ตอนที่ 47 เรียกท้าสู้ (rewrite)
ตรอกฝนพรำทุกคนเงียบหลังเจ้าลัทธิออกไป
เสียงเท้าม้าดังไกลออกไปเรื่อยๆ…
หนิงอี้เก็บกระบี่ยืนตรง เขามองศิษย์ถือตะเกียงจากจวนขานฟ้าพวกนั้นพลางเอ่ยเรียบนิ่ง “กลับไปแล้วบอกราชันดาราอี๋อู๋…เอ่ยแล้วต้องทำให้ได้ ข้าจะไปเยือนจวนพวกเจ้า”
ศิษย์จวนขานฟ้าประคองคุณชายน้อยฉินโซ่วขึ้น ฉินโซ่วเช็ดเลือดตรงมุมปาก
เจตนารมณ์ของท่านเจ้าลัทธิ ครั้งนี้ถอนรากถอนโคนตัวหมากที่ซุ่มในกรมผู้คุมกฎของจวนขานฟ้าทั้งหมด เรื่องราวเผยแพร่ออกไป เกรงว่าราชันดาราอี๋อู๋คงมีเอี่ยวด้วยไม่น้อย
จวนขานฟ้ามีรากฐานหยั่งลึก ไม่ส่งผลอะไรมากนัก แต่ราชันดาราอี๋อู๋เกรงว่าคงสิ้นฤทธิ์ไปในช่วงนี้ ไม่อาจมาสนใจหนิงอี้ได้
ฉินโซ่วจ้องหนิงอี้ “หนิงอี้ เจ้ามันเหี้ยมนัก”
หนิงอี้ยิ้ม “ข้าเหี้ยมรึ เจ้ายังไม่เห็นตอนข้าเหี้ยมจริงๆ เลย ให้คุณชายครามรออยู่ในจวนภูเขาครามเฉยๆ เถอะ อย่าไปไหน รอข้าไปเยี่ยมเยือนด้วยตัวเอง!”
“ดี!” ฉินโซ่วกลืนความคับแค้นใจนี้ลง ก่อนกัดฟันพูดด้วยความโกรธ “ข้าจะเรียนท่านคุณชายครามตามจริง กลัวว่าเจ้าจะไม่มาเสียมากกว่า!”
ก่อนหน้านี้ มือสังหารที่ลอบโจมตีจวนภูเขาครามยังหาตัวไม่พบเลย
ทั้งจวนขานฟ้าวางค่ายกลไว้สุดทุกด้านแน่นหนายิ่ง
มีคนสงสัยว่าเป็นฝีมือของหนิงอี้ ฉินโซ่วไม่เชื่อ หากหนิงอี้เป็นมือสังหารนั่นจริงๆ ความหมายแฝงในคำพูดเมื่อครู่…
ฉินโซ่วอยากจะให้เขามาอีกครั้งจริงๆ
กองทหารของจวนขานฟ้าเดินกะเผลกกันออกจากตรอกฝนพรำ
คลื่นลมการลอบสังหารครั้งนี้ถือว่าผ่านไป หนิงอี้คุยกับสตรีแห่งสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว ท่านหญิงคนนั้นมีนามว่าป๋อหลิ่น นามมีปราณกระบี่สามส่วน อาจารย์อาสุ่ยเยวี่ยแห่งถ้ำกวางขาวไม่ได้มาเมืองหลวงด้วยตัวเอง แผนการของเจ้าลัทธิวางได้อย่างแยบยลมาก คลื่นลมครั้งนี้ตั้งแต่เริ่มจนจบลงล้วนอยู่ในแผนของเฉินอี้ ใช้ร่างอิทธิฤทธิ์ของสุ่ยเยวี่ยถ้ำกวางขาวล่อเจตนารมณ์ของคนใหญ่คนโตเบื้องหลังจวนขานฟ้าออกมา นี่ก็เป็นหนึ่งในแผนการในนั้น
เมื่อรู้ข่าวนี้ หนิงอี้ผิดหวังเล็กน้อย
“อาจารย์อาสุ่ยเยวี่ยบอกว่าต่อให้ไม่มีท่านเจ้าลัทธิ นางก็จะสำแดงร่างอิทธิฤทธิ์อยู่ดี” ป๋อหลิ่นบอกตามความจริง “อาจารย์อายังบอกอีกว่าหากเจ้ามีเรื่องลำบากอะไร ต้องการให้คุ้มกัน ก็ไปที่ถ้ำกวางขาวได้”
หนิงอี้มีสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย
สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวเป็นสำนักศึกษาสตรีที่มีชื่อเสียง ในนั้นก็มีศิษย์บุรุษเพศเหมือนกัน แต่มีจำนวนน้อยยิ่ง ตนเป็นอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานผู้ยิ่งใหญ่ หากไปขอให้สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวปกป้อง จะไม่กลายเป็นแมงดาเกาะสตรีกินรึ
“คุณชายหนิงอี้ ท่านท่านหญิงพิณเคยเอ่ยถึงเจ้าด้วย”
หนิงอี้สนใจขึ้นมาเล็กน้อย อ้อยอิ่ง ‘ท่านหญิงพิณ’ ที่ลึกลับที่สุดในสี่คุณชายใหญ่นั่น ไม่น่าเชื่อว่าจะเคยเอ่ยถึงตน
ป๋อหลิ่นยิ้ม “ท่านท่านหญิงพิณ บอกว่าเจ้าคู่ควรกับการยกย่องทั้งหมด”
หนิงอี้หน้าแดงเล็กน้อยอย่างอดมิได้
เรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนภูเขาครามเมื่อหลายวันก่อน เล่าลือว่าเป็นฝีมือของปรมาจารย์ค่ายกล กลอุบายที่ใช้เกี่ยวกับกระบี่…ตอนหนิงอี้ก้าวเข้ามาในตรอกฝนและใช้ค่ายกลคุ้มกันของเผยฝาน ก็คาดเดาความจริงวันนั้นที่จวนภูเขาครามได้แล้ว
เขาชำเลืองตามองไปในกลุ่มคน เด็กสาวสวมชุดคลุมดำตัวโคร่งสวมงอบคนนั้นรีบร้อนจากไป
วันนั้นเผยฝานน่าจะระบายความแค้นให้ตน…จากนั้นเกิดการลอบโจมตีจวนภูเขาครามที่สั่นสะเทือนเมืองหลวง
หนิงอี้ไม่คาดคิดเลยว่าพลังบำเพ็ญของเด็กสาวจะแกร่งถึงขนาดเอาชนะคุณชายครามได้ เขารู้ว่ากระบี่ซ่อนจากท่านเผยหมินเป็นสมบัติล้ำค่าหายาก แต่ทำให้เผยฝานยกระดับขอบเขตพลังแสงดาราได้เร็วขนาดนี้ในเวลาอันสั้น ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ…
หอเด็ดดาราในวันนั้น เดิมทีสี่คุณชายต้องมารวมกัน แม้แต่อ้อยอิ่งยังมา แต่คุณชายครามไม่มา
จะต้องทำให้เกิดความสงสัยและหยั่งเชิงอย่างมากแน่
คืนนั้น หนิงอี้ยังอยู่ในภาวะแบกรับการใช้ความเป็นเทพเกินขีดจำกัด แอบรู้สึกว่ามีร่างเงายืนอยู่หน้าประตูจวนตน เหมือนจะพูดบางอย่าง
นั่นคงจะเป็นอ้อยอิ่ง
จวนของตนวางค่ายกลไว้มากมาย อ้อยอิ่งน่าจะเข้าใจผิดคิดว่าคนที่เอาชนะคุณชายครามที่จวนภูเขาคราม ทั้งยังถอยมาได้อย่างปลอดภัยนั่น เป็นตนแน่
หนิงอี้รู้สึกซับซ้อนลึกๆ ในใจ เขามองป๋อหลิ่น “หากมีเวลาว่าง ข้าจะไปเยือนสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว…”
เขาชะงักไปก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่าไม่ได้ไปเยือนแบบที่จะไปเยือนจวนขานฟ้า”
ป๋อหลิ่นยิ้มเช่นกัน นางปิดปากหัวเราะคิกคัก “คุณชายหนิงอี้น่าสนใจจริงๆ…ท่านหญิงพิณก็บอกว่านางจะรอที่สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวเหมือนกัน ไม่ไปไหน รอคุณชายหนิงอี้มา”
