บทที่ 86.2 พาไก่เดินเล่น (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

เรื่องที่เซียวลิ่วหลังสอบได้เป็นซิ่วไฉถูกแพร่ออกไปทั่วหลายต่อหลายหมู่บ้านภายในเวลารวดเร็ว ตระกูลใหญ่ในหมู่บ้านอย่างตระกูลกู้ย่อมได้ยินข่าวแน่นอนเช่นกัน

พวกเขาไม่เคยคิดไม่เคยฝันเลยจริงๆ ว่าเซียวลิ่วหลังจะสอบได้ที่หนึ่งติดต่อกันถึงสองสนาม แถมสุดท้ายยังเป็นบัณฑิตผู้ได้รับทุนอีกต่างหาก

บัณฑิตไม่เอาถ่านที่แทบจะสอบไม่ติดสำนักบัณฑิตเทียนเซียงแท้ๆ เหตุใดถึงได้เป็นบัณฑิตผู้ได้รับทุนเช่นเดียวกับกู้ต้าซุ่น

ทั้งๆ ที่เป็นบัณฑิตทุนเหมือนกัน แต่เห็นได้ชัดว่าเซียวลิ่วหลังนั้นเหนือชั้นกว่า ไม่อย่างนั้นข้าวสารที่ส่งมาให้เซียวลิ่วหลังจะเป็นข้าวชั้นดีกว่าที่กู้ต้าซุ่นได้รับได้อย่างไร

“ได้ที่หนึ่งถึงสองสนาม อีกสนามเดียวก็จะได้เป็นเสี่ยวซานหยวนแล้ว” กู้ฉังลู่เอ่ยอย่างอิจฉาริษยาบนโต๊ะอาหาร

เขาไม่ชอบเรียนหนังสือมาแต่ไหนแต่ไรเองมิใช่หรือ

ไม่ใช่

นั่นเป็นเพราะเขาเรียนไม่เข้าหัวต่างหาก จากนั้นเขาก็มีลูกชายสองคน หมายมั่นปั้นมือว่าจะส่งเสียให้เขาเรียนหนังสือ แต่คนใฝ่เรียนนั้นทางบ้านกลับไม่มีปัญญาส่ง ส่วนคนที่เข้าเรียนโดยไม่ต้องเสียตังสักแดงกลับเป็นกู้เสี่ยวซุ่นที่ไม่เอาไหน

คนตระกูลกู้หารู้ไม่ว่า ไม่ใช่เพราะเซียวลิ่วหลังสอบเป็นเสี่ยวซานหยวนไม่ได้ แต่เขาเป็นคนโยนตำแหน่งเสี่ยวซานหยวนทิ้งเอง

คนทั้งโต๊ะต่างสีหน้าไม่สู้ดีนัก

และคนที่สีหน้าย่ำแย่ที่สุดคือกู้ต้าซุ่น

เซียวลิ่วหลังที่ตนเองดูถูกดูแคลนมาตลอด จู่ๆ กลับพลิกตัวเองขึ้นมาอยู่เหนือหัวเขา กู้ต้าซุ่นโกรธจนแทบหายใจไม่ทัน “ได้เจ้าสำนักหลีเป็นคนชี้แนะเขาเป็นการส่วนตัว แน่นอนย่อมก้าวหน้าขึ้นมาก เดือนก่อนการสอบระดับตำบล ข้าเห็นเจ้าสำนักหลีเรียกเขาไปที่หอจงเจิ้งทุกวัน”

เขาไม่เชื่อว่าเซี่ยวลิ่วหลังจะเก่งกาจขนาดนั้นด้วยความสามารถของตนเอง หากวัดด้วยความสามารถเพียงอย่างเดียว เซียวลิ่วหลังเทียบเขาไม่ได้อยู่แล้ว หากคนที่เจ้าสำนักหลีชี้แนะเป็นการส่วนตัวคือเขา เขาย่อมสอบได้คะแนนดีกว่าเซียวลิ่วหลังแน่นอน

ว่ากันตามตรง เขาแพ้เพราะไม่มีคนคอยอุ้มชูต่างหาก

หากเป็นแต่ก่อน คนตระกูลกู้คงจิกกัดเซียวลิ่วหลังสักสองสามประโยค แต่คืนวันนี้ทุกคนกลับไม่พูดต่อความยาวสาวความยืดแต่อย่างใด

