รวมไปถึงซานยา[1]จากบ้านสามอยู่

แก่ก็แก่ไปเลย เด็กก็เด็กไปเลย ไม่มีใครเป็นขวากหนามซ่งเสี่ยนได้

ชายชราหันไปมองซ่งอิงปราดหนึ่ง เห็นนางขมวดคิ้วเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าเห็นด้วยกับที่เหล่าซื่อ[2]พูด จึงยิ่งนึกโกรธเกรี้ยวขึ้นมา

หลานชายตระกูลซ่งของเขา จะเป็นคนประเภทนั้นได้หรือ!

ไม่นานนัก หลิวซื่อถูกตบจนครบจำนวน

ดวงตาทั้งสองเหลือกขึ้น เจ็บปวดจนหมดสติไป

ก่อนหน้าลงมือตบ ได้ชดใช้เงินไว้ให้แล้วเรียบร้อย ดังนั้นกลุ่มคนส่วนใหญ่ของตระกูลซ่งก็พากันแยกย้ายจากไปทันที

ซ่งอิงไม่เชื่อถือในตัวซ่งเสี่ยนเลยสักนิด เพียงแต่ติดที่ว่าเมื่อครู่คนตระกูลซ่งเพิ่งร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือนาง หากนางชักสีหน้าทันที จะกลายเป็นแล้งน้ำใจไม่รู้จักสำนึกบุณคุณเอาได้

อีกอย่าง เรื่องในบ้านเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ดังนั้นนางไม่ได้เร่งเร้าให้รีบไปจากตรงนี้เพื่อกลับไปดู

ในยามนี้ จึงดูเหมือนเป็นการติดตามชายชรากลับไปอย่างว่าง่าย

เพียงแต่ ครั้นถึงในลานบ้าน ชายชราหยุดนิ่ง

หญิงชราอุ้มหลานคังอยู่ หลังมองเห็นชายชรากลับมาแล้ว แววตาทอประกายชั่ววูบ ไม่ส่งเสียงใดๆ มองดูเหมือนกับว่าไม่มีนางผู้นี้อยู่

ซานยาของบ้านสามกำลังแอบสะอื้นไห้ตรงมุมหนึ่ง

เจียวซื่อรีบเดินเข้าไป “เจ้าลูกสาวคนนี้ร้องไห้อะไรอีก? เกิดเรื่องอะไรขึ้น ไส้บ๊ะจ่างหายไปไหนหมดแล้วล่ะ?!”

ขณะพูด ฟาดมือข้างหนึ่งก็ตีไปที่ตัวของซานยา

นั่นเป็นเงินทั้งนั้นเลยนะ เกิดซ่งอิงตำหนิโทษบุตรสาวบ้านนางว่าไม่เฝ้าของให้ดีๆ แล้วให้นางชดใช้เงินให้จะทำอย่างไรล่ะ?!

ซ่งอิงเองก็ขมวดคิ้ว “อาสะใภ้สามมีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจา น้องสามยังเด็ก หากมีขโมยมาบ้านเพื่อขโมยของ นางหรือจะขัดขวางไว้ได้?” น้องสามผู้นี้ก็เป็นคนหนึ่งที่น่าสงสารเช่นกัน

ตระกูลซ่ง ไม่ถึงขั้นที่ว่าบุตรหลานต้องอดอยากปากแห้ง แต่ทางด้านบ้านสามนี้ มีบุตรชายตั้งสามคน โดยปกติแต่ละวันจะมองข้ามบุตรสาวไปหน่อย อาภรณ์ที่นางสวมใส่บนตัว ล้วนเป็นของที่เหลือจากพี่ชายสามคนทั้งนั้น มองดูแล้วมอมแมมเต็มไปด้วยรอยปะ

ตอนที่ 138 ชดใช้

ซานยาส่งเสียงร้องไห้ ‘แงๆ’ ออกมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจเนื่องจากได้รับความไม่เป็นธรรม

“ท่านแม่! อย่าเอาแต่โทษข้าสิเจ้าคะ ไม่ใช่ความผิดข้า พี่ใหญ่พาคนมาขนไส้บ๊ะจ่างไปแล้วต่างหาก! เป็นฝีมือเขาทั้งนั้น ข้าเข้าไปขวางแล้ว เขาก็ผลักข้าอีกด้วย ให้ข้าอย่ายุ่ง!” ซานยาร้องไห้อย่างหนัก

ตามจริงซ่งอิงคิดเอาไว้แล้ว ดังนั้นจึงไม่รู้สึกเหนือความคาดหมายเมื่อได้ยินคำพูดนี้ หากแต่หันกลับไปมองชายชรา

