หวงจงตามหาท่านโหวของตนเจอบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ห่างจากลานบ้านไปกว่าร้อยก้าว
ท่านโหวกู้ถูกกู้เจียวจับตัวแขวนไว้บนกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ ราวกับกำลังตากเสื้อตัวใหญ่ที่เปียกชุ่มมีน้ำหยดติ๊งๆ ทั้งผืน
ยามหวงจงได้เห็นท่านโหวกู้ก็ตกใจสะดุ้งตัวโยน โชคดีที่ยังกลางวันแสก ๆ หากเป็นกลางคืนเขาคงคิดว่าเจอผีเข้าแล้วเป็นแน่!
“ท่าน… ท่านโหว เหตุใดท่านถึงได้ห้อยโหนตนเองบนต้นไม้เช่นนั้นเล่าขอรับ”
ข้าน่ะหรือห้อยโหน นางหนูจอมอวดดีนั่นต่างหากที่เป็นคนแขวนข้าเช่นนี้!
“แล้วเหตุใดใบหน้าท่านถึงได้บวมเช่นนั้น”
ก็เพราะนางหนูนั่นอย่างไรเล่า!
ทุกครั้งที่ได้พบนางหนูนั่นก็ไม่เคยมีเรื่องดีสักหน ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาแทบไม่มีส่วนไหนที่สมบูรณ์แล้ว!
ในที่สุดเขาก็ค้นพบแล้วว่า นางหนูนั่นนำพาเคราะห์ร้ายมาให้เขา!
“ข้าจะไม่รับนางกลับมาเลี้ยงแล้ว…”
…
กู้เจียวบอกลากู้เหยี่ยน กู้เยี่ยนอาลัยยิ่งนัก แต่กู้เจียวรับปากเขาว่าจะรีบมาตรวจอาการเขาต่อเนื่อง เขาถึงได้ยอมจำใจให้กู้เจียวกลับไป
เขานั่งเกี้ยวไปพร้อมกับกู้เจียว ก่อนจะส่งกู้เจียวขึ้นรถม้า
การกระทำนั้นพาให้เหล่าบ่าวไพร่ต้องตกตะลึงอ้าปากค้างกันอีกครั้ง
เป็นที่รู้กันว่าเกี้ยวของกู้เหยี่ยนนั้นเป็นอาณาเขตส่วนตัวของเขา มีครั้งหนี่งที่กู้จิ่นอวี้ในวัยเด็กปีนขึ้นไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น จึงถูกกู้เหยี่ยนถีบลงมาในทันที
“คราวหน้าจะให้เจ้านั่งอีก” กู้เหยี่ยนบอกกับกู้เจียว
กู้เจียวพยักหน้า “ดีเลย”
หลังจากกู้เจียวออกจากหมู่บ้านเวินเฉวียนซาน นางไม่ได้กลับไปยังตัวอำเภอในทันที แต่กลับแวะที่เรือนของเจ้าสำนักหลีเสียก่อน
เจ้าสำนักหลีอยู่ที่สำนักบัณฑิต ภายในเรือนจึงมีเพียงเหล่าฮูหยินหลีและบ่าวรับใช้
ในวันหนึ่งฮูหยินหลีนั้นจะได้สติเพียงแค่ไม่กี่ชั่วยาม ได้ยินมาว่าบางคราวถึงขึ้นว่าจำเจ้าสำนักหลีไม่ได้ด้วยซ้ำ
เพียงแต่ดูเหมือนว่านางจะจำกู้เจียวได้ จึวหยิบลูกกวาดให้กู้เจียวกกำใหญ่พลางหัวเราะคิกคัก
กู้เจียวตรวจร่างกายให้นาง นางไม่ได้เป็นอะไรมาก ก็แค่อายุมากแล้ว ความจำจึงเลาะเลือน ร่างกายถดถอย
กู้เจียวหิ้วตะกร้าใส่ของป่าสดใหม่ใบหนึ่ง ก่อนจะสังเกตเห็นว่าเหล่าฮูหยินหลีเอาแต่จ้องมองต้นหม่อนนอกรั้วจนน้ำลายไหล กู้เจียวจึงเดินออกไปนอกเรือนเพื่อเก็บลูกหม่อนกลับมาให้เหล่าฮูหยินหลี
ทว่าเมื่อนางเดินเข้าไปใกล้จึงได้พบว่าต้นหม่อนต้นนั้นไม่ใช่ต้นไม้ป่าที่ขึ้นเองริมทาง แต่เป็นต้นไม้ที่ปลูกอยู่ในเรือนหลังถัดกัน แต่เพราะต้นไม้ทั้งสูงทั้งใหญ่จึงแผ่กิ่งก้านข้ามกำแพงเรือนของตัวเองออกมา