นั่นทำให้กู้ต้าซุ่นหงุดหงิดจนคิ้วกระตุก

ช่วงที่ผ่านมานี้เขารู้สึกว่าบรรยากาศภายในบ้านแตกต่างจากแต่ก่อน ทุกคนท่าทางราวกับมีอะไรหนักอึ้งอยู่ในใจ ยกเว้นเสียแต่กู้เสี่ยวซุ่น

หากเขารู้สึกเช่นนั้นก็คงมิใช่เรื่องแปลก หลังจากที่ตระกูลล้มเหลวไม่เป็นท่ากับการตีสนิทชิดเชื้อกับตระกูลเศรษฐีของท่านโหว และเรื่องราวความจริงเกี่ยวกับกู้เจียวที่ถูกเปิดเผย

ท่านโหวกู้ไม่ได้ใช้วิธีการสืบสวนใด เพียงแค่ให้หวงจงถามไถ่เรื่องราวตั้งแต่ราวตั้งแต่เล็กจนโตของกู้เจียวจากคนทั้งหมู่บ้านจนรู้แจ่มแจ้ง

นางคือเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของท่านโหว แต่กลับถูกรังแกเสียขนาดนั้น นั่นไม่เท่ากับว่าลูบคมท่านโหวกู้หรอกหรือ

ท่านโหวกู้เดือดดาลมากเพียงใดไม่ต้องบอกก็รู้

หากไม่เห็นแก่กู้จิ่นอวี้และฮูหยินสามของตระกูลกู้ ท่านโหวกู้คงจับคนทั้งตระกูลมาโบยจนหลังหักตั้งนานแล้ว!

โทษประหารยังพอรอดพ้นได้ แต่โทษยามมีชีวิตอยู่นั้นยากจะหลีกหนี

ชีวิตนายอากรของนายใหญ่กู้นั้นจบสิ้นแล้ว

นี่คือเรื่องที่นายใหญ่กู้รู้สึกอดสูที่สุดในชีวิต ไปดื่มเหล้าที่สโมรส พอกลับมาตำแหน่งก็หายไปเสียแล้ว แถมยังเป็นเพราะฝีมือของแม่และลูกเมียตัวเอง

ส่วนฝั่งกู้จิ่นอวี้ ท่านโหวกู้ต้องการให้ตระกูลกู้สละสิทธิเลี้ยงดูในตัวกู้จิ่นอวี้ ทั้งยังให้สาบานว่าชาตินี้จะไม่โผล่หน้ามาให้กู้จิ่นอวี้เห็นอีก

นอกจากนี้ ท่านโหวกู้ยังสั่งให้พวกเขารูดปากให้สนิท อย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปแม้แต่คำเดียว

เพราะเหตุนั้นคนตระกูลกู้จึงปิดบังเรื่องนี้แม้แต่กับกู้ต้าซุ่นและกู้เสี่ยวซุ่น

กู้เอ้อร์ซุ่นบังเอิญแอบได้ยินเข้าบ้างเล็กน้อย จึงได้รู้ว่ากู้เจียวอาจเป็นเด็กที่ถูกอุ้มมาผิดตัว แต่นอกเหนือจากนั้นเขาเองก็ไม่รู้แล้ว

นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้บรรยากาศกระอักกระอ่วนเช่นนี้ แต่เหตุผลที่สองเป็นเพราะยามนี้หญิงสาวในบ้านขึ้นมากินข้าวร่วมโต๊ะ

กู้ต้าซุ่นไม่ชินเลยสักนิด

กู้ต้าซุ่นเหลือบมองกู้เย่ว์เอ๋อน้องสาวแท้ๆ ของตน ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้บางอย่างแล้วเอ่ยขึ้นว่า “กู้เจียวช่างมีวาสนาแท้ ได้แต่งงานกับสามีซิ่วไฉ”

น้องสาวของตนก็อายุไม่น้อยแล้ว ว่ากันตามหลักก็ถึงเวลาที่ต้องออกเรือนแล้ว หากได้แต่งงานกับคนดี ก็คงช่วยเหลือเขาได้มาก

กู้เย่ว์เอ๋อนั่งนิ่งกินข้าวไม่พูดไม่จา

ทุกคนคิดในใจ คนที่มีวาสนาคือกู้เจียวหรือ เห็นชัดๆ ว่าเป็นเจ้าเซียวลิ่วหลังนั่นต่างหาก! เขารู้หรือไม่ว่าตัวเองแต่งงานกับใคร ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของท่านโหวอย่างไรเล่า!

