ตอนที่ 104 เปลี่ยนความคิด

ตอนที่ 104 เปลี่ยนความคิด

ทันทีที่ถานเล่อเวยได้ยินคำพูดของหมอเลี่ยว ใบหน้าก็ถอดสี

หล่อนเพิ่งสงสัยว่าฉินมู่หลานขโมยผลงานความสำเร็จของหมอเลี่ยว คิดไม่ถึงว่าหมอเลี่ยวจะมาเชื้อเชิญฉินมู่หลานให้ไปตรวจดูผู้ป่วยด้วยตัวเอง

ทักษะการแพทย์ของผู้หญิงคนนี้ดีจริงอย่างนั้นหรือ

และในตอนนั้นเอง เวินโหย่วเหลียงก็มองฉินมู่หลานและลูกสาวของตนด้วยความสงสัยและเอ่ยถาม “ทำไมพวกลูกถึงมาอยู่ที่นี่กันล่ะ เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

ไม่รอให้ฉินมู่หลานพูด เวินเนี่ยนอันก็อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นโดยคร่าวๆ หลังจากนั้นก็พูดว่า “พ่อ หล่อนไม่ได้แค่สงสัยเรื่องฝีมือการรักษาของพี่สะใภ้นะ แต่ยังจะผลักพี่สะใภ้ด้วย”

เวินโหย่วเหลียงได้ยินคำพูดของลูกสาวแล้วก็มีสีหน้ามืดครึ้มทะมึนในทันที หากลูกสาวมาช่วยไม่ทัน เช่นนั้นภรรยาของอาหลี่คงตกอยู่ในอันตรายไปแล้ว ฉินมู่หลานเพิ่งตั้งครรภ์ได้ไม่นาน หากถูกผลักจนล้มลงจะมีโอกาสเสี่ยงแท้งสูงมาก ถึงตอนนั้นเขาคงหาคำอธิบายกับอาหลี่ไม่ได้

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็นึกเสียใจอย่างสุดซึ้งขึ้นมา

ก่อนหน้านี้เขาแอบคิดว่าเรื่องที่เซี่ยเจ๋อหลี่อยากโยกย้ายถานเล่อเวยออกไปนั้นค่อนข้างยุ่งยาก แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ช่วยทำเช่นนั้น หากรู้เรื่องเร็วกว่านี้ เขาคงอาศัยเส้นสายแล้วย้ายตัวถานเล่อเวยออกไปโดยเร็วที่สุด

หมอเลี่ยวที่ยืนอยู่ข้างกันได้ยินคำพูดนั้นเช่นกัน เขาหันมองถานเล่อเวยด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเอ่ยขึ้น “คุณคิดว่าตัวเองดีพอให้สงสัยเรื่องความสามารถของคนอื่นอย่างนั้นเหรอ ตอนนี้ผมขอบอกต่อหน้าทุกคนเลยว่าผมไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บที่ขาของสหายเซี่ยเจ๋อหลี่ได้ แต่หมอฉินกลับรักษาจนหายได้ เป็นเพราะหล่อนมีฝีมือการรักษาเหนือชั้นกว่าผม เพราะฉะนั้นหล่อนไม่ได้ขโมยความผลงานของผมหรืออะไรทั้งนั้น”

“ว้าว…”

เมื่อได้ฟังคำพูดของหมอเลี่ยว รอบตัวก็ตกอยู่ในความโกลาหล แม้พวกเขาจะเคยได้ยินว่าทักษะการแพทย์ของฉินมู่หลานดีมากมาก่อน แต่ก็รู้สึกตกใจนิดหน่อยเมื่อได้ยินหมอเลี่ยวเอ่ยยอมรับด้วยตัวเอง กลายเป็นว่าข่าวลือเป็นเรื่องจริง ภรรยาของหัวหน้าเซี่ยช่างเก่งกาจเหลือเกิน

ฉินมู่หลานไม่คิดว่าหมอเลี่ยวจะเอ่ยออกมาตรง ๆ ทันใดนั้นจึงรู้สึกเขินอายขึ้นมานิดหน่อย เมื่อนึกถึงคำพูดที่หมอเลี่ยวเอ่ยถามก่อนหน้านี้ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะพยักหน้ายอมรับ

“หมอเลี่ยวคะ รอฉันกินข้าวเสร็จก่อน แล้วจะไปดูกับคุณนะคะ”

เมื่อเห็นว่าฉินมู่หลานยอมตกลง หมอเลี่ยวก็เอ่ยอย่างมีความสุข “จริงเหรอครับ ดีมากเลย ถ้าอย่างนั้นคุณรีบกินเถอะครับ ผมจะรอคุณอยู่แถวนี้”

เวินโหย่วเหลียงได้ยิน จึงรีบเอ่ย “หมอเลี่ยวครับ พวกเราก็มากินข้าวกันสักหน่อยเถอะ ไม่อย่างนั้นคุณคงทำอะไรได้ไม่ง่ายนักหากท้องยังหิว”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น หมอเลี่ยวก็คิดว่ามีเหตุผล สุดท้ายจึงตามเวินโหย่วเหลียงไปทานข้าว