ท่านหญิงถ้ำกวางขาวขยิบตา “แน่นอน…การรอของท่านท่านหญิงพิณก็ไม่ใช่รอแบบนั้นของคุณชายคราม”
หนิงอี้กะพริบตา แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ
กลุ่มสองฝ่ายแยกจากกันตรงนี้
……
หนิงอี้กลับจวน
เขายิ้มขอบคุณให้นักพรตชุดคลุมหยาบสองคนที่เฝ้าประตูจวนให้ในช่วงนี้ จากนั้นผลักประตูเข้าไป ปิดประตูจวนลงอีกครั้ง
หนิงอี้ก้าวเร็วๆ เข้าลานบ้าน มาห้องเด็กสาว
มองเด็กสาวที่นั่งเรียบร้อย แสร้งศึกษาตำราโบราณอยู่ตลอด หนิงอี้ยิ้มเย็นชาอย่างไม่สบอารมณ์นัก
เขาถามตรงๆ “เรื่องที่จวนภูเขาครามเป็นฝีมือเจ้ารึ”
เด็กสาวไม่สนใจ ยังคงอ่านม้วนตำราโบราณ พูดอย่างขาดความมั่นใจมาก “หืม”
แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจรึ
หนิงอี้ยกเก้าอี้มานั่งลง
ไม่พูดไม่จา
เช่นนั้นก็ดูว่าใครจะทนไม่ไหวก่อนกัน
บรรยากาศเงียบงันไม่ได้ผ่านไปนานนัก…
จากนั้นเผยฝานตอบด้วยความสัตย์จริง “อืม…”
หนิงอี้พลันรู้สึกปวดหัว คลึงระหว่างคิ้ว “ใช้แค่กระบี่ซ่อนของท่านเผยหมินรึ”
เด็กสาวก้มหน้าลง “ไม่ใช่ใช้แค่กระบี่ ใช้แค่ส่วนเดียว สิ่งสำคัญคือค่ายกล”
นางยื่นมือมาข้างหนึ่ง หนิงอี้มองไปตามนิ้วมือ ด้านบนในห้องเผยฝานมียันต์ลอยไปมาอยู่แผ่นหนึ่ง ยันต์นี้เรียบง่ายมาก เหมือนกระดาษเก่าสีเหลือง ลอยอยู่บนขื่อห้อง เหมือนมนุษย์กระดาษน่าขำ ไปๆ มาๆ อย่างอิสระในพื้นที่เล็กๆ อักษรลูกอ๊อดพันรอบยันต์
“ค่ายกลมารดาบุตรหลังภูเขารึ” หนิงอี้เผยสีหน้าตกใจ “เจ้าทำขึ้นมารึ”
“แบบง่าย” ใบหน้าเผยฝานไม่ได้ดีใจเท่าไร นางพูดเสียงเบา “ข้าปรับแก้เล็กน้อย ยันต์ของบรรพจารย์ลู่เซิ่ง ข้าเข้าใจเพียงสามสี่ส่วน ยันต์นี่เป็นหลังจากปรับแก้แล้ว”
เด็กสาวเล่าถึงวิธีใช้และสมรรถนะของยันต์นี้
“ได้ยินว่าจวนขานฟ้าเสริมความแกร่งของค่ายกล ข้าลองอีกครั้งแล้วก็ไม่มีประโยชน์ กันยันต์นี้ไม่ได้”
นางบีบยันต์แล้วเอ่ยราบเรียบ “ค่ายกลของจวนขานฟ้า ไม่ว่าจะเสริมความแกร่งอย่างไรก็ต้านไว้ไม่ได้ ปรมาจารย์ค่ายกลของพวกเขาอ่อนแอมากจริงๆ”
หนิงอี้มีสีหน้างุนงง สายตาที่มองเผยฝานเหมือนมองสัตว์ประหลาด
นี่มันปีศาจอะไรกัน
หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก เขามองเด็กสาวพลางถามอย่างจริงจัง “หลังปลุกกระบี่ซ่อนตื่น…พลังบำเพ็ญเจ้าเพิ่มขึ้นแล้วรึ”
ลังเลอยู่ชั่วครู่