ใบหน้าชราของพ่อเฒ่าพลันขมึงทึงทันที ไม่รู้เช่นกันว่าโกรธเกรี้ยวหรืออับอายกันแน่

“พูดมาให้ชัดเจน! เขาคนเดียวจะขนบ๊ะจ่างจำนวนมากขนาดนั้นได้อย่างไร ทั่วทั้งหมู่บ้านนี้ ใครบ้างไม่รู้ว่าบ๊ะจ่างเป็นของเอ้อร์ยา ใครจะช่วยเขา!?” ชายชรากล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว

คนในหมู่บ้าน ส่วนใหญ่ล้วนเกรงกลัวการได้รับความไม่พึงพอใจจากผู้อื่น อีกทั้งคนที่เห็นแก่เงินจนไม่คำนึงถึงสิ่งใดก็มีไม่มากนัก

ใครจะทำเรื่องเช่นนี้ได้?!

แต่หากเป็นนอกหมู่บ้าน จะคาดการณ์ได้อย่างไรว่าช่วงเวลาดังกล่าว คนตระกูลซ่งล้วนไปดูตระกูลหลี่รับโทษที่โถงบรรพชนแล้ว? และภายในช่วงเวลาอันสั้นก็ไม่อาจมาขนย้ายสิ่งของไปได้ทันการณ์ด้วยซ้ำนี่?!

ซานยาตกใจกลัวหัวหด ร้องไห้จนแทบหายใจไม่ทัน

ชายชราเห็นเอ้อร์ยาไม่พูดไม่จาใดๆ จึงจ้องหญิงชรา

หม่าซื่อถูกเขาจ้องเขม็งจนเกิดความหวาดกลัว จึงกล่าว “เป็นพวกเปาไล่จื่อ”

“ข้าจะไปเล่นงานพวกมัน! ไอ้เปาไล่จื่อสารเลวผู้นั้นจงใจสินะ?!” ซ่งหม่านซานเดือดดาลขึ้นมาทันที “ท่านพ่อ หลานชายท่านไม่เอาไหนจริงๆ สามวันก่อนข้าเพิ่งสั่งสอนเปาไล่จื่อไป ผลปรากฏว่าเขาก็ไปหาไอ้หมอนั่นให้มาช่วยขโมยของ ยังมีคุณธรรมหลงเหลืออยู่หรือไม่ ยังเป็นคนครอบครัวซ่งพวกเราอยู่หรือไม่!”

นี่ไม่เท่ากับการตบหน้าเขาหรือ?!

ไอ้หนุ่มนี่ ก่อนหน้านี้เขาซ้อมพวกเป่าไล่จื่ออย่างเต็มเหนี่ยวจนกอดกันร้องไห้หัวซุกหัวซุน ซ่งเสี่ยนกลับตามไปปลอบขวัญจากนั้นเจรจาการค้ากับคนเหล่านั้นอย่างหน้าชื่นตาบาน?

ซ่งหม่านซานรู้สึกไม่ดีเอาเสียหมด

ไม่รู้ว่าเปาไล่จื่อผู้นั้นจะหัวเราะเยาะเขาลับหลังอย่างไรบ้าง!

ซ่งเสี่ยนเป็นหลานชายแท้ๆ ของเขานะ แม้แต่หลานชายแท้ๆ ยังไม่เชื่อฟังเขา แพร่งพรายออกไปมีหวังทำให้อำนาจชื่อเสียงของเขาพลันมลายสิ้นกันพอดี!

“ท่านปู่ ท่านว่าเรื่องนี้จะจัดการอย่างไรดีหรือเจ้าคะ” ซ่งอิงเอ่ยเสียงราบเรียบ พูดด้วยถ้อยคำสั้นง่ายได้ใจความไม่กี่ประโยค

สะใภ้ใหญ่ในตอนนี้หน้าซีดเผือด ซ่งฝูซานก็เช่นกัน ดูสีหน้าตะลึงงันสับสนไปหมด

“พวกเราจะชดใช้ให้! บ๊ะจ่างนั้นจำนวนเงินเท่าใด ข้าจะออกเงินซื้อเอง” ชายชรากัดฟัน แล้วกล่าว

แม้ว่าซ่งอิงเป็นหลานสาวของตระกูลซ่ง แต่ตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วว่าเรื่องบ๊ะจ่างเป็นการทำกิจการกับตระกูลซ่ง โดยให้คนตระกูลซ่งได้รับเงินค่าแรงในการทำงาน

ยามนี้ของหายไป หากไม่ชดใช้ เขาจะเอาหน้าแก่ๆ ไปไว้ไหน!