นี่มันโชคหล่นทับจากสวรรค์ชัดๆ!

จะว่าไปแล้วการแต่งงานครั้งนี้เป็นพวกเขาที่พลาดท่าเอง หากรู้แต่แรกว่านางตัวดีนั่นเป็นใครมาจากไหน พวกเขาคงไม่ยอมให้นางแต่งงานออกเรือน!

หากนางยังอยู่เป็นต้นเงินต้นทองที่บ้าน ไม่รู้ว่าจะเรียกความดีความชอบจากท่านโหวกู้ได้มากแค่ไหน!

ตระกูลกู้ล้มสะบักสะบอม แต่จะทำอย่างไรได้เล่า นางตัวดีนั่นไม่ได้ปัญญาอ่อนที่จะจมูกได้ง่ายๆ เหมือนแต่ก่อนแล้ว หากพวกเขาคิดจะผูกมิตรอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป

แม่นางอู๋ส่งสายตาให้แม่นางหลิว ในนางคีบเนื้อชิ้นโตในชาม

นั่นคือเนื้อชิ้นทั้งชิ้น แต่ละชิ้นล้วนแต่หั่นเป็นแผ่นหนา แทรกชั้นไขมันไหลเยิ้ม หากเป็นแต่ก่อนคงมีแต่กู้ต้าซุ่นที่ได้กิน

แม้นางหลิวกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะคีบเนื้อชิ้นหนาขึ้นมา เดิมที่หมายจะคีบใส่ชามของกู้เอ้อซุ่น เพียงแต่สายตาแหลมดุจคมมีดจับจ้องนางอยู่ นางจึงรีบวางเนื้อชิ้นนั่นลงในชามของกู้เสี่ยวซุ่น

กู้เสี่ยวซุ่นมองแม่ของตัวเองด้วยความฉงน “ทำอะไรของท่าน”

แม่นางหลิวเอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม “นานทีกว่าเจ้าจะกลับมาสักหน กินเยอะหน่อยสิ!”

ช่วงที่ผ่านมากู้เสี่ยวซุ่นพักอยู่ที่สำนักบัณฑิตตลอด วันนี้กู้ต้าซุ่นเพิ่งจะชวนเขากลับมา

กู้ต้าซุ่นไม่ได้เต็มใจชวนเขากลับมานัก แต่เป็นเพราะท่านพ่อออกปากเอง กู้ต้าซุ่นเองจึงหมดหนทาง

กู้เสี่ยวซุ่นมองชิ้นเนื้อในชาม ก่อนจะกินอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน

กู้เอ้อร์ซุ่นน้ำลายสออย่างอดไม่ได้

กู้ต้าซุ่นขมวดคิ้วมุ่น

ส่วนคนในบ้านคนอื่นกลับแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แม่นางหลิวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวซุ่นเอ๋ย เจ้ากลับมาแล้วยังไม่ได้ไปที่เรือนพี่สาวเจ้าใช่หรือไม่”

กู้เสี่ยวซุ่นถาม “ทำไมหรือ”

แม่นางหลิวยิ้มเย้ย “พี่สาวเจ้าดีกับเจ้าขนาดนั้น เจ้ากลับมาแล้วเหตุใดจึงไม่แวะไปเยี่ยมนางสักหน่อย”

กู้เสี่ยวซุ่น “อืม”

อ้อมค้อมไม่เข้าเรื่องเสียที แม่นางอู๋และสะใภ้ใหญ่ร้อนรนจนทนไม่ไหวแล้ว

กู้ฉังไห่เอ่ย “เสี่ยวซุ่น ลุงเตรียมใบชาชั้นดีไว้ให้โถหนึ่ง กับแม่ไก่สองตัว ประเดี๋ยวจะเอาไปให้พี่สาวเจ้าพร้อมกับเจ้า”

กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ย “ข้าไปเองก็ได้ ท่านจะไปทำไมหรือ”

ข้ากลัวว่าเจ้าจะหอบไปไม่ไหว พอใจหรือยัง!