กู้เจียวคิดแล้วคิดอีก ก่อนจะเดินเข้าไปเคาะประตูเรือนของอีกฝ่าย
“แค่ก แค่ก ผู้ใดกัน”
ประตูสีแดงบานใหญ่ถูกเปิดออกหลังจากเสียงกระแอมแผ่วเบานั้น ฮูหยินรูปงามนางหนึ่งเป็นคนเปิดประตู
กู้เจียวจำนางได้ในทันที
นางเองก็จำกู้เจียวได้เช่นกัน
นางใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากไว้ ก่อนจะไอโขลกเบาๆ สองสามหน จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มบางออกมา “แม่นาง เจ้าเองหรือ”
กู้เจียวตกตะลึง นางมาเพื่อเด็ดลูกหม่อน เหตุใดถึงบังเอิญเจอฮูหยินประจำวัดได้
“ฮูหยินพักอยู่ไกลขนาดนี้เชียวหรือเจ้าคะ” จากที่นี่กว่าจะไปถึงวัดเพื่อจุดธูปไหว้พระ เรียกว่าข้ามห้วยข้ามเขาคงไม่เกินจริง
“สามีของข้าแซ่กู้น่ะ” แม่นางเหยาเอ่ยเสียงอ่อนโยน
กู้อย่างนั้นหรือ
ที่นี่จะมีตระกูลกู้อันยิ่งใหญ่มั่งคงอีกเป็นตระกูลที่สองหรือ คำตอบแน่ชัดแล้วว่าไม่มี
แม่นางเหยาเชิญกู้เจียวให้เข้ามาในเรือน เมื่อครู่นางกำลังผิงแดดอยู่ที่ลานบ้าน เก้าอี้หวายและโต๊ะตั่งต่างล้วนแต่วางเรียงรายครบพร้อม
นางชี้ไปที่ตั่งไม้แล้วเอ่ยขึ้น “นั่งสิ”
กู้เจียวนั่งลง ก่อนจะพบว่าภายในเรือนไม่มีบ่าวไพร่เลยสักคน
แม่นางเหยาดูออกว่ากู้เจียวกำลังสงสัย ก่อนจะเอ่ยพร้อมยิ้มบาง “ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ น่ะ เลยสั่งให้พวกนางไปที่เรือนด้านหน้า ที่นี่เป็นเรือนหลัง แม่นางเองก็พักอยู่ละแวกนี้หรือ”
กู้เจียวตอบ “ข้าเพียงแค่ผ่านทางมา เห็นว่าลูกหม่อนนั้นน่ากินนัก จึงได้อยากเข้ามาถาม แต่ข้ากลับรบกวนฮูหยินจนได้”
“ไม่เป็นไรหรอก” เพียงได้พบกู้เจียว แม่นางเหยาก็มีความสุขมาก นางเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด “ข้าจะให้คนไปเก็บมาให้เจ้า”
แม่นางเหยาเรียกให้แม่นมนางหนึ่งไปเก็บลูกหม่อนให้กู้เจียว ส่วนตัวนางก็ชวนกู้เจียวไปพูดคุยกันที่ลานบ้าน “ยังไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามของแม่นางเลย”
“กู้เจียวเจ้าค่ะ” กู้เจียวตอบ
แม่นางเหยาะยิ้มด้วยความประหลาดใจ “เจ้าก็แซ่กู้หรือ ห้าร้อยปีก่อนเราเป็นคนตระกูลเดียวกันสินะเนี่ย”
คำนี้กู้เหยี่ยนก็เคยพูดมาก่อน สมกับเป็นแม่ลูกกันดีแท้
อาการของแม่นางเหยาไม่ค่อยสู้ดีนัก พูดได้ไม่กี่ประโยคก็พลันไอโขลกขึ้นมา
กู้เจียวมองใบหน้าขาวซีดของนางก่อนจะนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ฮูหยินกู้ หากท่านไม่รังเกียจ ให้ข้าจับชีพจรให้ท่านได้หรือไม่”
“แม่นางกู้เชี่ยวชาญวิชาแพทย์หรือ”