ซ่งอิงยิ้มเล็กน้อย “ท่านปู่ เช่นนั้นท่านตั้งใจว่าจะชดใช้เท่าไหร่ล่ะเจ้าคะ”

“บ๊ะจ่างเจ้านี้วันหนึ่งขายได้จำนวนเท่าใด ก็ชดใช้จำนวนเท่านั้น” ชายชรากล่าวขึ้นอีกครั้ง

เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่อยากจะเป็นลมให้รู้แล้วรู้รอด

บ๊ะจ่างของซ่งอิงนี้ตั้งมากมาย นอกจากส่วนเหล่านั้นที่อยู่ในห้องของบ้านสองซึ่งลงกลอนเอาไว้แน่นหนา ส่วนอื่นๆ ที่ห่อเสร็จแล้วและยังไม่ได้ห่อต่างก็หายไปหมดแล้ว!

เป็นจำนวนเงินเท่าใด? เกรงว่าคงเป็นเงินหลายสิบตำลึงเงินน่ะสิ!

“ท่านปู่ ข้าลงนามสัญญากับภัตตาคารเย่ว์เฟิงเอาไว้ ในสัญญาระบุไว้ว่า ทุกวันรับประกันขั้นต่ำห้าพันชิ้น หากถึงเวลาไม่มีเอาไปส่ง เช่นนั้นก็ต้องชดใช้หนึ่งร้อยตำลึงเงิน ท่านคิดว่า ที่บ้านตอนนี้ชดใช้เงินจำนวนนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ” ซ่งอิงกล่าว

นอกจากบ๊ะจ่างชั้นยอด บ๊ะจ่างอื่นๆ วันหนึ่งขายได้เงินน้อยสุดก็ห้าสิบตำลึงเงิน ซึ่งนางจะได้สี่ตำลึงเงิน แต่ชื่อเสียงของภัตตาคารเย่ว์เฟิงดีงาม หากเอาไปส่งให้ไม่ได้ เย่ว์เฟิงไม่มีของขาย เช่นนั้นก็จะเป็นการทำให้เสียชื่อเสียง จึงเป็นธรรมดาที่จะกำหนดจำนวนเงินไว้สูงหน่อย

แน่นอนว่า ภัตตาคารเย่ว์เฟิงก็เอ่ยไว้แล้วเช่นกันว่า หากบ๊ะจ่างธรรมดาเอามาส่งไม่ได้ แต่บ๊ะจ่างชั้นยอดเอามาส่งให้ได้ ก็ให้ชดใช้เพียงยี่สิบตำลึงเงินก็พอแล้ว

แต่ในเวลานี้ นางจะไม่นำเรื่องใหญ่พูดให้กลายเป็นเรื่องเล็กอย่างแน่นอน

“หนึ่งร้อยตำลึงเงิน!?” เหยาซื่อสะใภ้ใหญ่ตาเหลือก รู้สึกวิงเวียนจนโซเซ ก่อนซ่งฝูซานจะประคองนางไว้ “เอ้อร์ยา…ตอนนี้ยังพอมีเวลา เจ้าว่า…เรารีบหาคนมาช่วยห่อดีหรือไม่”

“ได้สิเจ้าคะ เพียงแต่วัตถุดิบทำไส้ทั้งหมดต้องเตรียมไว้ล่วงหน้าหนึ่งวัน ป้าสะใภ้ใหญ่รวบรวมวัตถุดิบทำไส้ได้ทันทีหรือไม่ล่ะเจ้าคะ ต่อให้รวบรวมมาได้ แล้วข้ารีบไปทำในทันที แต่วัตถุดิบทำไส้นั่นอย่างน้อยๆ ก็ต้องทิ้งเอาไว้ครึ่งคืนจึงจะเอามาใช้ได้ พรุ่งนี้ฟ้าสางก็จะมีคนมารับบ๊ะจ่างแล้ว ด้วยเวลาอันสั้นหกชั่วยาม บ๊ะจ่างห้าพันชิ้น ต้องใช้คนจำนวนเท่าใดจึงจะสำเร็จได้? ป้าสะใภ้ใหญ่ได้คำนึงบ้างหรือไม่เจ้าคะ”

————————–

[1] ซานยา (三丫) ‘ซาน’ หมายถึง สาม ‘ยา’ ในที่นี้มาจากคำเต็มว่า ยาโถว ที่แปลว่าเด็กสาว สองคำนี้รวมกันคือคำเรียกขานบุตรสาวลำดับที่สามในตระกูล

[2] เหล่าซื่อ (老四) คำเรียกขายบุตรชายลำดับที่สี่ของครอบครัว