เทศมนตรีหลัวรายงานผลการสอบสวนแก่ผู้ว่าจวง
โดยทั่วไปแล้ว หากการเหตุโกงข้อสอบในการสอบเคอจวี่ ข้อสอบของทุกคนจะถือเป็นโมฆะและต้องสอบใหม่อีกครั้ง แต่หากทำเช่นนั้นแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าทางการจะต้องเป็นภาระหนักหนาแค่ไหน ผู้เข้าสอบจำนวนไม่น้อยก็คงสติแตกไปตามๆ กันแน่นอน
แต่ไหนแต่ไรมาการสอบก็เป็นเรื่องของความสามารถและโชคชะตา ไม่มีใครแน่ใจได้ว่าหากตนเองลงสนามสอบแล้วจะแสดงความสามารถได้อย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่อาจรู้ได้ว่าผู้เข้าสอบคนอื่นจะเก่งกาจกว่าตนแค่ไหน
แน่นอนว่าสำหรับผู้เข้าสอบที่ไม่ผ่านการคัดเลือก นี่คงเป็นโอกาสหล่นทับอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า แม้เซียวลิ่วหลังจะถูกคนสลับกระดาษคำตอบกับกระดาษเปล่า เขาก็ยังผ่านการคัดเลือกระดับสำนักด้วยคะแนนชั้นหนึ่งสิบเอ็ดแต้ม และคะแนนชั้นสองอีกหนึ่งแต้ม
หรือจะพูดอีกแบบก็คือ คนที่ควรสอบได้ก็สอบได้แล้ว คนที่สมควรสอบตกก็สอบตกอยู่ดี แต่ที่ต่างกันก็คือ อันดับของพวกเขาอาจจะเลื่อนขึ้นมาคนละหนึ่งอันดับ แต่เซียวลิ่วหลังกลับพลาดตำแหน่งที่หนึ่งไป
เทศมนตรีหลัวเอ่ยอย่างจนใจ “คนผู้นั้นคงคาดไม่ถึงว่า แม้จะทำเช่นนี้แล้วแต่เซียวลิ่วหลังก็ยังคงสอบผ่านระดับสำนักอยู่ดี แต่ที่น่าเสียดายก็คือ เดิมทีเซียวลิ่วหลังอาจจะมีโอกาสสอบได้ที่หนึ่งก็เป็นได้”
ผู้ว่าจวงเอ่ยหน้านิ่ง “เรื่องนี้จะทำให้เป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ได้ หากมองไปถึงวันหน้า เรื่องนี้ก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล็ก แต่หากมองเพียงแค่วันนี้ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว”
การเป็นเสี่ยวซานหยวนเป็นเกียรติยศในช่วงชีวิตหนึ่งของซิ่วไฉ แต่ก็แค่ช่วงชีวิตหนึ่งเท่านั้น
แต่หากเขาหมายจะมีชื่อเสียงเกรียงไกร ย่อมต้องสอบระดับมณฑลต่อไป พอได้เป็นจวีเหรินระดับมณฑลแล้วก็ต้องเข้าเมืองหลวงไปสอบต่ออีก
การสอบระดับสำนักมิใช่จุดหมายปลายทาง ในทางกลับกันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการสอบเคอจวี่เท่านั้น
ผู้ว่าจวงเอ่ย “อำนาจในการตัดสินใจอยู่ที่เขา เจ้าไปถามเขาว่าต้องการสอบใหม่หรือไม่”
เทศมนตรีหลัวเดินทางไปยังโรงเตี๊ยม
เมื่อเขาพบกับเซียวลิ่วหลัง ก็อ้อมค้อมไปมาก่อนจะเอ่ยถึงที่มาของการมาเยือนของตน พร้อมทั้งถามเซียวลิ่วหลังว่าต้องการสอบใหม่หรือไม่
เซียวลิ่วหลังไม่ได้ตอบเขาในทันที แต่กลับเปิดบานหน้าต่างออก ให้อีกฝ่ายได้เห็นเหล่าบัณฑิตที่กำลังถกเถียงเรื่องคะแนนของกันและกันอยู่ที่โถงใหญ่ชั้นล่าง ผลสอบประกาศออกมาแล้ว คนที่สอบไม่ติดก็ใบหน้าเศร้าหมอง คนที่สอบติดก็หน้าชื่อตาบาน
