บทที่ 96 แผนร้ายของเฉินเย่าจง

หยวนซื่อต่อว่าเฉินซานจบยังไม่พอ จากนั้นก็เริ่มด่าคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านต่อ

“ครอบครัวของเราให้ผลประโยชน์กับพวกเจ้าไปเท่าใด พวกเจ้ามันคนอกตัญญู สวรรค์ เหตุใดถึงไม่ส่งสายฟ้าลงมาผ่าพวกเจ้าซะ!”

หยวนซื่อกระทืบเท้าและเริ่มสร้างความวุ่นวายขึ้นมา

จากนั้นก็มีคนทนฟังต่อไม่ได้อีก “จบหรือยัง เจ้าคิดว่าครอบครัวพวกเราไม่รู้หรืออย่างไร เจ้าเก็บไข่ไก่ของบ้านเฉินซานไป และยังทำคูน้ำทิ้งไปที่ประตูบ้านของเราอีก เวลาหน้าร้อนกลิ่นนั่นทำให้ครอบครัวของเราไม่สามารถข่มตาหลับได้ เช่นนี้คิดว่าครอบครัวของพวกเจ้ามีมโนธรรมอย่างนั้นหรือ ต่อให้เป็นขุนนางก็เป็นแค่ขุนนางสุนัขเท่านั้นแหละ”

“ใช่ ปีที่แล้วแม่ไก่บ้านเราหายไป เจ้าเป็นคนจับไปให้บ้านแม่ของเจ้าชัด ๆ ยังจะมีหน้ามาพูดอีกว่าไก่ที่เดินไปเดินมาใครจับได้ก็เป็นของคนคนนั้น ก่อนหน้านี้บ้านของเราที่ที่ดินขาดไปครึ่งหมู่ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าเจ้าเอาไปให้ใคร”

“เฉินเย่าจงจะเรียนหนังสือ เจ้าก็ให้พวกเราทุกบ้านช่วยออกเงิน เห็นแก่ที่เป็นพี่น้องตระกูลเดียวกันข้าก็ให้ ทำให้ลูกของพวกเราไม่ได้จัดงานอายุครบเดือน เจ้ายังไม่รู้จักอายอีกหรือ?”

“เป็นแค่หัวหน้าหมู่บ้านคิดว่าตัวเองสูงส่งมากอย่างนั้นหรือ หลายปีก่อนตอนที่เจ้าเป็นชู้กับหญิงม่ายแซ่สือนั่น เจ้ายังโยนความผิดให้คนอื่นด้วย”

หยวนซื่อเดิมทำคอแข็งไม่สนใจคำพูดของพวกเขา แต่เมื่อฟังถึงตรงนี้ก็กระโดดขึ้นมาตบตีกับเฉินไคชุนทันที

“ดี ข้าคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าเจ้ากับนางหญิงแพศยานั่นต้องเป็นชู้กัน เจ้ายังไม่ยอมรับอีก”

เฉินไคชุนไหนเลยจะยืนนิ่งให้หยวนซื่อตบได้ ย่อมต้องตอบโต้ ทั้งสองคนตบตีกัน ทว่าคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านกลับยืนมองอยู่เฉย ๆ อย่างไรเสียก็แตกหักกันแล้ว ครอบครัวเฉินไคชุนทะเลาะกันแล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเขาด้วย สอดมือเข้าไปยุ่งก็ไม่ได้ความดีความชอบอะไร

ครอบครัวของเฉินไคชุนก็เหมือนขี้หมาเหม็น ๆ เปื้อนแล้วสลัดอย่างไรก็ไม่หลุด

“พอได้แล้ว!” เจิ้งหลี่เจิ้งตะคอกขึ้นมา สีหน้าแสดงออกถึงความโมโหอย่างชัดเจน เขาอดทนมานานแล้ว ทว่าเหตุใดถึงไม่รู้มาก่อนเลยว่าครอบครัวของเฉินไคชุนมีนิสัยเช่นนี้!

“จะตีกันก็กลับไปตีที่บ้าน ที่นี่คือศาลบรรพชนของหมู่บ้านตระกูลเฉิน ไม่ใช่ห้องโถงบ้านพวกเจ้า!”