“พอรู้งูๆ ปลาๆ น่ะเจ้าค่ะ”
แม่นางเหยาหัวเราะ ก่อนจะยื่นแขนออกไปวางบนโต๊ะ
แม่นมเก็บลูกหม่อนมาจนเต็มตะกร้า หมายจะเดินเข้ามาให้แม่นางเหยาดูสักหน่อย แต่แม่นางเหยากลับโบกมือให้นางถอยออกไป
แม่นมวางตะกร้าลูกหม่อนลงบนโต๊ะอย่างเบามือก่อนจะถอยออกไป
จังหวะชีพจรของนางไม่สู้ดีนัก แต่อาการที่ปรากฏนั้นดูย่ำแย่ยิ่งกว่าที่ชีพจรบ่งบอก
กู้เจียวปั้นหน้านิ่งแล้วชักมือกลับ ก่อนจะถามแม่นางเหยา “ฮูหยินกู้ ท่านนอนหลับดีหรือไม่”
แม่นางเหยาตอบ “ไม่ค่อยดีนัก กว่าจะหลับนั้นยากนัก”
กู้เจียวถาม “อยากอาหารบ้างหรือไม่”
แม่นางเหยายิ้มอ่อนพลางส่ายหน้า “กินไม่ค่อยลงเท่าไหร่เช่นกัน”
กู้เจียวนิ่งไปครู่หนึ่ง “ก่อนจะเป็นหวัดจับไข้ก็เป็นเช่นนี้หรือเจ้าคะ”
แม่นางเหยา “ใช่”
กู้เจียว “นานแค่ไหนแล้วเจ้าคะ”
แม่นางเหยา “จำได้ไม่แน่ชัดสักเท่าไหร่ เอาเป็นว่านานมาแล้ว”
กู้เจียวถามต่ออีกหลายต่อหลายคำถาม
อันที่จริงหมอหลวงก็เคยถามเช่นกัน แต่แม่นางเหยาไม่ยอมตอบตามตรง บ่ายเบี่ยงตอบแบบขอไปทีอยู่ทุกครั้ง
แม่นางเหยาเชื่อใจกู้เจียวเป็นอย่างมาก จึงตอบตามจริงทั้งหมด
กู้เจียวถามต่อ “ฮูหยินกู้เคยหาหมอแล้วใช่ไหมเจ้าคะ พวกเขาว่าอย่างไรบ้าง”
แม่นางเหยายิ้มเจื่อน “พวกเขาบอกว่าข้าวิตกกังวลเกิดเหตุ ให้ข้าทำใจให้สบาย ไม่ว่าเรื่องใดก็อย่าได้คิดมาก ยาก็จัดให้แล้ว แต่กินแล้วไม่ช่วยสักเท่าไหร่ หลังจากนั้นข้าก็ไม่กินแล้ว”
เป็นไปตามคาด
อาการวิตกกังวลเกินเหตุที่หมอบอก หากเป็นชาติก่อนนั้นเรียกว่าโรคซึมเศร้า
แต่นางมีโรคหวาดผวาพ่วงด้วย หากกำเริบขึ้นมาคงอันตรายมากแน่ๆ
กู้เจียวหยิบยาคลายเครียดสองกล่องออกมาจากกล่องยาใบน้อย ก่อนจะถ่ายลงในขวดกระเบื้อง
แม่นางเหยานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับกู้เจียว จึงเห็นเพียงฝากล่องยาที่ตั้งฉากขึ้น ทว่ามองไม่เห็นการกระทำของกู้เจียว
กู้เจียวยื่นขวดยาให้แม่นางเหยา ก่อนจะบอกวิธีกินและปริมาณ ทั้งยังเอ่ยกำชับอีกว่า “ฮูหยินกู้ ท่านต้องกินยานะเจ้าคะ อาการป่วยถึงจะได้หายดี”
แม้แต่ยาของหมอหลวงยังไม่ได้ผล แล้วยาที่เด็กสาวนางหนึ่งยื่นให้จะรักษาได้หรืออย่างไร
ทว่าแม่นางน้อยผู้นี้เหน็ดเหนื่อยมาครึ่งค่อนวันแล้ว แม่นางเหยาจึงไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจนาง ก่อนจะรับยาด้วยรอยยิ้ม “ได้สิ”
กู้เจียวจ้องมองนัยตาของนางอย่างจริงจัง “ท่านห้ามโยนยาทิ้งเป็นอันขาดนะเจ้าคะ ท่านต้องรับปากกับข้า ว่าท่านจะกินยาตรงเวลา”
นานมากแล้วที่แม่นางไม่ได้เห็นแววตาจริงจังเช่นนี้ บรรดาคนที่อยากรักษานางให้หายดี แท้จริงแล้วพวกเขาไม่ได้รักษานาง แต่รักษาโหวฮูหยินต่างหาก