วินาทีนั้นไม่มีผู้ใครรู้ว่าภายในจิตใจของเขาประสบพบเจออะไรมาบ้าง
“ผู้เข้าสอบที่ผ่านการคนเลือกเป็นผู้บริสุทธิ์ใช่หรือไม่” เขาโพล่งเอ่ยขึ้น
เทศมนตรีหลัวได้ยินดังนั้นก็นิ่งชะงักไป ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้เอ่ยตอบ “ใช่แล้ว ในเมื่อเจ้าก็มิได้สอบตก เช่นนั้นแล้วก็แปลว่าไม่ได้มีผู้เข้าสอบระดับมณฑลเพิ่มขึ้นในบรรดาพวกเขาแต่อย่างใด”
เซียวลิ่วหลังทอดมองไปยังเหล่าผู้เข้าสอบก่อนจะเอ่ยขึ้น “หากสอบใหม่อีกครั้ง ในบรรดาพวกเขาย่อมมีคนสอบไม่ติดใช่หรือไม่”
เทศมนตรีหลัวทอดถอนใจพลางพยักหน้า นั่นคงหลีเลี่ยงไม่ได้ หากสอบใหม่พวกเขาคงกระวนกระวายใจแทบบ้าเป็นแน่ ยากนักที่จะแสดงความสามารถออกมาได้ตามปกติ
“เช่นนั้นท่านเทศมนตรีหลัวเล่า” เซียวลิ่วหลังถาม
“ข้า… ทำไมหรือ” เทศมนตรีหลัวมึนงง
เซียวลิ่วหลังเอ่ย “ได้ยินมาว่าเทศมนตรีหลัวใกล้จะหมดวาระแล้ว การสอบระดับสำนักใหม่อีกครั้งเป็นเรื่องใหญ่ ต้องรายการต่อราชสำนัก ถูกบันทึกเป็นประวัติด่างพร้อย คงกระทบต่อหน้าที่การงานในวันหน้าของเทศมนตรีหลัวเป็นแน่ใช่ไหมขอรับ”
เทศมนตรีหลัวพยักหน้าอย่างจนใจ
ราชสำนักในรัชสมัยนี้เข้มงวดกับการสอบคัดเลือกขุนนางยิ่งนัก หากต้องจัดการสอบใหม่เพราะเกิดเหตุโกงข้อสอบ ชีวิตราชการของเขาคงถึงจุบจบ
เซียวลิ่วหลังเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ช้าไม่เร็วนัก “เทศมนตรีหลัวคิดว่าอนาคตของท่านตีค่าเป็นเงินเท่าใด”
เทศมนตรีหลัวตกตะลึง!
เจ้า… เจ้า… เจ้า… เจ้าหมอนี่ขู่กรรโชกเขาต่อหน้าต่อตาเช่นนี้เลยหรือ
เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงเรียบ “ใต้เท้าเทศมนตรีเป็นขุนนางซื่อสัตย์ คงไม่ได้มีเงินทองมากมาย เพียงแต่คนผู้นั้นที่ติดสินบนผู้ตรวจข้อสอบคงใช้เงินไปไม่น้อยใช่ไหมขอรับ ข้าเป็นผู้เสียหาย ใต้เท้าก็ควรจะนำเงินก้อนนั้นมาชดเชยให้แก่ข้าใช่หรือไม่”
ซื้ออนาคตของตัวเองกลับมาได้ ทั้งยังไม่ต้องเสียงเงินสักแดงเดียว อีกทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์
ข้อเสนอนี้มีแต่ได้กับได้!
เทศมนตรีหลัวตกหลุมพรางที่เซียวลิ่วหลังขุดไว้อย่างง่ายดาย “ควรเป็นเช่นนั้น ควรเป็นเช่นนั้น หนึ่งพันตำลึง ข้าจะเอามาให้ผู้เข้าสอบเซียวไม่ขาดแม้แต่แดงเดียว!”
เซียวลิ่วหลังพูดต่อ “อีกอย่าง หากไม่มีใครสับเปลี่ยนข้อสอบ ข้าคงได้เป็นเสี่ยวซานหยวน เรื่องนี้เทศมนตรีหลัวคงไม่คัดค้านใช่หรือไม่”
เทศมนตรีหลัวพยักหน้ารัว “แน่…แน่นอน! ความสามารถของผู้เข้าสอบเซียวประจักษ์แก่สายตาของข้าและผู้ว่าจวงแล้ว!”