เด็กสาวพูดด้วยความลังเล “เพิ่งทะลวงขอบเขตหลัง เอาชนะคุณชายครามได้เพราะอาศัยคลังมรดกของบิดาข้า”
นางชะงักไป ก่อนจะพูดต่อ “ตอนแรกว่าจะหาคนมาฝึกมือ…เพียงแต่ไปเจอคุณชายครามพอดี”
หนิงอี้รู้สึกอบอุ่นในใจ เขามองเด็กสาว ไม่พูดอะไร แต่รู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงอธิบายเช่นนี้…เด็กสาวเป็นห่วงคิดว่าตนโกรธ เลยไปจวนขานฟ้าเพียงลำพัง นี่เป็นเรื่องที่อันตรายมาก หากเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้น เช่นนั้นก็ไม่อยากนึกถึงผลที่ตามมาเลย
“เด็กโง่…”
หนิงอี้พลันนำหน้านิ่ง พูดอย่างเคร่งขรึม “เอายันต์ให้ข้า ไม่ต้องเก็บไว้แล้ว”
เผยฝานมีสีหน้าคับแค้นใจ บีบปลายของยันต์ วางกระดาษเหลืองลงในมือหนิงอี้
นางถามด้วยความน่าเอ็นดู “เจ้าก็จะไปจวนขานฟ้าเหมือนกันรึ”
หนิงอี้รับยันต์มา มองค้อนอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่ควรถามก็อย่าถาม ข้าไม่บอกเจ้าหรอก”
เผยฝานหัวเราะคิกคัก “ตอนนี้ข้างนอกเดากันว่าคนนั้นที่จวนภูเขาครามเป็นใคร มีคนเดาว่าเป็นเจ้าไว้เยอะที่สุดเลย”
เผยฝานหัวเราะออก แต่หนิงอี้หัวเราะไม่ออก
นี่ไม่ใช่เรื่องดี
หนิงอี้ติดตามฝึกฝนกับสวีจั้ง ข้อปฏิบัติของหนิงอี้คือทำความดีต้องฝากนามไว้ และฝากไว้อย่างยิ่งใหญ่ ใหญ่จนทุกคนมองเห็นได้ ทั้งยังจดจำตนไว้
ทำความชั่วอย่าให้ใครเห็นร่องรอยเด็ดขาด ให้ดีที่สุดคือไม่ให้ใครเดาได้ว่าเป็นตน
ตอนนี้ข้างนอกเต็มไปด้วยพายุฝน ก่อตัวโหมกระหน่ำ
หนิงอี้จับปลายของยันต์ตีกับโต๊ะ กระดาษเหลืองเกิดเสียงดังแปะก้องกังวาน ก่อนพูดด้วยความโกรธ “ไม่ใช่เพราะความดีงามที่เจ้าทำหรอกรึ”
เผยฝานแลบลิ้น
ข้างนอกคาดเดาอย่างไรก็เป็นเพียงการคาดเดา
ปฏิกิริยาของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว ดูท่าตนคงจะเป็นแพะแทนเด็กสาวแล้ว
แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน…
รู้ความลับที่เด็กสาวปิดบังตนไว้ หินก้อนนั้นที่ลอยอยู่ในใจหนิงอี้ถือว่าตกลงพื้นแล้ว
เมื่อเห็นหนิงอี้มีสีหน้าเคร่งขรึม
เด็กสาวถามอย่างระมัดระวัง “หนิงอี้…เจ้าไม่ชอบสิ่งที่ข้าทำหรือ”
แสงเทียนในห้องวูบไหวเบาๆ
หนิงอี้นิ่งอึ้งไป
เขามองแก้มออกสีแดงของเด็กสาวใต้แสงเทียนวูบไหว นัยน์ตาหยั่งเชิงอย่างระมัดระวังและลุ่มลึก
หนิงอี้ถอนหายใจ พูดอย่างจริงจัง “ชอบสิ”
เมื่อเอ่ยเช่นนี้ ทำให้เด็กสาวดีใจมาก รอยยิ้มในดวงตาผลิบานออกมา
….
