ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 48 ความสง่างามของอาจารย์อาน้อย (rewrite)

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 48 ความสง่างามของอาจารย์อาน้อย (rewrite)

“ขอให้ทั้งสองท่านหลบไปด้วย”

นักพรตชุดคลุมหยาบสองท่าน ได้ยินกระแสจิตที่ซ่อนแสงดาราไว้ของหนิงอี้ที่หน้าประตู

ดังนั้นนักพรตชุดคลุมหยาบที่ปฏิบัติตามคำสั่งหอยอดวิสุทธ์ว่าต้องเฝ้าจวนแห่งนี้ของเจ้าลัทธิ จึงหลีกทางไปข้างๆ เป็นสองฝั่ง

วินาทีต่อมา ประตูใหญ่จวนพลันเปิดออก…

ก่อนจะมีแสงกระบี่สายหนึ่งพุ่งออกมา!

แสงกระบี่นั้นเหี้ยมโหดยิ่ง ทำลายล้างทุกสิ่ง มาจากในสู่นอก ทะลวงประตูใหญ่ทองสัมฤทธิ์แตก ลากบานประตูสองบานกระแทกใส่ศิษย์จวนขานฟ้าที่อยู่หน้าสุด คุณชายพิรุณชักกระบี่ยาว ยืดตัวขึ้น แสงดาราส่งเสริม สองมือจับกระบี่ฟัน ทำลายประตูทองสัมฤทธิ์ระเบิดกลางอากาศ…

ฝุ่นควันหมุนตลบ

หยวนหลินมีสีหน้าซับซ้อนมาก

เขายืนตรง รู้สึกข้อมือชา สิบนิ้วที่จับกระบี่สั่นไหว

เจตจำนงกระบี่ของกระบี่นี้รุนแรงขนาดนี้เชียว

นักกระบี่ จะต้องเป็นนักกระบี่แน่!

คุณชายพิรุณไม่นึกเลยว่า อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานคนนี้จะมีนิสัยฉุนเฉียวขนาดนี้…พูดไม่เข้าหูก็ออกกระบี่มาจากลานบ้านเช่นนี้หรือ

ทว่าผลลัพธ์ของกระบี่นี้กลับน่าแปลกมาก อย่างน้อยทั้งจวนก็เงียบลง

ในความเงียบ เสียงมืดมนที่เหมือนกับน้ำเสียงของสวีจั้งทุกประการดังแว่วมา

“อย่างอื่นไม่ว่า แต่จวนขานฟ้าต้องชดใช้ค่าประตูให้ข้า…”

หยวนหลินกลัดกลุ้มในใจ ประตูนี่เจ้าเป็นคนพัง แล้วยังจะให้จวนขานฟ้าชดใช้อีกหรือ ถ้าโดนศิษย์ ใครจะชดใช้

อีกด้านของประตูเป็นเด็กหนุ่มสวมอาภรณ์เรียบร้อยเดินออกมา หนิงอี้เพิ่งกลับมาถึงจวนได้ไม่นาน เปลี่ยนอาภรณ์ใหม่ กระทั่งยังไม่ได้ชะล้างกาย พวกโวยวายจากจวนขานฟ้าพวกนี้มารวมกันก่อเรื่องที่จวน…ดูท่าคงไม่คิดจะให้ตนอยู่อย่างสงบบ้างเลย

เขาถือพินิจเหมันต์ กวาดสายตามองอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนไปหยุดที่ฉินโซ่วที่บาดเจ็บไม่น้อยคนนั้น ยิ้มเย้าหยอก “สมกับเป็นฉินโซ่ว ถูกทุบตีแล้ว เรื่องแรกที่คิดกลับเป็นการแก้แค้น ไม่มีความสามารถอย่างอื่น แต่เรื่องพาสหายมาตายด้วยกันนี่เร็วมาก”

