บทที่ 67 ทุกข์โศกของทาสบริษัท

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 67 : ทุกข์โศกของทาสบริษัท

“แค่เพราะความเห็นอกเห็นใจเหรอคะ” แคโรไลน์พึมพำ

“แค่นั้นยังไม่พอเหรอครับ” หลินเจี๋ยถาม “ทุกครั้งที่ผมพยายามเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังความเจ็บปวดและความทุกข์ของลูกค้า ผมมักจะรู้สึกว่าต้องช่วยเหลือพวกเขาขึ้นมาจากท้องทะเลแห่งความขมขื่นนั่นให้ได้ ไม่อย่างนั้นมันก็ออกจะโหดร้ายเกินไปหน่อย”

‘แน่นอนว่าระหว่างช่วยพวกเขาก็เป็นการช่วยเหลือเงินในกระเป๋าพวกเขาไปด้วยซึ่งย่อมดีกว่าอยู่แล้ว’ หลินเจี๋ยต่อในใจ

เขาก็เป็นแค่จิตวิญญาณอันดีงามแสนอบอุ่นผู้ไม่อาจทานทนเห็นสีหน้าอมทุกข์ของผู้อื่นได้ก็เท่านั้น

แคโรไลน์แอบเห็นด้วย นี่มันเหมือนที่โจเซฟแจ้งไว้เกี่ยวกับการพูดคุยกับเจ้าของร้านหนังสือเลย

เขาเป็นมิตร แต่ก็เป็นกลางอย่างไร้ระบบระเบียบ

ด้วย ‘แรงบันดาลใจ’ ซึ่งมีรากฐานมาจากความเอาใจใส่ เจ้าของร้านหนังสือคนนี้จึงมักจะเห็นอกเห็นใจลูกค้าและยื่นมือเข้าช่วยพวกเขาออกมาจากความทุกข์ในขณะนั้น

แต่ไม่ว่าจะมาจากจุดยืนใด ความเห็นอกเห็นใจเช่นนี้มักมาจากความอยากช่วยเหลือคนอื่นจากใจจริง

‘ความใจดี’ ของเจ้าของร้านหนังสือจะไม่เปลี่ยนไป ไม่ว่าลูกค้าจะมีนิสัยแบบใดก็ตาม

ความใจดีแบบนี้ถือว่าระดับสูงกว่าที่สิ่งมีชีวิตทั่วไปจะมีได้

แคโนไลน์พลันตระหนักขึ้นมาได้ ‘ใช่แล้ว! เขานี่ไงระดับเหนือนภาของแท้!’

‘มิน่าล่ะถึงทำให้เอลฟ์นักปราชญ์แห่งกลุ่มไอริสยอมปฏิญาณตนได้!’

‘มันไม่ได้เป็นเพราะความแข็งแกร่งอันท่วมท้น แต่มาจากความรักอันยิ่งใหญ่และไม่เหยียดสิ่งใดต่างหาก’

‘ที่บอกว่าเทียบ คือหมายถึงเทียบเขากับระดับเหนือนภาคนอื่นรึเปล่านะ ถึงบอกว่า ‘ผมแตกต่างจากคนอื่น’ น่ะ?’

‘แตกต่างกันจริง ๆ นั่นแหละ ระดับเหนือนภาที่ผ่านมาเห็นแก่ตัวกันหมด เพราะพวกเขาเป็นมนุษย์มาก่อน ระดับเหนือนภาเป็นแค่การบรรยายพลังของพวกเขาเท่านั้น’

‘แต่ว่าเจ้าของร้านหนังสือกลับใกล้เคียงกับแก่นแท้ของการประเมินแบบนี้แล้ว…’

ความคิดของหลินเจี๋ยต่อ ‘ลูกค้า’ นั่นง่ายนิดเดียว

อย่างแรก ที่เธอถามหลินเจี๋ยว่าทำไมเขาถึงมาตั้งร้านที่นี่ก็เพื่อทำความเข้าใจข้อดีของพื้นที่ตรงนี้

