หญิงชรามองกู้เจียว ก่อนจะหันไปมองเซียวลิ่วหลัง แววตานั้นดูหลงใหลซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้ง
รู้สึกราวกับว่าอีกไม่นานตัวเองก็จะได้อุ้มหลานแล้วกระมัง!
กู้เจียวรีบเบี่ยงประเด็นถามถึงเฝิงหลินในทันใด
เซียวลิ่วหลังเองก็ตอบน้ำเสียงจริงจัง “เขากลับไปที่สำนักบัณฑิตแล้ว ไปอยู่ในตัวเมืองมาตั้งหนึ่งเดือน คงรั้งท้ายไปหลายวิชา”
คราวนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับเฝิงหลิน ความดีของเขา กู้เจียวจะจำเอาไว้
ขณะที่ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่นั้น เหล่าลูกไก่สีเหลืองนวลตัวน้อยก็เดินนวยนาดออกมา
เซียวลิ่วหลังเพิ่งพบว่า ตัวเองจากบ้านไปเกือบเดือน ในเรือนก็เลี้ยงไก่เสียแล้วหรือนี่
กู้เจียวไม่ได้ชอบเลี้ยงไก่สักเท่าไหร่ แต่เป็นเพราะเสี่ยวจิ้งคงบังเอิญไปเห็นลูกไก่ตัวน้อยข้างบ้านก็ถูกใจเสียเหลือเกิน จึงถามกู้เจียวว่าเขาจะขอเลี้ยงสักตัวสองตัวได้หรือไม่
กู้เจียวยอมให้เลี้ยงได้ แต่มีเงื่อนไขว่า เขาต้องดูแลไก่น้อยเหล่านั้นด้วยตัวเอง ทั้งให้ข้าวให้น้ำรวมถึงล้างเล้าไก่ ห้ามขอความช่วยเหลือจากใครเด็ดขาด
เพื่อให้เสี่ยวจิ้งคงเข้าใจถึงความยากลำบากของการเลี้ยงไก่ กู้เจียวจึงให้เขาลองให้อาหารไก่ที่บ้านเซวียหนิงเซียงก่อนสองวัน ที่นั่นนอกจากจะมีลูกเจี๊ยบตัวน้อยน่ารักแล้ว ยังมีแม่ไก่และพ่อไก่โตเต็มวัยจนไม่เหลือคราบความน่าเอ็นดูอีกต่อไปด้วย
แถมกู้เจียวยังบอกเขาว่า เจ้าไก่น้อยที่แสนน่ารักในตอนนี้ สักวันหนึ่งก็จะโตขึ้นเหมือนกับแม่ไก่พ่อไก่พวกนั้น
แต่สุดท้ายก็ยังโน้มน้าวเขาไม่สำเร็จ กู้เจียวจึงจำต้องยอมให้เขาเลี้ยง
เขาเลี้ยงไก่ทั้งหมดเจ็ดตัว แต่ละตัวล้วนแต่อ้วนพี
แถมเขายังตั้งชื่อให้พวกมันอีกต่างหาก ซึ่งก็คือหนึ่งถึงเจ็ด ไม่รู้เหมือนกันว่าเสี่ยวจิ้งคงแยกแต่ละตัวออกได้อย่างไร
เซียวลิ่วหลังซื้อของขึ้นชื่อของผิงเฉิงมาฝากหญิงชรา นั่นก็คือหยางเหมยเชื่อมตากแห้ง ฤดูนี้หยางเหมยกำลังออกผลพอดี ลูกไม่ใหญ่มากนัก ทั้งยังรสเปรี้ยวจัด แต่หยางเหมยเช่นนี้แลที่เหมาะกับการแช่อิ่มนัก รสสัมผัสเปรี้ยวอมหวานกำลัง กินแล้วไม่เลี่ยนจนเกินไป
อย่าได้ดูแคลนเชียวว่ามีเพียงแค่สองโหล เพราะนั่นคือหยางเหมยเชื่อมตากแห้งจากร้านที่ขึ้นชื่อที่สุดในผิงเฉิง บวกกับบัณฑิตที่มาเข้าสอบมากมาย เพียงแค่นำโหลออกมาเรียงก็แทบจะขายหมดเสียเดี๋ยวนั้นอยู่ทุกวัน
เซียวลิ่วหลังไปต่อแถวตั้งแต่ดึกดื่น ไม่รู้ว่าต้องยืนตัวหดท่ามกลางลมหนาวนานสักแค่ไหน
หญิงชราล้วงหยางเหมยเชื่อมลูกหนึ่งป้อนให้กับโก่วตั้น ทว่าให้เขาเลียเพียงเท่านั้น แต่ไม่ยอมให้กิน เพื่อป้องกันไม่ให้สำลักติดคอ
โก่วตั้นสูดปากเก็บน้ำลายไหลย้อย
กู้เสี่ยวซุนยังไม่เลิกเรียน เซียวลิ่วหลังมีของมาให้เขาเหมือนกัน นั่นก็คือเครื่องมือแกะสลักไม้ครบชุด
แคว้นเจานั้นเข้มงวดกวดขันกับโลหะเป็นอย่างมาก น้อยนักที่ชาวบ้านทั่วไปจะหาซื้อเครื่องมือเหล็กแสนประณีตครบชุดเช่นนี้ได้ ทว่าเซียวลิ่วหลังได้มันมากจากการล่อลวงข่มขู่เทศมนตรีหลัว
ห่อผ้าของเซียวลิ่วหลังยวบลงไปไม่น้อย
เสี่ยวจิ้งคงเดินต้อนไก่น้อยไปมา แม้จะปั้นหน้าเหมือนไม่แยแส แต่กลับชำเลืองมองของที่เซียวลิ่วหลังหยิบออกจากห่อผ้าเป็นพักๆ
กู้เจียวสังเกตเห็นว่าเขาแปลกไปจึงเอ่ยถาม “จิ้งคงเองก็เฝ้ารอของฝากของตัวเองอยู่ใช่หรือไม่”
“ข้าเปล่าเสียหน่อย!” เสี่ยวจิ้งคงเบือนหน้าหนีอย่างเย่อหยิ่ง
พี่เขยใจร้ายไม่มีวันซื้อของฝากให้เขาหรอก!