เซียวลิ่วหลังทอดถอนใจเบาๆ “เสี่ยวซานหยวนนั้นได้รับเงินเงินรางวัล แต่ตอนนี้ข้ากลับไม่ได้รับเงินก้อนนั้น”
เทศมนตรีหลัว “…”
เหตุใดถึงรู้สึกว่าหลุมพรางช่างลึกล้ำยิ่งนัก
เงินรางวัลของเสี่ยวซานหยวนนั้นเบิกจ่ายจากราชสำนัก แจกจ่ายผ่านศาลาว่าการ ศาลาว่าการประจำอำเภอมอบให้ส่วนหนึ่ง สำนักจัดสอบมอบให้สอนหนึ่ง ศาลาว่าการประจำตำบลมอบให้อีกส่วนหนึ่ง รวมกันแล้วหนึ่งร้อยตำลึง
แต่เป็นเพราะอำเภอผิงเฉิงไม่มีเสี่ยวซานหยวนมาแล้วนับสิบปี เงินรางวัลจึงทบเป็นสองเท่า
นั่นหมายความว่า เงินรางวัลที่จะตกถึงมือเซียวลิ่วหลังนั้นต้องเป็นสองร้อยตำลึง
แต่ด้วยเหตุการณ์ในตอนนี้ ย่อมไม่อาจใช้เงินจากทางการได้
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเทศมนตรีหลัวต้องควักกระเป๋าออกเอง
เทศมนตรีหลัว “ข้านึกว่าตัวเองจะไม่ต้องเสียเงินสักแดง ข้าช่างโง่เง่านัก โง่เง่าจริงๆ!”
เหตุการณ์โกงข้อสอบเป็นผลให้เทศมนตรีหลัวต้องกระอักเลือดควักเงินในกระเป๋าตัวเอง
ผู้ว่าจวงเป็นญาติห่างๆ ของเทศมนตรีหลัว ในเมื่อผู้เสียหายไม่เอาเรื่อง เขาจึงไม่รายงานต่อราชสำนัก
เทศมนตรีหลัวรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ได้ เหล่าผู้เข้าสอบก็มิต้องอกสั่นขวัญแขวนอีก ต่างฝ่ายต่างสุขใจ
ส่วนผู้ที่โกงข้อสอบคนนั้น หากคาดไม่ผิดคงจะเป็นผู้เข้าสอบคนหนึ่งที่อิจฉาในความสามารถของเซียวลิ่วหลัง จึงหมายอยากถีบเขาตกม้าตาย
เทศมนตรีหลัวเอ่ยปากว่าจะดำเนินการสืบสวนอย่างลับๆ ต่อไป
เมื่อเซียวลิ่วหลังกลับมาถึงหมู่บ้านก็เข้าสู่ต้นเดือนสี่แล้ว ภายในหมู่บ้านอบอวลไปด้วยความอบอุ่นของยามวสันตฤดู ต้นหลิวริมหนองน้ำแตกกิ่งอ่อน ห้อยย้อยลงมาคลอเคลียผิวน้ำ ราวกลับม่านหยกที่กำลังปลิวพริ้วไหว
บรรดาพืชผลบนพื้นดินต่างก็งอกงาม เขียวขจียามมองดู
ตอนเขามายังหมู่บ้านแห่งนี้เมื่อปีก่อนก็เป็นช่วงเวลานี้ ใครจะไปรู้ว่าพริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว
ลุงจางที่เพิ่งกลับมาท้องนาเหลียวไปมองป้าจางที่อยู่ด้านหลังแล้วพูดว่า “คุณพระ เจ้าดูนั่นสิ ใช่ลิ่วหลังหรือไม่”
ป้าจางสายตาดีกว่าสามีของตน นางหันไปมองก่อนจะพยักหน้ารัว “ก็ลิ่วหลังน่ะสิ เจ้าข้าเอ้ย! ซิ่วไฉกลับมาแล้ว!”
นางเหลียวกลับไปตะโกนบอกกับชาวบ้านที่กำลังทำนาอยู่ในท้องนา
ข่าวคราวการสอบของเซียวลิ่วหลังมาถึงหมู่บ้านตั้งนานแล้ว แม้การสอบระดับสำนักจะพลาดท่า แต่ก็ยังได้ที่หนึ่งของระดับตำบลและระดับจังหวัด ทั้งยังเป็นบัณฑิตผู้ได้รับทุนอุดหนุนจากทางการอีกด้วย
เขาคือผู้ได้รับทุนคนที่สองของหมู่บ้านต่อจากกู้ต้าซุ่น
เช้าตรู่วันนี้ คนจากศาลาว่าการประจำตำบลก็ส่งเสบียงอาหารมาให้กว่าห้ากิโล
นั่นมันข้าวสารสีขาวนวลเชียวนะ ดูท่าทางเป็นของชั้นดียิ่งกว่าที่กู้ต้าซุ่นได้รับด้วยซ้ำ!
เหล่าชาวบ้านราวกับเพิ่งเคยเจอเซียวลิ่วหลังไปครั้งแรก อยากจะเข้าไปพูดคุยด้วยแต่ก็ไม่กล้า
ยามนี้เหมือนแต่ก่อนเสียที่ไหน เขาเป็นถึงซิ่วไฉเชียวนะ!