หลังจากฉินมู่หลานและหมอเลี่ยวจากไปแล้ว ทุกคนรอบข้างก็รวมตัวกันพูดคุย

“พระเจ้า กลายเป็นว่าฝีมือการรักษาของหมอฉินดีจริง แม้แต่หมอเลี่ยวก็ยังเทียบไม่ได้”

“ใช่แล้ว ฉันเกือบจะคล้อยตามคำพูดของถานเล่อเวยเพราะคิดว่าหมอฉินยังอายุน้อยอยู่ บางทีฝีมือการรักษาอาจจะยังไม่สูงปานนั้น โชคดีที่หมอเลี่ยวมาที่นี่ ไม่อย่างนั้นคงคล้อยตามหล่อนไปแล้ว”

เมื่อเอ่ยเรื่องนี้ขึ้น คนอื่นก็พากันรู้สึกโกรธ

“ถานเล่อเวยนี่ทำไมถึงคอยแต่จะสร้างปัญหาให้พี่สะใภ้นักนะ ทำไมหล่อนถึงยังกล้ามาสู้หน้าพี่สะใภ้อีก”

“ใช่ ทำไมถึงหน้าด้านจังนะ”

ถานเล่อเวยได้ยินสิ่งที่คนรอบตัวพูดอยู่แล้ว ในตอนนี้หล่อนไม่มีอารมณ์คิดกินข้าวเสียด้วยซ้ำ ก่อนจะปิดหน้าปิดตาแล้ววิ่งหนีไป

เฉินเฉี่ยวเซียงเห็นดังนั้นจึงวิ่งตามไปด้วยเช่นกัน

อีกด้านหนึ่ง ฉินมู่หลานกับเวินเนี่ยนอันนั่งอยู่ด้วยกัน พร้อมกับหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่เพิ่งเป็นพยานปากสำคัญในการกล่าวหาของถานเล่อเวย

“สวัสดีค่ะพี่สะใภ้ ฉํนชื่อเจียงลวี่ฉิว สามีของฉันชื่อติงจ้วง เป็นคนในสังกัดของหัวหน้าเซี่ยค่ะ”

ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนั้น จึงมองเจียงลวี่ฉิวพร้อมรอยยิ้มแล้วพูดขึ้น “ถึงอย่างไรก็ต้องขอบคุณเธอมากเลยนะ”

“ฮ่าๆ ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ เป็นสิ่งที่ควรทำทั้งนั้น นอกจากนี้พวกเราก็ไม่ชอบถานเล่อเวยมานานแล้ว หล่อนคอยจับตาดูอยู่ห่าง ๆ แล้วเหยียดทุกคนเหมือนว่าตัวเองสูงส่งปานนางฟ้าอย่างนั้น”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ฉินมู่หลานก็อดที่จะหัวเราะเสียไม่ได้ เหมือนว่าถานเล่อเวยจะนิสัยไม่ค่อยดี จึงไม่ได้เป็นที่รักในหมู่ผู้คน แต่เมื่อคิดว่าจะต้องไปที่โรงพยาบาลทหาร ฉินมู่หลานจึงรีบเร่งกินข้าวให้เร็วขึ้น

หลังจากที่ฉินมู่หลานกินเสร็จ หมอเลี่ยวที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ทานเสร็จเรียบร้อยแล้ว “หมอฉินครับ ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปกันเลยไหม”โนเวลพีดีเอฟ

“ค่ะ”

ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้า หลังจากนั้นก็หันมองเวินเนี่ยนอันที่อยู่ข้างกัน “สหายเวิน ฉันต้องไปโรงพยาบาลทหารกับหมอเลี่ยวก่อน ถ้าเธอเจอเซี่ยเจ๋อหลี่ก็ฝากบอกเขาหน่อยนะ เผื่อว่าเขาจะเป็นห่วง”

“พี่สะใภ้วางใจได้เลย เดี๋ยวฉันบอกเซี่ยเจ๋อหลี่ให้”

แม้แต่เวินโหย่วเหลียงก็เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “มู่หลาน เดี๋ยวพวกเราบอกอาหลี่ให้อยู่แล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นหลังจากเขาฝึกเสร็จแล้วไม่เจอเธอ คงเป็นกังวลแน่” หลังจากพูดจบ เขาก็เตรียมใจเอาไว้แล้วว่าจะพูดคุยตกลงกับเซี่ยเจ๋อหลี่

ฉินมู่หลานได้ยินจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม หลังจากนั้นก็กลับไปที่บ้านเพื่อเตรียมตัวให้พร้อม แล้วออกไปกับหมอเลี่ยว

เมื่อทั้งสองมาถึงโรงพยาบาลแล้ว หมอเลี่ยวก็รีบพาฉินมู่หลานขึ้นไปที่วอร์ดผู้ป่วยทันที ขณะเดียวกันเขาก็นำแฟ้มเวชระเบียนมาให้ดู ก่อนจะเอ่ยขึ้น “หมอฉิน คนไข้คนนี้ได้รับบาดเจ็บที่ขาซ้าย อาการบาดเจ็บสาหัส ทางโรงพยาบาลของเราจึงไม่สามารถรับประกันได้ว่าขาซ้ายของเขาจะหายขาดอย่างสมบูรณ์ นั่นเป็นเหตุผลที่ขอให้คุณมาดู”