ตัวอย่างเช่นความสะดวกในการเดินทาง ความแน่นหนาของฝูงชน หรือธรรมเนียมสังคมพิเศษ

การตอบเหตุผลไปก็จะตอบรับเจตนาของเธอไปโดยปริยาย

เป้าหมายที่ซ่อนอยู่คือการตามหาคุณค่าอะไรก็ได้ในพื้นที่นี้ต่างหาก

มันได้ผลกว่าการยิงคำถามว่า ‘คิดว่าพื้นที่นี้ดีอย่างไร’ เสียอีก

ตอนหลินเจี๋ยเฝ้าสังเกตพื้นฐานธรรมเนียมมารยาท เขาเองก็จะยิงคำถามประมาณนี้ แล้วพวกเขาก็จะตอบข้อดีข้อเสียมาอย่างรวดเร็วเลยทีเดียว

ต่อมาการถามเกี่ยวกับเหตุการณ์แก๊สระเบิดที่ตรงไปตรงมายิ่งกว่า นั่นคือเธอกำลังถามว่าคนแถวนี้ได้รับผลกระทบอย่างไร

เกือบทุกสถานการณ์ การตรวจสอบมุมมองนี้ย่อมแปลว่าเจตนาของอีกฝ่ายเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์แก๊สระเบิด

อย่างสุดท้าย เธอถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของร้านเขา

นั่นแปลว่าหญิงสาวกำลังพยายามทำความเข้าใจสภาวะปัจจุบันของร้านค้าใกล้เคียงหลังเกิดเหตุการณ์แก๊สระเบิดเพื่อปรับปรุงพัฒนาพื้นที่นั้น

เห็นได้ชัดว่าบริษัทที่สาวเจ้าทำงานอยู่ต้องการรีเสิร์ชเพื่อประเมินคุณค่าการพัฒนาพื้นที่นี้ แล้วจึงคว้าสิทธิในการพัฒนาพื้นที่ซากหักปรักพังนั้นโดยชอบธรรม

ทว่าหลินเจี๋ยเองก็โดนเจ้าดำลากไปมา แถมการจัดตั้งของร้านหนังสือแห่งนี้ยังเป็นแบบสุ่มอีกต่างหาก ดังนั้นอาจถือว่าหลินเจี๋ยเป็นตัวแปรผิดปกติก็ได้

ส่วนเหตุผลในการใช้วิธีตั้งคำถามอันคลุมเครืออาจเป็นเพราะต้องการจะเก็บเป็นความลับกับบริษัทคู่แข่งเป็นแน่

ทว่าต่อให้เป็นอย่างนั้น หลินเจี๋ยก็ยังอยากจะโฆษณาตัวเองอยู่ดี

ดูจากความอดทนระดับช่ำชองของหญิงสาวแล้ว หลินเจี๋ยเดาว่าบริษัทที่เธอจากมาต้องใหญ่มาก เพราะพวกเขาถึงกับส่งคนระดับเธอมาวิจัยเลยทีเดียว

“ผมจับคู่หนังสือให้กับผู้คนที่เหมาะกับมัน และหวังว่าพวกเขาจะหลุดพ้นจากปัญหาไปชั่วขณะจนตระหนักรู้ถึงตัวเองได้น่ะครับ ถึงจะมียอดขายไม่มาก แต่การได้เห็นลูกค้าปัดความเศร้าโศกออกไปจนกลับมากระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง ก็ทำให้ผมดีใจมากแล้วครับ”

รอยยิ้มของหลินเจี๋ยเปล่งประกายเป็นพิเศษ

“ผมยินดีมากที่จะช่วยเหลือและแนะนำเพื่อให้ผู้คนผ่านพ้นวิกฤติไปได้ครับ เอาคุณเป็นตัวอย่างก็ได้ คุณดูเป็นประเภทที่กังวลเรื่องงานนะ”

รอยยิ้มของเขาดูเป็นมือโปรยิ่งกว่ารอยยิ้มมีเสน่ห์ของแคโรไลน์เสียอีก ราวกับมีความสามารถแปลก ๆ ที่จะให้ผู้คนเชื่อใจเขาจนเอ่ยความในใจออกมาได้

ในเมื่อเธอเอาเวลาฉันไปถามเรื่องพวกนั้นแล้ว งั้นก็ขอใช้เป็นตัวโฆษณาหน่อยก็แล้วกัน

‘ถ้าเผยแพร่แล้วได้ผลดีกว่านี้ก็คงดีละนะ’