ฉินโซ่วมีสีหน้าปั้นยาก จ้องหนิงอี้

หยวนหลินมีนัยน์ตามืดหม่นเช่นกัน กัดฟันด้วยความโกรธ หนิงอี้บอกว่าคนข้างกายตนเป็นเดรัจฉาน รู้จักแต่พาสหายมาตาย เช่นนั้นตนที่ถูกเรียกมาช่วย เรียกว่าอะไร

เคยได้ยินมานานแล้วว่าสวีจั้งเมื่อสิบปีก่อนมีปราณกระบี่สุดยอด ฝีปากก็สุดยอดเช่นกัน พลังบำเพ็ญของสวีจั้งไม่เคยเปิดเผยมาก่อน แต่หนิงอี้ได้เผยแววมาก่อนหน้านี้แล้ว…อยากเข้าใจสวีจั้ง ก็มองผ่านหนิงอี้ในตอนนี้ได้ สองคนมีคำพูดและการกระทำดูเหมือนนักกระบี่ที่มาจากแม่แบบเดียวกัน บรรลุถึงขอบเขต ‘คนกระบี่รวมเป็นหนึ่ง’ จริงๆ

ศิษย์จวนขานฟ้าทุกคนอยากจะใช้ดวงตาฉีกหนิงอี้ใจจะขาด

หนิงอี้รู้สึกถึงความคุ้นเคยในแววตาเช่นนี้อย่างยิ่ง ตอนนั้นที่ตนอยู่บนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ตำหนักทะเลสาบกระบี่ ศิษย์พวกนั้นข้างหลังหลิ่วสือก็มองตนด้วยสายตาเช่นนี้…เวลานี้ ร้อยความรู้สึกไหลรวมกัน หนิงอี้พูดปลงเบาๆ “ขยะอย่างพวกเจ้าเหมือนที่สวีจั้งเล่าไว้เลย ลึกๆ ในใจข้ามีทั้งความใจกว้าง และยังมีความเสียดายที่พวกเจ้าไม่ได้ดีอยู่สามส่วน…ผู้บำเพ็ญอัจฉริยะต่างมีความเป็นอัจฉริยะที่ต่างกันจริงๆ แต่คนโง่พวกนั้นกลับส่วนใหญ่ต่างออกไป

จวนขานฟ้าพวกเจ้าคิดจะท้าสู้กับข้ารึ ได้ ยินดีรับคำท้า ให้คุณชายครามมาหน้าจวนข้าด้วยตัวเอง!”

หนิงอี้ชำเลืองตามองผู้บำเพ็ญพวกนั้นตรงหน้าก่อนจะยิ้มเยาะ “ปลาเน่ากุ้งเน่าอย่างพวกเจ้า คู่ควรจะท้าสู้กับข้าหรือ ไม่กลัวขายหน้าจวนขานฟ้ารึ”

หยวนหลินกำกระบี่ยาวแน่น เดินหน้ามาหนึ่งก้าว “หนิงอี้ ข้าขอเดิมพันด้วยศักดิ์ศรีของสายเลือดอาภรณ์ครามวรุณ จะสู้ตัดสินกับเจ้าอย่างยุติธรรม! ใต้เท้าบุตรสวรรค์ กฎหมายต้าสุยเป็นพยาน!”

หนิงอี้แคะหู แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ก่อนถามด้วยความสงสัย “สู้อย่างยุติธรรมรึ”

หยวนหลินมีสีหน้าปั้นยาก

“เจ้าก็คู่ควรจะสู้กับข้าอย่างยุติธรรมหรือ สายเลือดอาภรณ์ครามวรุณนับว่าไม่เท่าไรเอง” หนิงอี้ยิ้มเยาะ หากเขาจำไม่ผิด ก่วนชิงผิงก็เป็นสายเลือดอาภรณ์ครามวรุณ ตอนนั้นที่สวีจั้งใช้เลือดล้างเมืองหลวง ก็ไม่รู้ว่าสังหารยอดผู้บำเพ็ญสายเลือดอาภรณ์ครามวรุณไปเท่าไร สายเลือดนี้เป็นตัวตลกชัดๆ