“ท่านลุงจาง ท่านป้าจาง” เซียวลิ่วหลังเอ่ยทักทายทั้งสอง
ครอบครัวนี้ช่างมีน้ำใจนัก ยามกู้เจียวปวดท้องตอนเป็นระดู ก็ได้ป้าจางที่ให้เซียวลิ่วหลังหยิบยืมน้ำตาลแดง
ทั้งสองทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจจนพูดไม่ออก!
จากนั้นเซียวลิ่วหลังก็บังเอิญเจอชาวบ้านประปราย เขาทักทายพวกเขา ไม่ได้ให้ความสนิทสนมมากเกินไป ไม่ได้ห่างเหินเกินไป ท่าทางสุขุมนุ่มลึกเหมือนแต่ก่อนไม่มีเปลี่ยน
ในที่สุดเขาก็เดินมาถึงประตูเรือน
เพราะไม่ได้บอกข่าวล่วงหน้า คนในบ้านจึงไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาวันนี้
เสียงร้องเอะอะโวยวายของเสี่ยวจิ้งคงดังมาจากท้ายเรือน
เซียวลิ่วหลังก้าวเดินเข้าไป
ณ ลานท้ายเรือนที่แสงอาทิตย์สาดส่อง กู้เจียวกำลังสระผมให้กับเสี่ยวจิ้งคง
หัวโล้นกลมของเสี่ยวจิ้งคงมีไรผมสีครึ้มงอกขึ้นมาแล้ว เขาถามกู้เจียวอย่างภาคภูมิใจว่าผมของเขายาวเท่าใดแล้ว ยาวกว่าเมื่อหลายวันก่อนหรือไม่
หญิงชรานั่งอยู่บนเก้าอี้หวายอีกฝั่งหนึ่ง มองเณรน้อยแสนน่าเอ็นดูสระผมไปพลาง แทะเมล็ดดอกทานตะวันไปพลาง
ตั่งเตี้ยข้างกายนางมีโก่วตั้น ลูกชายวัยหนึ่งขวบของเซวียหนิงเซียงนั่งอยู่
โก่วตั้นกำลังบรรจงแทะข้าวโพดก่อนจะกลืนลงไปช้าๆ
คนที่สังเกตเห็นเซียวลิ่วหลังเป็นคนแรกคือเสี่ยวจิ้งคง
เสี่ยวจิ้งคงก้มหัวลงมองลอดใต้หว่างขา ก่อนจะเห็นเป็นเซียวลิ่วหลังที่ยืนกลับหัว!
เขามองอยู่พักใหญ่ “เอ๊ะ พี่เขยนิสัยเสียนี่”
กู้เจียวที่ตักน้ำอยู่ชะงักมือในทันใด ก่อนจะหันไปมองอย่างเงียบๆ
หนึ่งเดือนไม่ได้พบหน้า คนในเรือนต่างเปลี่ยนไปมากมาย เสี่ยวจิ้งคงผมงอกขึ้นมาแล้ว หญิงชราก็ดูสาวขึ้น ส่วนนางก็เหมือนจะตัวสูงขึ้น ราวกับเริ่มเผยความงามของสาววัยแรกแย้ม
บนใบหน้าของนางยังคงมีปาดแดงดังเดิม ทว่าไม่ใช่ปานแดงอัปลักษณ์ แต่ดูเหมือนดอกไม้แสนเย้ายวน ดึงดูสายตาให้ชื่มชมความงามแม้จะโดดเดี่ยวท่ามกลางสายลมหนาวเย็น
งดงามดั่งลูกท้อสุกงอม
ส่วนเขาเองก็ตัวสูงขึ้นเช่นกัน ความอ่อนเยาว์บนใบหน้าจางหายไป แต่ความสง่างามของบัณฑิตผู้คงแก่เรียนกลับเพิ่มขึ้น
ทั้งสองมองกันอย่างตกตะลึงอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครเอ่ยคำใด
“ลิ่วหลังกลับมาแล้วหรือ” หญิงชราหันไปมองก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส “มีของอร่อยติดมือมาด้วยหรือไม่”
เซียวลิ่วหลังได้สติกลับมา “มีขอรับ”
เขาเอ่ยพลางก้าวเดินมาข้างหน้า ทว่ายังไม่ทันพ้นธรณีประตูก็สะดุดล้มหน้าขมำเสียแล้ว
กู้เจียวหันหลังกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย พลางอาบน้ำให้เสี่ยวจิ้งคงต่อ
เพียงแต่พอนางตักน้ำราด ก็ได้ยินเสียงเสี่ยวจิ้งคงร้องโวยวาย “โอ้ย! เย็นชะมัด!”
กู้เจียวหน้าเจื่อน
ตัก… ตักน้ำผิดถังเสียแล้วสินะ