บทที่ 85.1 กลับบ้าน (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

เมื่อเถ้าแก่โรงเตี๊ยมรู้ว่ามีผู้สอบได้ลำดับที่หนึ่งในบรรดาผู้เข้าสอบที่พักอยู่ที่นี่ จึงคืนค่าห้องพักให้แก่พวกเซียวลิ่วหลังทั้งสามคน ทั้งยังเลี้ยงอาหารพวกเขา แถมยังเป็นเหล้าปลาอาหารราคาแพงทั้งนั้น ของใดที่ในโรงเตี๊ยมไม่มีก็ใช้คนงานออกไปซื้อเพิ่ม

แม้เฝิงหลินจะสอบได้เป็นซิ่วไฉตั้งนานแล้ว แต่คะแนนสอบของเขาไม่ได้โดดเด่นสักเท่าไหร่ จึงไม่เคยได้รับการต้อนรับขับสู้เช่นนี้เป็นธรรมดา

ติดตามเซียวลิ่วหลังมาคราวนี้ เขาจึงได้โอกาสสัมผัสบรรยากาศความครึกครื้นไปด้วย

แต่ที่ต้องเอ่ยถึงก็คือ เซียวลิ่วหลังสอบได้คะแนนดีมาก ด้วยเหตุนั้นเรียงความของเขาจึงแพร่กระจายไปทั่วหลังจากถูกนำมาติดประกาศในวันนี้ แน่นอนว่ามีคนไม่น้อยที่อยากผูกมิตรกับเซียวลิ่วหลัง ทว่าทุกคนล้วนแต่ถูกเซียวลิ่วหลังปฏิเสธตั้งแต่หน้าประตู

การสอบขุนนางในรัชสมัยนี้มีการปรับเปลี่ยนไปจากรัชสมัยก่อนมากนัก การสอบในรัชสมัยก่อน หลังจากสอบระดับจังหวัดแล้ว ต้องรอกว่าสองสามเดือนถึงจะมีการสอบระดับสำนัก แต่การสอบระดับสำนักในคราวนี้กลับจัดขึ้นอย่างกระชั้นชิด เพียงแค่สองวันหลังจากประกาศผลการสอบระดับจังหวัด

ช่วงสิบวันที่รอผลสอบ ผู้เข้าสอบล้วนแต่อกสั่นขวัญแขวน เพิ่งจะโล่งใจไปได้เปราะหนึ่งว่าตนเองสอบติดแล้ว แต่ยังไม่ทันได้มีจังหวะพักหายใจหายคอก็ต้องเข้าสนามสอบอีกครั้ง

ซึ่งสร้างแรงกดดันให้บรรดาผู้เข้าสอบยิ่งกว่าเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย

การสอบระดับสำนักมีสองส่วน แบ่งออกเป็นการสอบเรียงความปากู่เหวินและการสอบเทียจิงหรือเติมคำในช่องว่าง

ระดับความยากของข้อสอบเทียจิงเทียบเท่ากับการสอบระดับจังหวัด ส่วนข้อสอบเรียงความปากู่เหวินมีผู้ว่าจวงเป็นคนออกดังเดิม

เซียวลิ่วหลังสอบได้ที่หนึ่งติดต่อกันถึงสองครั้ง หากสอบได้ที่หนึ่งระดับสำนักอีกก็จะได้เป็นเสี่ยวซานหยวน[1] เหล่าขุนนางในศาลาว่าการต่างตั้งความหวังกับเซียวลิ่วหลังไว้มาก แต่สิ่งที่ผู้คนคาดไม่ถึงก็คือ เซียวลิ่วหลังส่งกระดาษเปล่าในข้อสอบจิงเทีย

ข้อสอบจิงเทียของการสอบระดับสำนักนั้นไม่ต่างจากระดับจังหวัดสักเท่าไหร่ ยังคงสอบวัดความเข้าใจในคัมภีร์ทั้งสาม เพียงแต่จำนวนข้อมีมากกว่า คำถามพลิกแพลงกว่า แต่ก็ไม่ถึงขนาดว่าต้องส่งกระดาษเปล่า