ฉินมู่หลานดูบันทึกเวชระเบียนอาการบาดเจ็บของหมอเลี่ยว จึงพอทราบอาการของผู้ป่วยรายนี้ได้อย่างคร่าว ๆ

“หมอเลี่ยวคะ ฉันเองก็ยังรับประกันไม่ได้ค่ะว่าจะรักษาคนไข้รายนี้ได้ อาการจะเป็นอย่างไรต้องขึ้นอยู่กับว่าเขาบาดเจ็บสาหัสมาแค่ไหนด้วยค่ะ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หมอเลี่ยวก็รีบพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “หมอฉินวางใจครับ เราทุกคนต่างทราบดี”

หลังจากที่ทั้งสองเข้าไปในวอร์ดแล้ว ฉินมู่หลานก็เห็นคนไข้หนุ่มที่ว่ากำลังนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล เขามีอายุใกล้เคียงกับเซี่ยเจ๋อหลี่ หน้าตาหล่อเหลามาก

ชายคนนั้นเห็นหมอเลี่ยวพาสาวสวยคนหนึ่งเข้ามา สีหน้าก็ดูสับสนนิดหน่อย

หมอเลี่ยวจึงเอ่ยปากขึ้นเป็นคนแรก “สหายเจียง ผู้นี้คือหมอฉิน ตอนนี้ผมจะให้หล่อนช่วยตรวจอาการบาดเจ็บของคุณครับ”

เจียงเฉิงเหลือบมองฉินมู่หลานอย่างสงสัย ก่อนจะพูดขึ้น “ถึงคุณจะเป็นหมอ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมาเสียเวลาหรอก ขาซ้ายของผมตอนนี้คงรักษาไม่ได้แล้ว”

หลังจากพูดจบ สีหน้าของเขาก็ดูขื่นขม สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครอยากจะพิการ หลังออกจากโรงพยาบาลไปครั้งนี้ เขาคงต้องคิดเรื่องเปลี่ยนสายอาชีพ คงไม่สามารถทำงานที่เขารักได้อีกต่อไปแล้ว

เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น สีหน้าของเจียงเฉิงก็กลับมาหม่นหมองอีกครั้ง

ฉินมู่หลานเมินคำพูดของเจียงเฉิง เธอก้าวเดินตรงไปข้างหน้า แล้วเริ่มจับชีพจรดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

เจียงเฉิงเห็นดังนั้น จึงทราบว่าฉินมู่หลานเป็นแพทย์แผนจีน ทว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ศาสตร์แพทย์แผนจีนจะไปมีประโยชน์อะไรกัน

ฉินมู่หลานจับชีพจรของเขา จากนั้นก็ตรวจดูขาซ้ายของเจียงเฉิง แล้วจึงหันไปมองหมอเลี่ยวแล้วพูดขึ้นว่า “รีบเตรียมห้องผ่าตัดเลยค่ะ ถ้าโชคดี ก็ยังพอมีหวังอยู่”

ได้ยินเช่นนั้น หมอเลี่ยวก็ดูตื่นเต้นขึ้นมา “หมอฉิน ตอนนี้เราไปที่ห้องผ่าตัดกันได้เลยครับ ทางนี้เตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว”

ฉินมู่หลานเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ จากนั้นจึงกล่าวขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็ดีค่ะ ไปตอนนี้เลย”

ขณะที่ฉินมู่หลานกำลังยุ่ง เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ทราบข่าวว่าวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่โรงอาหาร เพียงคิดว่ามู่หลานเกือบจะได้รับอันตราย เขาก็รู้สึกเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้

เวินโหย่วเหลียงเห็นสีหน้ายับยู่ของเซี่ยเจ๋อหลี่ จึงรีบเอ่ยปากพูดทันที “อาหลี่ ฉันเข้าใจว่านายคงโกรธมาก แต่ห้ามทำอะไรหุนหันพลันแล่นเด็ดขาด ฉันคิดว่าความคิดนายก่อนหน้าที่เสนอมาค่อนข้างดีเลยนะ พวกเรารีบย้ายถานเล่อเวยออกไปก็พอ”

เซี่ยเจ๋อหลี่รู้สึกว่าการไล่ออกไปที่อื่นนั้นดูไม่เพียงพอ

“ผบ.ครับ แบบนี้มันน้อยไปสำหรับถานเล่อเวยหรือเปล่า ถ้าเราย้ายหล่อนไปที่อื่น หล่อนก็ยังเฉิดฉายในคณะสันทนาการต่อไปได้อีก”

เวินโหย่วเหลียงได้ยินสิ่งนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะถาม “ถ้าอย่างนั้นนายจะทำยังไง?”

“แค่ให้หล่อนออกจากคณะสันทนาการ แล้วอย่าให้ได้เข้าร่วมคณะไหนอีก”

…………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ยัยถานเตรียมหมดอนาคตได้เลย พี่หลี่เอาจริงขึ้นมาแล้ว

ไหหม่า(海馬)