หากนางมิใช่โหวฮูหยิน จะมีใครเหลียวแลนาง
ทว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ กลับปรารถนาจะรักษานางให้หายดี
แม่นางเหยาจ่ายค่ารักษาให้กับกู้เจียว กู้เจียวกลับชูตะกร้าลูกหม่อนแล้วแกว่งไปมา
แม่นางเหยาหัวเราะ
ทว่ากู้เจียวก็ยังเรียกค่ารักษาเพิ่มเติมจากแม่นางเหยา เพียงแต่ไม่ใช่เงินตรา แต่เป็นขนมหวานที่นางลงมือทำเอง
แม่นางเหยาดีใจยิ่งนัก
นางไม่ได้รู้สึกสุขใจเช่นนี้มานานมากแล้ว
ทุกครั้งที่ได้พบกู้เจียว นางมักจะโชคดีอยู่เสมอ หากไม่ได้นางช่วยไว้บ้าง ก็ได้นางรักษาอาการป่วย
แม่นางน้อยผู้นี้ เป็นตัวนำโชคของนางหรืออย่างไร
คงเป็นเพราะอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แม่นางเหยาจึงได้นึกถึงกู้จิ่นอวี้
แม้จะเป็นแม่ลูกกัน แต่ความสัมพันธ์ของนางกับจิ่นอวี้กลับมิได้สนิทสนมเหมือนนางกับกู้เหยี่ยน
นางพักอยู่ที่จวนบนเขา แล้วให้กู้เหยี่ยนไปอยู่ในเมืองหลวง ทว่ากู้เหยี่ยนนั้นไม่ยอม แต่จิ่นอวี้กลับไปอย่างง่ายดาย ดูเหมือนว่านางจะชอบแสงสีของเมืองหลวงและความคึกคักในจวนโหวมากกว่า
แต่ก็มิได้หมายความว่าจิ่นอวี้มิได้รักผู้เป็นแม่เช่นนาง เพียงแต่ในโลกของจิ่นอวี้มิได้มีเพียงแค่นางผู้เป็นแม่คนนี้
หากไม่มีนาง จิ่นอวี้ก็ยังสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข
นางเองก็เคยคิดว่าบางที่นี่อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้
เพราะหากวันใดกู้เหยี่ยนไม่อยู่แล้ว นางเองก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นกัน
อย่างน้อยนางจะได้หมดห่วงกับจิ่นอวี้
ระหว่างทางกลับ กู้เจียวถามเถ้าแก่รองเกี่ยวกับจวนโหว
“เจ้าหมายถึงแง่ใด” เถ้าแก่รองถาม
“โหวฮูหยิน” กู้เจียวตอบ
หากจะถามถึงโหวฮูหยินคงไม่ใช่เรื่องแปลง ในเมื่อพวกเขาได้พบกับเจ้านายทั้งสามประจำจวนเวินเฉวียนซานแล้ว เหลือเพียงแต่โหวฮูหยินที่ยังไม่ได้พบหน้า
เถ้าแก่รองไม่คิดว่ากู้เจียวมีเจตนาใด เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “โหวฮูหยินคล้ายว่าจะแซ่เหยา จะว่าไปก็มีเรื่องเล่าอยู่ นางเป็นภรรยาที่ติ้งอันโหวแต่งงานด้วยหลังจากภรรยาคนแรกตายไป ครอบครัวล่มสลาย พ่อของนางทำงานเช้าชามเย็นชามในสำนักอากร ได้ยินมาว่าไปมีเรื่องกับใครสักคนเข้า สุดท้ายก็หลุดจากตำแหน่ง นางสนิทกับโหวฮูหยินคนก่อนนัก ก่อนที่โหวฮูหยินคนก่อนจะตาย นางยังไปเยี่ยมไข้อยู่หลายหน ในเมืองหลวงยังลือกันว่า นางยั่วยวนติ้งอันโหวยามที่โหวฮูหยินคนก่อนป่วยหนัก”
กู้เจียวขมวดคิ้วเล็กน้อย นางไม่เหมือนคนเช่นนั้นเลยสักนิด