จวนเจ้าลัทธิไม่ได้เงียบสงบนานเท่าไร
ไม่นานนัก มีเสียงโวยวายดังมาจากนอกจวน
หนิงอี้ขมวดคิ้ว ค่ายกลกั้นเสียงกันเสียงไม่ได้ทั้งหมดหรือ
เขามองเด็กสาว ก่อนพูดด้วยเสียงเย็นชา “คนพวกนี้ยังกล้ามาอีกรึ”
เผยฝานมีสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย
ต่อให้ไม่เปิดประตู ผ่านประตูห้องไปยังมีลานบ้านอีก หนิงอี้กับเด็กสาวยังได้ยินเสียงโวยวายจากข้างนอก
นักพรตชุดคลุมหยาบสองคนรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ ดูสู้ไม่ไหวอย่างชัดเจน
นอกจวน ล้อมรอบด้วยผู้บำเพ็ญสวมอาภรณ์ครามบ้างอาภรณ์แดงกลุ่มใหญ่ ถือตะเกียง ตรงเอวห้อยกระบี่ นี่เป็นเครื่องแบบมาตรฐานของสายเลือดจวนขานฟ้า
ผู้นำคือคุณชายพิรุณ คุณชายน้อยสายเลือดอาภรณ์ครามวรุณที่กดพลังมาสู้กับหนิงอี้และถูกทุบคุกเข่ากับพื้นลุกไม่ขึ้นที่ถนนนิมิตชาด
ข้างหลังหยวนหลินเป็นศิษย์กลุ่มใหญ่ ข้างกายเขาคือฉินโซ่วที่พ่ายแพ้ไปในตรอกฝนพรำ
หยวนหลินได้รับคำแนะนำมาจากคุณชายคราม เขามองนักพรตชุดคลุมหยาบ “นักพรตทั้งสองอย่าได้ขวางเลย นี่เป็นบุญคุณความแค้นส่วนตัวระหว่างข้ากับหนิงอี้”
นำศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักมากันกลุ่มใหญ่
ในเมืองหลวง ขุมอำนาจของจวนขานฟ้าไม่แพ้หอยอดวิสุทธ์ นักพรตสองคนนี้ดูลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด ขวางก็ขวางได้แน่ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมไป เจ้าจะไล่ไปอย่างไร
คุณชายพิรุณมองประตูใหญ่ที่ปิดสนิทนั้น นึกถึงคำแนะนำของคุณชายคราม หนิงอี้เจ้าเก่งนักไม่ใช่รึ เช่นนั้นก็มาสู้กันอย่างยุติธรรม ใต้เท้าบุตรสวรรค์ ไม่มีใครกล้าสังหารถึงแก่ชีวิต จวนขานฟ้ามีกองกำลัง สู้หมุนเวียนกันได้ หากไม่สู้ก็จะอุดอยู่หน้าประตู ใช้แสงดาราเรียกท้าสู้จนเจ้ารำคาญใจ ไม่อาจฝึกบำเพ็ญได้!
เมื่อถึงได้ดังนั้น หยวนหลินก็ตะโกนเสียงดัง
“หนิงอี้! ออกมาสู้กัน!”
ประตูใหญ่พลันเปิดออก
…………………….