กู้ฉังไห่โมโหกู้เสี่ยวซุ่นจะแทบจะชักดิ้นชักงอ กู้เสี่ยวซุ่นจะปัญญาทึบไปถึงไหน พูดอ้อมค้อมเช่นนี้ยังไม่เข้าใจอีกหรือ

กู้ฉังไห่พูดออกไปตามตรง “คนบ้านเดียวกันไม่ผิดใจกันข้ามคืน แต่ก่อนพวกเราทำผิด วันนี้พวกเราอยากจะชดเชยให้พี่เจ้า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเราทั้งครอบครัวจะอยู่กันอย่างเป็นสุข”

ท่านโหวกู้ห้ามพวกเขาไม่ให้เข้าใกล้กู้จิ่นอวี้เท่านั้น แต่ไม่ได้ห้ามพวกเขาเข้าใกล้กู้เจียวเสียหน่อย ขอเพียงแค่พวกเขาไม่บอกความจริงกับกู้เจียวก็พอ

ท่านโหวกู้หมายความว่าอย่างไร พวกเขาพอจะเดาออก คงกลัวว่ากู้เจียวจะรับไม่ไหวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เพราะอย่างนั้นจึงมีหนทางเดียว พวกเขาจึงต้องซ่อมแซมความสัมพันธ์กับกู้เจียวก่อนที่พ่อลูกจะได้รู้จักกัน แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว!

“พวกท่านรู้ว่าตอนนี้พี่เขยสอบได้เป็นซิ่วไฉแล้ว ถึงได้อยากไปผูกมิตรกับเขาใช่หรือไม่” กู้เสี่ยวซุ่นวางตะเกียบลงบนโต๊ะด้วยท่าทางสงบนิ่ง “ของอยู่ที่ใด”

ประโยคแรกนั้นพาให้ทุกคนขมวดคิ้วมุ่น แต่ประโยคหลักกลับทำให้พวกเขารู้สึกมีหวังขึ้นบ้าง!

กู้ฉังไห่รีบบอกกับแม่นางโจว “รีบไปเอาของมา!”

แม่นางโจวไม่กล้าแม้แต่จะโอ้เอ้ รีบไปเข้าไปให้เพื่อนำใบชาที่ใช้เงินก้อนโตซื้อมา พร้อมกับแม่ไก่ที่สองตัวที่อ้วนที่สุดบ้านออกมา

กู้เสี่ยวซุ่นวางตะเกียบลง หยิบของแล้วเดินออกไปข้างนอก

กู้ฉังไห่ยื่นมือออกไป “เฮ้ย! รอข้าด้วย!”

รอท่านก็บ้าแล้ว!

พวกท่านติดค้างท่านพี่ของข้า!

จะไสหัวไปไหนก็ไป!

กู้เสี่ยวซุ่นวิ่งสุดชีวิต พริบตาเดี๋ยวมาถึงบ้านของพี่สาวตน ก่อนจะปิดประตูดังปัง!

กู้ฉังไห่ที่ถูกประตูปิดใส่หน้าเลือดกำเดาไหลโชก “…!!”

เลือดเนื้อที่กู้ฉังไห่เสียไปกับใบชาและแม่ไก่นั้นสูญค่าไปในพริบตา เขาไม่กล้าอาละวาด จนปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไร

กู้ฉังไห่พยายามเคาะประตู เคาะอยู่นานสองนาน แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครสนใจ เขาจึงจำใจกัดฟันเดินกลับไป

กู้เจียวทำกับข้าวอยู่ในครัว

“ท่านพี่ ท่านพี่ ท่านพี่” กู้เสี่ยวซุ่นไม่ได้กลับหมู่บ้านมานาน คิดถึงพี่สาวของตนจับใจ จึงมุ่งตรงเข้าไปในครัวเพื่อทักทายนางเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นถึงได้ไปหาเซียวลิ่วหลังกับหญิงชรา

เซียวลิ่วหลังให้มีดแกะสลักที่ซื้อมาจากเฉิงผิงแก่เขา กู้เสี่ยวซุ่นถูกใจยิ่งนัก เอาแต่มองมีดเล่มนั้นไม่วางตา

มีดจะดีหรือไม่อยู่ที่ฝีมือช่าง เหมือนกับกระบี่อยู่ที่มือกระบี่นั่นแล ของขวัญชั้นดีเช่นนี้เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม

นานวันเข้ากู้เสี่ยวซุ่นก็ยิ่งรู้สึกว่าพี่เขยของเขานั้นช่างดีเหลือเกิน

กู้เสี่ยวซุ่นกำลังสนุกกับมีดเล่มน้อย จู่ๆ ก็ถูกหญิงชราเรียกเข้าไปในบ้าน

หญิงชรากวักมือเรียกเขาอย่างหน้าชื่นตาบาน “เสี่ยวซุ่นมานี่เร็ว มาชิมลูกหยางเหมยเชื่อมตากแห้งที่ลิ่วหลังให้ข้า!”