แน่นอนว่าในการสอบทุกครั้งย่อมเกิดเหตุไม่คาดฝันต่างๆ นานาขึ้นกับผู้เข้าสอบได้ มีครั้งหนึ่งที่บัณฑิตคนหนึ่งทำกระดาษคำตอบเปรอะไปหมด จดต้องทิ้งกระดาษคำตอบแผ่นนั้นไป

นั่นคือการสอบระดับมณฑลที่สามปีถึงจะจัดขึ้นหนึ่งหน ความเพียรพยายามตลอดสามปีของผู้เข้าสอบคนหนึ่งก็ละลายหายไปกับสายน้ำ

แต่น้อยนักที่จะเห็นใครส่งกระดาษเปล่า

ยิ่งคนที่ส่งกระดาษคำตอบว่างเปล่านั้นคือคนที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ว่าจวงในการสอบระดับจังหวัดอย่างเซียวลิ่วหลัง

หากผู้ว่าจวงจำไม่ผิด ครั้งนี้มีขุนนางที่ตรวจข้อสอบทั้งหมดสิบสองคน สิบเอ็ดคนจากทั้งหมดให้คะแนนชั้นหนึ่งแก่เสียวลิ่วหลังในส่วนเรียงความปากู่เหวิน

มีเพียงผู้ว่าจวงคนเดียวที่ไม่ได้คะแนนชั้นหนึ่ง

เขาให้คะแนนชั้นสองแก่เซียวลิ่งหลัง

แต่หากรู้ว่าผู้ว่าจวงให้คะแนนชั้นสามแก่คนอื่นทั้งหมด ก็พอมองออกว่าคะแนนของเซียวลิ่วหลังนั้นได้มากอย่างยากลำบากสักเพียงใด

ได้คะแนนชั้นหนึ่งจากสิบเอ็ดคน หากหลับตาตอบข้อสอบจิงเทียอย่างน้อยก็ต้องได้สิบอันดับแรกแน่นอน แต่เซียวลิ่วหลังกลับได้ที่สามนับจากท้ายเสียอย่างนั้น

นั่นทำให้ผู้ว่าจวงประหลาดใจเป็นอย่างมาก

เขาค้นกระดาษคำตอบออกมาก แล้วก็พบว่ามีเพียงกระดาษคำตอบอันว่างเปล่า

หากเซียวลิ่วหลังสอบจิงเทียได้คะแนนแสนอนาถในการสอบระดับจังหวัด เรื่องนี้อาจจะถูกปล่อยผ่าน แต่กระดาษคำตอบจิงเทียของเซียวลิ่วหลังในการสอบระดับจังหวัดนั้นกลับได้คะแนนชั้นหนึ่งทั้งหมด

นั่นก็แปลว่า เขาไม่ได้ตอบผิดเลยสักข้อ

“แถมเขายังใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วยามอีกต่างหาก!” ขุนนางผู้คุมสอบที่มาส่งข้อสอบให้เอ่ยขึ้น

ขุนนางผู้คุมสอบคนนี้เป็นคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเซียวลิ่วหลังตอนสอบระดับจังหวัด

กระดาษคำตอบนั้นปิดชื่อไว้ หลังจากที่ส่งแล้วไม่มีทางรู้ว่าเป็นกระดาษคำตอบของใคร แต่หลังจากเซียวลิ่วหลังสอบได้ที่หนึ่ง เรียงความปากู่เหวินของเขาก็ถูกแพร่ไปทั่ว ผู้คุมสอบแอบย่องไปที่โรงเตี๊ยม อยากจะเห็นนักว่าคนที่สอบได้ที่หนึ่งของระดับจังหวัดนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร ถึงได้เขียนเรียงความพิสดารเช่นนี้ออกมาได้ สุดท้ายเขาจึงได้พบว่าอีกฝ่ายคือผู้เข้าสอบที่ทำข้อสอบจิงเทียโดยใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วยาม

ผู้ว่าจวงตั้งความหวังไว้สูงนัก

แม้จะตอบถูกทั้งหมดก็ยังไม่เพียงพอในสายตาเขา แต่หากใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งยาม ก็นับว่าน่าประหลาดใจไม่น้อยจริงๆ