ถ้าวัดกันที่ตัวตนและฐานะ อาภรณ์ครามวรุณนี้ ไม่อาจเทียบกับอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานได้เลย

“ต่อให้คุณชายครามมา ข้าก็ไม่สนใจ ไม่รับคำท้าสู้ของเขาเด็ดขาด” หนิงอี้อาศัยพลังหาทางลง เอ่ยนิ่งๆ “เจ้าให้เยี่ยหงฝูแห่งเขาลั่วเจีย แล้วก็มังกรจู๋หลงน้อยเฉาหลันแห่งแดนอุดรมา บางทีข้าอาจจะมองสักครั้ง หรือเจ้าไปเรียก ‘เซียนจุติ’ ลั่วฉางเซิงแห่งพำนักเทพมา พวกเขาถึงมีจะคุณสมบัติสู้กับข้าอย่างยุติธรรม!”

คำพูดนี้ หยวนหลินยังตกใจกับความไร้ยางอายของหนิงอี้

เขาลั่วเจียเพิ่งประกาศปิดภูเขา เยี่ยหงฝูที่ถูกจัดอยู่อันดับสองรายนามดารา ถูกอาจารย์ฝูเหยาพาไปท่องโลกหล้า ฝึกฝนตัวเอง เวลานี้คงไม่ได้กลับมาเมืองหลวงแน่

ส่วนจอมยุทธ์มังกรจู๋หลงน้อยแดนอุดรที่ลอยไปลอยมาอย่างไม่มีเป้าหมายในทั้งใต้ฟ้าต้าสุยคนนั้น ยิ่งไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด เยี่ยหงฝูไม่อยู่เมืองหลวง เฉาหลันจะมาหรือไม่มาล้วนเป็นปัญหา

เซียนจุติคนนั้นคนสุดท้าย…ทำให้สี่คุณชายสำนักศึกษาต้องเลี่ยงประกายคมของเขาก่อนงานราชวงศ์ใหญ่ ทำให้ทั้งใต้ฟ้าต้าสุยสั่งห้ามบุตรศักดิ์สิทธิ์ออกไปข้างนอก หยวนหลินไม่กล้าเอ่ยนามเขามาตลอด นอกจากเคารพเลื่อมใสแล้วก็มีเพียงความเคารพเลื่อมใส

ลั่วฉางเซิงสามคำนี้หนักเป็นหมื่นชั่งในใจผู้บำเพ็ญรุ่นเดียวกัน…ไม่กล้าดูหมิ่น!

หนิงอี้เจ้า คู่ควรสู้กับเขาอย่างยุติธรรมรึ

หนิงอี้ชำเลืองตามองสีหน้าของศิษย์พวกนั้น พอๆ กับหยวนหลิน เขาย่อมรู้ว่าในใจคนพวกนี้คิดอะไร ก็คงจะด่าตนว่าไร้ยางอาย ถูกยั่วโมโหโกรธจัด แต่พวกเขาจะทำอะไรได้

ใต้เท้าบุตรสวรรค์ก็ยังต้องท้าสู้ตามกฎต้าสุย อีกฝ่ายมีสิทธิ์ที่จะไม่รับคำท้า

หนิงอี้เห็นคนพวกนี้มีท่าทีหมดหนทางแล้วก็รู้สึกน่าสมเพช

เขาพลันพูดขึ้น “หยวนหลินใช่หรือไม่ ข้ารับคำท้าสู้ของเจ้าได้”

หยวนหลินนิ่งอึ้ง ก่อนจะมีสีหน้าแปลกประหลาด

หนิงอี้เงียบไปครู่หนึ่งก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่เงื่อนไขคือต้องเพิ่มไข่มุกตะวันคร้านพันปีอีกสิบเม็ด เป็นของเดิมพัน…ข้าจะชี้แนะแนวทางให้เจ้าได้ ดูท่าเจ้าก็คงใช้กระบี่เหมือนกัน ข้าจะสอนเจ้าให้ก็ได้ ค่าเรียนไข่มุกตะวันคร้านสิบเม็ด ไม่ถือว่าเกินไปหรอกนะ”

นี่เป็นการท้าสู้แบบใดกัน ไข่มุกตะวันคร้านพันปีสิบเม็ด!