เซียวลิ่วหลังเห็นแววตาลอกแลกของเจ้าหนูตัวน้อย เดิมทีความสันพันธ์ของทั้งสองนั้นก็แน่นแฟ้นกันดี แต่เพราะห่างกันมาเดือนกว่า ยามนี้คงไม่อาจเรียกได้ว่าห่างเหินด้วยซ้ำ
เซียวลิ่วหลังหยิบลูกบาศก์ไม้[1]ออกมาจากห่อผ้า “ไม่อยากได้ก็ช่างเถิด ข้ายกให้โก่วตั้นก็ได้”
“ไม่ได้!” เสี่ยวจิ้งคงกระโดดลงจากเก้าอี้ทันที ก่อนจะคว้าลูกบาศก์มาไว้ในอ้อมอกทันที “เขา เขายังเล็ก! เขาเล่นไม่เป็นหรอก!”
โก่วตั้นมองพี่ชายตัวน้อยด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
และสุดท้ายของฝากสำหรับกู้เจียว
นั่นคือกล่องผ้าแพรแสนประณีตใบหนึ่ง มองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าราคาไม่เบาแน่นอน
กู้เจียวคาดคะเนจากความยาวของกล่องผ้าใบนั้น
กล่องหรูหราถึงเพียงนั้น อย่างน้อยข้างในต้องเป็นปิ่นเงินบ้างล่ะ
ในหมู่บ้านชนบท ปิ่นเงินมิใช่ของที่พบเห็นได้บ่อยนัก ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นปิ่นไม้เสียมากกว่า หากมีเงินสักหน่อยก็เป็นปิ่นทองแดง มีเพียงตระกูลร่ำรวยเท่านั้นที่สามารถซื้อปิ่นเงินได้ และเมื่อถึงวันสำคัญเท่านั้นที่จะยอมใส่
แน่นอนว่าสำคัญที่สุดก็คือ หากชายหนุ่มมอบปิ่นให้กับหญิงสาว นั่นหมายความว่าอย่างไรคงไม่ต้องพูดถึง!
ใบหน้าของกู้เจียวบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า ข้าชอบมาก ข้าชอบมาก ข้าชอบมาก!
แกรก
เซียวลิ่วหลังเปิดกล่องผ้าแพรออก
ทว่านั่นกลับไม่ใช่ปิ่นปันผม แต่เป็นพู่กันด้ามหนึ่ง!
กู้เจียวตาพร่าในทันใด
เซียวลิ่วหลังเอ่ย “เจ้าฝึกคัดอักษรแต่กลับไม่คล่องเสียที นอกจากท่าจับพู่กันไม่ถูกต้องแล้ว พู่กันก็อาจจะมีส่วนด้วย นี่คือพู่กันหางจิ้งจอกของช่างฝีมือชื่อดังคนหนึ่งในผิงเฉิง เหมาะกับฝีมือของเจ้ามาก”
เขาอธิบายอย่างจริงจัง กู้เจียวกลับแข็งทื่อไปทั้งตัว
ปิ่นปักผมสักอันมันจะเป็นอะไรนัก
เหตุใดต้องซื้อพู่กันให้นางด้วย
นี่ก็เหมือนกับให้หนังสือเก็งข้อสอบกับเด็กนักเรียนติดเกมคนหนึ่ง แล้วนางปฏิเสธได้เสียที่ไหน!
มองดูกู้เจียวพยายามกลั้นอดที่จะไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา หญิงชราก็หัวเราะจนท้องแข็งไปหมด!