เถ้าแก่รองพูดต่อ “ความจริงแล้วนางแทบไม่ได้เจอหน้าติ้งอันโหวด้วยซ้ำยามที่อยู่จวนโหว”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” กู้เจียวถาม
เถ้าแก่รองยิ้มบาง “หุยชุนถังของพวกเราพอมีชื่อเสียงอยู่บ้างในเมืองหลวง หมอหลวงที่รักษาโหวฮูหยินคนก่อนก็ไปมาหาสู่กับตระกูลข้าอยู่บ้าง ความจริงแล้วโหวฮูหยินคนก่อนเป็นคนขอร้องให้แม่นางเหยาดูแลลูกของตัวเอง”
กู้เจียวถาม “โหวฮูหยินคนก่อนมีลูกด้วยหรือ”
เถ้าแก่รองตอบ “ใช่แล้ว มีลูกสามคน โหวฮูหยินคนก่อนเป็นคนออกความคิดให้ติ้งอันโหวแต่งแม่นางเหยาเข้าเรือน แต่น่าเสียดายที่แม่นางเหยาไม่ยอมตกลง แม่นางเหยาเป็นคนปฏิเสธเอง หมอหลวงที่เคี่ยวยาอยู่ด้านหลังได้ยินทั้งหมด”
“แต่ไปๆ มาๆ สุดท้ายแล้วติ้งอันโหวก็ได้พบกับแม่นางเหยา ทั้งยังตกหลุมรักนางตั้งแต่แรกเห็น ติ้งอันโหวสู่ขอแม่นางเหยาทันที แม่นางเหนาก็ตกลงเช่นกัน เรื่องราวหลังจากนั้นเจ้าคงเดาออก ในเมืองหลวงก็เริ่มนินทาแม่นางเหยาไปทั่ว”
“หลายปีที่ผ่านมาโหวฮูหยินพักอยู่ที่จวนเวินเฉวียนซาน เหตุผลแรกเพราะต้องคอยเฝ้ากู้เยี่ยนที่ป่วย เหตุผลที่สองเพราะนางไม่มีอิสระยามอยู่ในเมืองหลวง”
“เดิมทีติ้งอันโหวก็มิได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับภรรยาคนแรกสักเท่าไหร่ เอาเป็นว่าเขารักแม่นางเหยามาก จากชาติตระกูลของแม่นางเหยาแล้วไม่คู่ควรจะเป็นภรรยาคนต่อไปของเขาด้วยซ้ำ เป็นเขาดึงดันจะแต่งงานกับแม่นางเหยาให้ได้ แต่ยิ่งเขารักแม่นางเหยามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้คนอื่นคิดว่าแม่นางเหยาแพศยามากขึ้นเท่านั้น”
ความจริงแล้วเถ้าแก่รองเคยเจอแม่นางเหยาครั้งหนึ่ง นางเป็นหญิงจิตใจบริสุทธิ์ แววตาใสซื่อราวกับทะเลสาบน้ำใสที่มองเห็นก้นบึ้ง
หากนางเป็นหญิงแพศยา ทั้งแผ่นดินก็คงเป็นกันทุกคน
…
การสอบระดับจังหวัดจะผ่านมาแล้วสิบวัน ประกาศรายชื่อจึงถูกนำมาติดที่หน้าศาลาว่าการ
เหล่าผู้เข้าสอบพากันมาถึงหน้าศาลาว่าการแต่เช้ามืด อยากจะดูให้เห็นกับตาว่าตนเองสอบผ่านหรือไม่
จำนวนของคนที่ผ่านการสอบคัดเลือกระดับจังหวัดนั้นมีจำกัด จากผู้เข้าสอบหลายร้อยคนมีเพียงห้าสิบคนเท่านั้นที่ได้รับคัดเลือก ทั้งยังแบ่งออกเป็นสองระดับ ระดับหนึ่งมีเพียงสิบคน ส่วนที่เหลือล้วนแต่จัดว่าเป็นระดับสอง
เฝิงหลินสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเอะอะของตู้รั่วหาน ตู้รั่วหานมาถึงจวนผู้ว่าตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง “เฝิงหลิน เฝิงหลิน! รีบตื่นเร็วเข้า! เจ้าแพ้พนันข้าแล้ว!”