ในบรรดาคนที่เขารู้จัก คนที่เก่งกาจกว่าผู้เข้าสอบคนนี้มีเพียงท่านโหวแห่งแคว้นเจาผู้ล่วงลับไปแล้วเท่านั้น

ผู้ว่าจวงรีบส่งคงไปยังโรงเตี๊ยม เพื่อเรียกเซียวลิ่วหลังมาถามให้ชัดเจน

“ข้าไม่ได้ส่งกระดาษเปล่า” เซียวลิ่วหลังเอ่ย

หากที่เซียวลิ่วหลังพูดเป็นความจริง เช่นนั้นแล้วก็แปลว่ามีคนเปลี่ยนข้อสอบเขา ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่โตเลยทีเดียว

การจัดการข้อสอบของการสอบเคอจวี่นั้นเข้มงวดเป็นอย่างมาก ยามที่ผู้เข้าสอบส่งกระดาษคำตอบ จะมีผู้คุมสอบสองคนเป็นคนเก็บกระดาษคำตอบพร้อมกันเสมอ ทั้งยังมีการประทับลายนิ้วพร้อมกันมือยามปิดชื่อ เพื่อเป็นหลักฐานว่าพวกเขาเป็นคนเก็บกระดาษคำตอบ

หากกระดาษคำตอบมีปัญหา ก็มีเพียงพวกเขาสองคนที่ต้องไต่สวน

แต่ที่สำคัญก็คือ หลังจากเข้ามาในสนามสอบแล้วผู้คุมสอบทั้งหมดจะต้องจับฉลากเพื่อจับคู่กัน พวกเขาเองก็เหมือนผู้เข้าสอบ เมื่อเข้ามาแล้วก็ห้ามติดต่อกับภายนอกจนกว่าการสอบจะสิ้นสุดลง

หากจะซื้อหนึ่งในสองคนนั้นคงเป็นเรื่องง่าย แต่จะซื้อพร้อมกันทั้งสองคนคงยากลำบากพอควร เพราะไม่มีผู้ใดรับประกันได้ว่าสองคนที่ว่าจ้างนั้นจะบังเอิญคู่กัน ทั้งยังไม่มีทางมั่นใจได้ว่าพวกเขาจะบังเอิญถูกส่งไปยังสนามสอบของเซียวลิ่วหลัง

แม้กระนั้น เทศมนตรีหลัวก็ยังคนเรียกตัวคนเก็บข้อสอบมาไต่สวน ทั้งสองตอบอย่างหนักแน่นว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดกฎอันใด

“เป็นกระดาษเปล่าจริงหรือ”

“ข้าไม่แน่ใจนัก ก่อนจะส่งข้อสอบผู้เข้าสอบล้วนแต่ใช้กระดาษเปล่าใบหนึ่งปิดทับไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้พวกข้าแอบดูลายมือเขา”

ผู้ว่าจวงพยักหน้า ก่อนจะหันไปพูดกับเทศมนตรีหลัว “หลังจากทั้งสองคนรับมาแล้ว กระดาษคำตอบจะถูกปิดชื่อใช่หรือไม่ จนกระทั้งขุนนางผู้คุมสอบตรวจข้อสอบเสร็จทั้งหมดถึงจะเปิดชื่อ ข้าอยากรู้นัก แล้วคนผู้นั้นรู้ได้อย่างไรว่านั่นคือกระดาษคำตอบของเซียวลิ่วหลัง ทั้งยังสับเปลี่ยนเป็นกระดาษเปล่าได้สำเร็จอีกต่างหาก”

เทศมนตรีหลัวครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยขึ้น “มีอยู่สองวิธี วิธีแรกคือตอนแจกข้อสอบ วิธีที่สองคือตอนตรวจข้อสอบ เซียวลิ่วหลังสอบได้ที่หนึ่งระดับจังหวัด จึงต้องนั่งเป็นคนแรกตามกฎระเบียบ ดังนั้นข้อสอบชุดแรกที่แจกออกไปย่อมต้องเป็นข้อสอบของเขา เช่นนั้นแล้วก็สามารถเล่นตุกติกกับข้อสอบของเขาก่อนได้ แม้จะถูกปิดชื่อในภายหลังก็ยังสามารถรู้ได้ว่านั่นคือข้อสอบของเขา