กู้เสี่ยวซุ่นกะพริบตาปริบๆ “เหตุใดวันนี้ท่านย่าถึงได้มีน้ำใจนัก”

ทุกวันนี้แค่ขอกินผลไม้แช่อิ่มจากนางสักผลยังยากเสียยิ่งกว่าอะไรดี!

“…”

“ให้เจ้า” หญิงชราล้วงอยู่นานสองนาน ก่อนจะหยิบผลที่เล็กที่สุดให้เขา

กู้เสี่ยซุ่นไม่ใช่คนเลือกกิน โยนมันเข้าปากภายในคำเดียว

วินาทีถัดมา เขาก็ได้เห็นหญิงชราค่อยๆ นับ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด ลูกหยางเหมยเชื่อมตากแห้งลูกใหญ่ใส่กลับลงไปในไหใบน้อย พร้อมทั้งตะโกนเสียงดังลั่น “เจียวเจียว! เสี่ยวซุ่นกินหยางเหมยตากแห้งของเจ้าไปแปดลูก!”

“…”

กู้เสี่ยวซุ่นแทบจะสำลักตายคาที่!

เพื่อหยางเหมยตากแห้งไม่กี่ลูก ท่านต้องทำถึงขนาดนี้เชียวหรือ!

กู้เจียวคอยจับตาดูหญิงชรา ไม่ให้นางกินเกินสามลูกต่อวัน วันปีใหม่ถึงจะได้กินห้าลูก แต่นางกลับขโมยทีเดียวเจ็ดลูกเช่นนี้ คิดจะตั้งตัวภายในวันเดียวหรืออย่างไร!

หญิงชราพอใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะโบกมือไล่กู้เสี่ยวซุ่น บอกว่าอยากจะไปทำอะไรก็ทำ

กู้เสี่ยวซุ่นตกตะลึง นี่นางหลอกใช้เขาถึงเพียงนี้เชียวหรือ

เดิมทีกู้เสี่ยวซุ่นตั้งใจว่าจะไปหาเสี่ยวจิ้งคงเสียหน่อย แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าหนูน้อยนั่นออกไปข้างนอก

กู้เสี่ยวซุ่นออกพาไก่ไปเดินเล่น

ตอนแรกเขาแค่พาไปเดินเล่นที่ลานท้ายเรือน นานเข้าก็รู้สึกว่าลานท้ายเรือนยังไม่เพียงพอ จึงพาเจ้าไก่น้อยออกไปเดินเล่นข้างนอก

เส้นทางที่เสี่ยวจิ่งคงพาไก่ไปเดินเล่นคือทางจากบ้านไปยังหน้าหมู่บ้าน จากนั้นก็เดินกลับด้วยเส้นทางเดิม หากพบเจอชาวบ้าน เขาจะทักทายอย่างนอกน้อมเสมอ

แรกเริ่มเดิมทีเหล่าชาวบ้านก็ตกใจไม่น้อย แต่มาวันพวกเขาก็เห็นเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ถึงขั้นว่าเริ่มเอ็นดูเณรน้อยคนนี้เสียด้วยซ้ำ

ไก่บ้านอื่นหากพ้นรั้วบ้านคงวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิง แต่เจ้าไก่น้อยของเขากลับเดินเรียงกันเป็นแถว

“เสี่ยวชี แซงแถวไม่ได้นะ” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ย

ไก่น้อยที่แซงแถวเข้าโค้งขึ้นมาอยู่ที่ห้ากลับมาอยู่ท้ายแถวดังเดิม

เสี่ยวจิ้งคงเดินจูงไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าเรือนตระกูลกู้ นั่นเป็นเส้นทางที่ต้องผ่านไปยังหน้าหมู่บ้าน

เขารู้เรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสองบ้านดี เขาจึงไม่ไปยังบ้านตระกูลกู้ และไม่ทักทายคนบ้านตระกูลกู้

ทว่าวันนี้เขากลับถูกเสียงประหลาดบางอย่างเย้ายวนให้เข้าไป