ตู้รั่วหานพนันกับเฝิงหลินเพียงฝ่ายเดียว เขาพนันว่าเซียวลิ่วหลังสอบไม่ผ่าน ลงเดิมพันด้วยเงินยี่สิบชั่ง
เฝิงหลินหาววอด “…ข้ายังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย”
ตู้รั่วหานยัดซาลาเปาไส้หมูลูกใหญ่ใส่ปากเขาทันที ก่อนจะลากเขาลงไปชั้นล่าง
เฝิงหลินดึงซาลาเปาออกจากปาก “ลิ่วหลังก็ยังไม่ได้กิน…”
ตู้รั่วหานเอ่ย “เอาเถอะน่า เอาเถอะน่า! เขามีมือมีเท้า จะปล่อยให้ตัวเองหิวตายเชียวหรือ!”
ตู้รั่วหานเอ่ยอย่างอดไม่ได้พลางลากเฝิงหลินไปยังหน้าประตูศาลาว่าการ
ตรงนั้นมีผู้เข้าสอบยืนอยู่ไม่น้อย เบียดเสียดจนแทบแทรกตัวเข้าไปไม่ได้ ตู้รั่วหานเหนื่อยยากไม่น้อยกว่าจะลากเฝิงหลินให้เข้ามาถึงวงใน
ในสายตาของตู้รั่วหาน โอกาสที่จอมทึ่มอย่างเซียวลิ่วหลังจะสอบติดนั้นมีไม่สูงนัก
“ฮ่าฮ่าฮ่า รอควักเงินให้ข้าได้เลย เฝิงเสี่ยวตุน!”
“ข้าไม่ใช่เฝิงเสี่ยวตุน! แล้วข้า…ข้าก็ไม่ได้พนันกับ….” ยังไม่ทันสิ้นเสียง สายตาของเฝิงหลินก็จับจ้องไปที่รายชื่อที่ไม่มีผู้ใดไม่สะดุดตา เขานิ่งอึ้งจนพูดไม่ออก ปลายนิ้วชี้ไปที่รายชื่อบนประกาศ “เจ้า เจ้าดูสิ!”
ตู้รั่วหานมองตามปลายนิ้วของเขา
เขาเห็นรายชื่อหนึ่งในตำแหน่งที่แสนโดดเด่น ผู้ที่สอบได้ลำดับที่หนึ่งของระดับจังหวัด เซียวลิ่วหลัง!
ตู้รั่วหานตกตะลึงจนอ้าปากค้าง “ไม่ใช่หรอกกระมัง เจ้าหนุ่มนั่นสอบติดด้วยหรือนี่ แถมยังได้ที่หนึ่งอีกต่างหาก เป็นไปได้อย่างไร”
ไหนบอกว่าเป็นเจ้าทึ่มไม่ใช่หรือ
เจ้าหนุ่มที่ท่องตำราไม่ได้สักคำ กลับก้าวกระโดดมาเป็นที่หนึ่งของระดับจังหวัด
สอบให้ได้ที่หนึ่งของระดับจังหวัดนั้นยากกว่าระดับตำบลไม่รู้กี่เท่า เทียบชั้นกันไม่ได้ด้วยซ้ำ
ยิ่งไปกว่านั้นลุงเขยจิตวิปลาสของเขายังไปคนออกข้อสอบครั้งนี้อีกด้วย ซึ่งแปลว่าแทบจะไม่มีใครตอบถูกเลยด้วยซ้ำไม่ใช่หรือ
เฝิงหลินยื่นมืออกมา
ตู้รั่วหาน “อะไรของเจ้า”
เฝิงหลิน “เจ้าแพ้พนัน”
ไม่สิ เจ้าไม่ได้พนันกับข้าไม่ใช่หรือ
เจ้าเสียคนเพราะเจ้าหนุ่มนั่นแล้ว!
เฝิงหลินหอบเงินทั้งหมดของตู้รั่วหานกลับไปยังโรงเตี๊ยมอย่างหน้าชื่นตาบาน เขาแบ่งเงินครึ่งหนึ่งให้เซียวลิ่วหลัง เรื่องคะแนนนั้นคงไม่ต้องให้เขาพูด ยามนี้มีคนมาแสดงความยินดีถึงโรงเตี๊ยมไม่น้อยแล้ว