ต่อให้เป็นขอบเขตดาราชะตา ก็ควักของราคาสูงยิ่งขนาดนี้ไม่ไหว

“ว่าอย่างไร…แพงไปรึ ข้ารู้ว่าเจ้าจ่ายไม่ไหว แต่สำนักศึกษาจ่ายไหว ความคิดโง่เขลาที่ให้มาขวางประตูจวนข้าคงเป็นของสำนักศึกษากระมัง” หนิงอี้ยิ้มหยีตา “ใครให้เจ้ามา เจ้าก็ไปเอากับคนนั้น! ตอนสวีจั้งคว้าพินิจเหมันต์ หนึ่งกระบี่ออกจากฝักก็ไข่มุกตะวันคร้านพันปีสิบเม็ดแล้ว อาจารย์อาน้อยทุกรุ่นล้วนมีราคาเท่านี้ ให้คนนั้นลองคลำกระเป๋าเอวดู ว่ารับราคาพินิจเหมันต์ออกฝักได้หรือไม่”

คำพูดนี้มีการข่มขู่อยู่สามส่วน

พินิจเหมันต์ออกฝัก ต้องฆ่าคน ต้องเห็นเลือด

สวีจั้งฆ่าคนพร้อมกับขู่กรรโชกมาตลอด

หยวนหลินหน้าซีดขาวเล็กน้อย เขามองกระบี่ยาวขาวหิมะนั้นในมือหนิงอี้ แกนกระบี่บาง จุดประกายแสงสว่างแสบตาขึ้นช้าๆ หิมะบนถนนขยับไหวเองแม้ไร้สายลม เริ่มวนเวียนรอบหนิงอี้ไม่หยุด

นี่มันเจตจำนงกระบี่อะไร

เขานึกถึงกระบี่นั้นที่ผ่าประตูจวนก่อนหน้านี้ ไม่มีเค้าลางใดๆ เลย หากหนิงอี้ออกกระบี่เช่นนี้จะเกิดผลแบบใด นี่เป็นคนบ้า ไม่เกรงกลัวกฎเมืองหลวง ทุบตีก่วนชิงผิงบนถนนนิมิตชาด ยั่วยุคุณชายคราม ตอนนี้ก็อาจจะทำเรื่องบ้าๆ ออกมาได้อีก

“เป็นความคิดโง่ๆ ของคุณชายครามล่ะสิ”

หนิงอี้ถือพินิจเหมันต์ ก้าวข้ามประตูจวนเจ้าลัทธิ มองคนจวนขานฟ้าทุกคนจากเบื้องบน

ปราณกระบี่ผลุบๆ โผล่ๆ

พายุก่อตัว

หนิงอี้ยิ้มเผยฟัน “ข้าเคยบอกแล้วว่าจะไปเยือนจวนภูเขาคราม ดูท่าวันนั้นคงอีกไม่นานแล้ว ให้เขารออยู่เฉยๆ เถอะ อย่าได้รีบร้อนเช่นนี้”

ปราณกระบี่พลันหายไป หินที่กดอยู่ในใจคุณชายน้อยจวนขานฟ้าสองคนหายไป ทุกคนพ่นลมหายใจยาว

หนิงอี้ยิ้มเล็กน้อย “ส่วนพวกเจ้า ยินดีขวางอยู่ที่นี่ ไม่กลัวขายหน้า เช่นนั้นก็ตามใจ จวนของข้าไม่มีอะไรพิเศษ มีเพียง ‘ค่ายกล’ ที่ดีมาก โดยเฉพาะค่ายกลกั้นเสียง วางไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม ต่อให้พวกเจ้าตีกลองตีฆ้องข้างนอก เสียงดังไปเกือบสามถนน ในจวนก็ไม่ได้ยินอะไรเลย”