มีความจำเป็นอย่างหนึ่ง เรียกว่าเซียวลิ่วหลังคิดว่าจำเป็น
กู้เจียวกอดพู่กันขนจิ้งจอกไว้ในอ้อมอกด้วยใบหน้าง้ำงอ
จากนั้นเซียวลิ่วหลังแยกป้ายทองแดงตุ้ยผาย[2]หนึ่งอันออกจากคู่แล้วยื่นให้นาง ด้านบนสลักว่าเฉียนจวง[3]รายสัปดาห์
“เงินค่าใช้จ่ายในบ้านข้าฝากไว้ที่เฉียนจวงแล้ว หากเจ้าจำเป็นต้องใช้ก็ไปเบิกเอาเอง”
เซียวลิ่วหลังไม่ได้บอกจำนวนเงินที่ชัดเจน กู้เจียวเองก็ไม่ได้ถามซักไซ้ นางยังคงติดอยู่ในวังวนของความโกธรที่ได้พู่กันเป็นของขวัญ
แต่ที่กู้เจียวไม่รู้ก็คือ พู่กันด้ามนี้ราคาแพงเสียยิ่งกว่าของขวัญของทุกคนรวมกันเสียอีก และนั่นก็ใช่ของที่เพียงแค่มีเงินก็ซื้อได้
กู้เจียวโมโหได้ไม่นานนัก นางยังจำได้ว่าตนเองมีสิ่งใดต้องทำ
ก่อนจะออกเดินทาง กู้เจียวกำชับกับเฝิงหลินให้จับตาคอยดูเซียวลิ่วหลังหัดเดินทุกวัน ตอนนี้ถึงเวลาที่นางต้องวัดผลความคืบหน้าแล้ว!
กู้เจียวและเซียวลิ่วหลังเดินไปยังห้องฝั่งตะวันตก พลางมองไปที่ข้อเท้าของเขา
รอยแผลจากการผ่าตัดจางลงจนแทบมองไม่เห็นแล้ว กู้เจียวยื่นมือออกไปบีบคลำ “ยังเจ็บอยู่หรือไม่”
เซียวลิ่วหลังส่ายหน้า “ไม่เจ็บแล้ว”
“ไม่เจ็บสักนิดเลยหรือ” กู้เจียวเงยหน้ามองเขา
เขาพยักหน้า “ใช่”
กู้เจียวบีบที่น่องขาของเขา สัมผัสไม่เลวทีเดียว ดูท่าแล้วเฝิงหลินไม่ได้อู้งาน
กล้ามเนื้อที่เคยอ่อนแรงฟื้นตัวขึ้นบ้างแล้วหลังจากการกายภาพเกือบสี่เดือน นั่นก็หมายความว่า เซียวลิ่วหลังไม่มีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงอีกต่อไป
จวบจนวันนี้เขาก็ยังไม่ยอมทิ้งไม้เท้า ปัญหาใหญ่ที่สุดอาจมาจากจิตใจของเขา
ในชาติก่อนกู้เจียวเคยเจอกรณีเช่นนี้มากมาย บ้างเป็นเพราะกลัวว่าจะบาดเจ็บเป็นหนที่สอง ระวังตัวมากจนเกินไป ทว่าอาการเช่นนี้ส่วนใหญ่มักจะบรรเทาลงไปตามการเวลา จากนั้นก็จะค่อยๆ ลืมเลือนไปแล้วหายดีขึ้นเอง
แต่อีกกรณีหนึ่งค่อนข้างซับซ้อน
ผู้ป่วยมีปมในใจ
หากไม่ยอมคลายปมที่อยู่ในใจนั้นออก เขาก็จะใช้ชีวิตอยู่กับความเจ็บป่วยนั้นตลอดไป สาเหตุมาจากเขากำลังลงโทษตัวเอง หรือว่ากำลังหลบซ่อนอะไรบางอย่าง
เซียวลิ่วหลังดึงชายกางเกงลง ก่อนจะสาวไม้เท้าเดินจากไป
กู้เจียวมองแผ่นหลังอันเย็นชาและโดดเดี่ยวของเขา ในใจอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาประสบพบเจอสิ่งใดมา
——————–
[1] ลูกบาศก์ไม้ (孔明锁) หรือข่งหมิงสั่ว คือของเล่นชนิดหนึ่งทำมาจากไม้ วิธีการเล่นรูปร่างคล้ายรูบิกในปัจจุบัน
[2] ตุ้ยผาย (对牌) หรือป้ายคู่ เป็นป้ายคู่ที่ที่ใช้เบิกเงินจากธนาคารหรือใช้ในการซื้อของแทนเงิน ในสมัยโบราณยามเจ้านายใช้ให้คนรับใช้ไปซื้อของ คนรับใช้จะนำแผ่นป้ายมอบให้ร้านค้า จากนั้นเจ้านายจะนำแผ่นป้ายที่คู่กันมาแสดงต่อร้านค้าเพื่อชำระเงิน
[3] เฉียนจวง (钱庄) หรือ เฉียนจวง เทียบได้กับธนาคารในปัจจุบัน