หรืออีกวิธีหนึ่ง หากมีผู้คุมสอบได้เห็นข้อสอบระดับจังหวัดของเซียวลิ่วหลังแล้วจำลายมือเขาได้ ยามตรวจข้อสอบจิงเทีย ย่อมหาข้อสอบของเซียวลิ่วหลังเจอจากลายมือ”

ไม่ว่าจะวิธีการใด ในบรรดาขุนนางที่ตรวจข้อสอบต้องมีใครสักคนหนึ่งมีมือสกปรก!

ผู้ตรวจข้อสอบระดับจังหวัดและระดับสำนักเป็นคนละกลุ่ม เพื่อป้องกันว่าหากมีคนจำลายมือของผู้เข้าสอบได้ จะส่งผลกระทบต่อการตรวจให้คะแนนของผู้เข้าสอบคนนั้น

แต่ถึงกระนั้นก็เป็นไปได้ว่าจะมีคนเคยเห็นกระดาษของตอบของระดับจังหวัดมาก่อน เพราะหลังจากการตรวจข้อสอบเสร็จสิ้น กระดาษคำตอบนั้นก็ไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไป

ขุนนางผู้ตรวจข้อสอบทั้งหมดสิบเอ็ดคน ยกเว้นผู้ว่าจวง ถูกจับขังไว้ในห้องลับ พร้อมทั้งรับการสอบสวนวินัยร้ายแรงจากเทศมนตรีหลัว

การสอบสวนวินัยร้ายแรงช่วยให้เทศมนตรีหลัวสืบหาความจริงจนเจอ

คนผู้นั้นคือขุนนางผู้ตรวจข้อสอบแซ่อู๋ เขาทำงานอย่างขยันขันแข็งอยู่ที่สำนักจัดการสอบมายี่สิบปีแล้ว ยามปกติเป็นคนเอาจริงเอาจัง เดิมทีเทศมนตรีหลัวยังคิดว่าเขาเป็นคนที่มีความเป็นไปได้น้อยที่สุด

ดูท่าแล้วคนจะเราทุจริตหรือไม่นั้น มิได้ขึ้นอยู่กับคุณธรรมสูงต่ำ แต่อยู่ที่ว่าเงินนั้นมากเท่าไหร่

“คนผู้นั้นให้เงินข้าหนึ่งพันตำลึง ให้ข้าทำลายข้อสอบของเซียวลิ่วหลัง เดิมทีข้าตั้งใจว่าจะใช้น้ำหมึก แสร้งทำทีว่าเซียวลิ่วหลังเป็นคนทำกระดาษข้อสอบเปรอะเอง ข้าเคยเห็นกรณีเช่นนั้นมานักต่อนัก ล้วนแต่ถูกคัดทิ้งเป็นกระดาษเสีย ไม่เคยมีผู้ใดไปตามสืบ แต่ว่าข้ายังไม่ทันได้ลงมือ ใต้เท้าวั่งที่ข้าหลอกล่อให้ออกไปที่อื่นก็กลับมาเสียก่อน

ข้ามือสั่นจนน้ำหมึกหกเลอะตัวข้า จะไปหาน้ำหมึกที่อื่นก็ไม่ทันการแล้ว บังเอิญว่าแถวนั้นมีกระดาษเปล่าอยู่แผ่นหนึ่ง ข้อจึงสับเปลี่ยนแทนที่”

“คนผู้นั้นหน้าตาเช่นไร”

“เขาปิดหน้า ข้ามองไม่เห็น”

“เสียงเล่า ส่วนสูงเท่าใด”

“ข้าจำไม่ได้… จำไม่ได้จริงๆ !”

——————

[1] เสี่ยวซานหยวน (小三元) เป็นฉายาที่ใช้เรียกผู้ที่สอบได้ลำดับที่หนึ่งในการสอบระดับตำบล ระดับจังหวัด และระดับสำนักทุกสนาม