และต่อให้มันเป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยหลินเจี๋ยก็ยังได้ลูกค้าใหม่อยู่ดี

สาเหตุที่เขาเปิดร้านหนังสือที่นี่เพราะเขาหวังจะเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของทุกคน ไม่ใช่เพราะเงินจุบจิบเหล่านั้น

แคโรไลน์นิ่งไปชั่วขณะ สีหน้าของเธอดูปั้นยาก เธอไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าจะกลายเป็นคนได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าของร้านหนังสือ ทว่าการเหยียบเข้ามาในร้านหนังสือแล้วถามคำถามแบบนี้ก็อาจจะดูเป็น ‘ลูกค้า’ ในสายตาเขาก็ได้กระมัง

ที่สำคัญกว่านั้น เธอเองก็รู้สึกกังวลเกี่ยวกับ ‘งาน’ ของเธอจริง ๆ

ไม่ใช่แค่งานที่เบื้องบนมอบให้มาดูโซนระดับ S หรอก แต่ยังเป็นเพราะจลาจลที่หมาป่าขาวและลัทธิสีชาดก่อเอาไว้จนแผนกขนส่งต้องมาวิ่งวุ่นเก็บกวาดซากการต่อสู้จนหัวหมุน

ในฐานะรองหัวหน้าหน่วยแล้ว นี่ถือว่าเป็นเรื่องวุ่นวายสำหรับเธอมาก

นอกเหนือจากการสนับสนุนแนวหน้าแล้ว แผนกขนส่งเองต้องทำให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดเรื่องวุ่นวายในอนาคตหลังการต่อสู้จบลง

เธอเปิดปากพูดขึ้น “ฉัน…”

เมื่อเห็นความลังเลของแคโรไลน์ หลินเจี๋ยก็พอจะจินตนาการได้ราง ๆ ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น

เขาเลือกจะคงความเป็นผู้นำบทสนทนานี้แล้วกล่าวต่อ “พวกคุณทุกคนคิดจะรับผิดชอบเรื่องนี้เหรอครับ”

แม้ว่าแคโรไลน์จะเป็นคนแรกที่ถามคำถาม แต่เธอไม่อาจตีตื้นขึ้นมาได้เลยสักครั้ง

หลินเจี๋ยชี้ไปยังเศษซากที่เห็นได้รางเลือนผ่านม่านสายฝนอันมืดมน

การสร้างถนนสามเส้นใหม่ถือเป็นงานช้าง มันคงจะยุ่งยากน่าดู หากพวกเขาคิดจะรับหน้าที่โปรเจ็กต์นี้จริง ๆ

พนักงานรีเสิร์ชอาจต้องรับผิดชอบการไล่เคาะประตูทุกบ้านเพื่อถามคำถาม จึงจะได้รับภาพรวมอันชัดเจนขึ้น แค่คิดก็หมดแรงแล้ว

แคโรไลน์พยักหน้า เมื่อเผชิญเข้ากับคำถามของระดับเหนือนภาแล้ว เธอได้แต่ตอบอย่างประหม่า “พวกเราต้องรับผิดชอบค่ะ ไม่อย่างนั้นเรื่องจะยิ่งบานปลายไปมากกว่านี้อีก ถึงจะต้องยุ่งมาก แต่นี่ก็เป็นความรับผิดชอบของฉันค่ะ”

‘โอ๊ะ? ดูท่าทางบริษัทนี้จะมีความทะเยอทะยานสูงส่งดีแฮะ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกเขาถึงคาดหวังกับพนักงานไว้สูงแบบนี้’

‘เฮ้อ…ทุกข์โศกของข้าทาสบริษัทชัด ๆ’ หลินเจี๋ยคิดในใจพลางสังเกต ‘พนักงานออฟฟิศสาว’ ตรงหน้า แล้วอคติที่มีต่อ ‘พนักงานขายของ’ ก็หายไป

“เด็กน้อยที่น่าสงสาร ถ้าไม่รังเกียจอะไร ก็พักสักนิดแล้วลองอ่านหนังสือสักเล่มสิครับ”