ตอนเอ่ยคำนี้ หนิงอี้เน้นหนักคำว่า ‘ค่ายกล’

แขกคนนั้นที่มาเยี่ยมจวนภูเขาครามครั้งก่อน จนถึงตอนนี้ยังตรวจสอบได้ไม่แน่ชัด หลายคนสงสัยว่าเป็นหนิงอี้ แล้วแขกคนนั้นยังเป็นปรมาจารย์ค่ายกล

หนิงอี้พูดจบก็ไม่สนใจคนจวนขานฟ้าอีก แต่เรียกนักพรตชุดคลุมหยาบว่าไม่ต้องยืนนอกจวนอีก ให้เข้าไปพักด้วยกันในลานบ้าน ในจวนมีห้องว่างสองห้อง นักพรตทั้งสองไม่ต้องกลับหอยอดวิสุทธ์ได้ อยู่ในจวนแห่งนี้ได้ตลอด

หยวนหลินโกรธจัดแต่กลับยิ้ม มองร่างเงาที่ทำอะไรไม่เหลือจุดยืนไว้ให้คนอื่นนั้น พลางกัดฟันเค้นออกมาสองสามคำ

“หนิงอี้ ดี ดี…”

“ดีอะไร” หนิงอี้เหมือนตื่นเพราะเสียงเขา จึงถือพินิจเหมันต์เดินกลับมาใหม่ รอยยิ้มที่เดิมทีทักทายนักพรตชุดคลุมหยาบพลันหายไป เปลี่ยนเป็นใบหน้าถมึงทึง ปราณกระบี่อัดแน่นไปทั้งถนนเส้นนี้อีกครั้ง

หนิงอี้มีสีหน้าคับแค้นใจ

มีเสียงเด็กสาวดังในความคิดเขา

กำกระบี่นี้ไว้ในมือแน่น ไม่ใช่แค่มีเจตจำนงกระบี่ของตน แต่ยังมีเด็กสาวช่วยอยู่ในจวน

ภายในลานบ้าน เผยฝานกดนิ้วหนึ่งตรงระหว่างคิ้ว แสงสว่างไร้รูปของกระบี่ซ่อนพลันแผ่ออกมา

สิงโตหินสองตัวไกลออกไป กรงเล็บที่เกาะฐานระเบิดกระจายภายใต้ปราณกระบี่

ริมถนน กำแพงหินทั้งหมดเกิดเสียงดังกึกๆ

สถานการณ์อึมครึมนี้เหมือนพญายมออกมาจากขุมนรก ปราณกระบี่มหาศาลและทรงพลัง รุนแรงกว่าก่อนหน้านี้มาก

หยวนหลินถึงกับตกใจกับปราณกระบี่มหาศาลเช่นนี้ ยิ่งหนิงอี้เข้ามาใกล้ เขาก็เริ่มถอยไปทีละก้าว จนชิดกับกำแพงโดยไม่รู้ตัว แตะเล็กน้อย กำแพงข้างหลังก็แตกร้าวเป็นใยแมงมุม

เขามองเด็กหนุ่มหน้าดำมืดด้วยความหวาดกลัว ใจนึกนักกระบี่น่ากลัวอะไรเช่นนี้

แค่ปราณกระบี่ก็ทำได้ถึงขนาดนี้…เกรงว่าคงตัดสินสูงต่ำกับเยี่ยหงฝูกับเฉาหลันได้จริงๆ

นี่จะทำอะไร…

หรือจะฆ่ากันจริงๆ…

หยวนหลินหน้าซีดขาว เห็นหนิงอี้ยื่นมือมาข้างหนึ่ง หงายมือขึ้น กระดิกนิ้ว

เด็กสาวเผยฝานในลานบ้าน มือที่กดระหว่างคิ้วออกแรงอีกเล็กน้อย ถนนเล็กเกิดเมฆลมขึ้น

หนิงอี้พูดเสียงเบา

“ชดใช้ ค่าประตู”

……………………………