เจิ้งหลี่เจิ้งตะคอกเสร็จ หยวนซื่อก็โมโหแต่ทำอะไรไม่ได้จึงร้องไห้ออกมา

แต่น่าเสียดายที่ไม่มีคนสนใจนางเลยสักคน

“ในเมื่อผลออกมาแล้ว เฉินฉือรับตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านคนใหม่ ภายหน้าในหมู่บ้านมีเรื่องอะไร หวังว่าเฉินฉือจะรับผิดชอบในฐานะหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเต็มที่…”

ครอบครัวเฉินไคชุนที่ทะเลาะกันก็รู้สึกอับอาย ไม่รอจนชาวบ้านแสดงความยินดีกับเฉินฉือเสร็จ ก็รีบกลับบ้านไปทันที

เมื่อกลับมาถึงบ้าน เฉินหลันหลันก็ร้องไห้ออกมา “น่าอายจริง ๆ ตอนนี้ตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่มีแล้ว เรื่องงานแต่งของข้าจะทำอย่างไร ต่อไปจะมีใครอยากแต่งกับข้าอีกเล่า?”

นางต่อว่าจบก็ร้องไห้และกลับเข้าห้องไป หยวนซื่อจ้องเฉินไคชุนเขม็ง ยังอยากจะต่อว่าเขาอีก และถามว่าสุดท้ายแล้วเขาได้เป็นชู้กับหญิงม่ายแซ่สือนั่นจริงหรือไม่

แต่เฉินเย่าจงกลับเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

ตั้งแต่ที่เขาถูกทุบตี กลับมาถึงเขาก็ไม่เคยพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว

เวลานี้หน้าตาของเขาดูชั่วร้ายเป็นอย่างมาก จนหยวนซื่อรู้สึกกลัว

“ท่านย่า ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่านปู่ ท่านเข้าไปก่อนเถอะขอรับ”

เฉินไคชุนถอนหายใจออกมา “เย่าจงเอ๋ย…”

“ไปที่หมู่บ้านตระกูลอวี๋กันเถอะขอรับ”

“อะไรนะ ไปหมู่บ้านตระกูลอวี๋ทำไม?” เฉินไคชุนไม่เข้าใจ

เฉินเย่าจงเงยหน้าขึ้น แววตาดำมืด “ไปหมู่บ้านตระกูลอวี๋ บอกพวกเขาว่า คนของหมู่บ้านตระกูลเฉินป่าวประกาศไปทั่ว ว่าสตรีของหมู่บ้านตระกูลอวี๋นั้นไม่ปฏิบัติตามศีลธรรมอันดีงามของสตรี แต่งเข้าบ้านคนอื่นก็ไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง อย่าไปขอเด็ดขาด จะถูกสวมเขาเอาได้”

เฉินไคชุนจึงเข้าใจได้ในทันที “จากนั้นพวกเขาจะมาหาเรื่องคนในหมู่บ้าน ดีเลย ข้าจะดูสิว่าคนซื่อบื้ออย่างเฉินฉือจะปกป้องหมู่บ้านได้อย่างไร ถึงเวลาข้าค่อยออกหน้าไกล่เกลี่ยอีกที”

เฉินเย่าจงเบนสายตาไปทางอื่น “เรื่องนี้ต้องจัดการอย่างเร่งด่วน ท่านปู่ ท่านไปที่หมู่บ้านตระกูลอวี๋วันนี้เลยเถอะขอรับ ชาวบ้านไม่มีทางรู้แน่ จากนั้นก็เอาเรื่องนี้ไปพูดที่หมู่บ้านใกล้เคียงด้วย”

“ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”

เมื่อผลเรื่องการแต่งตั้งหัวหน้าหมู่บ้านออกมาแล้ว จี้จือฮวนจึงพาเด็ก ๆ ไปแสดงความยินดีกับครอบครัวของท่านป้าหยาง

ฟางจวิ่นเหมยดึงมือของจี้จือฮวนมาพร้อมกับเอ่ยขึ้น “พอดีหลายวันมานี้เก็บเงินได้นิดหน่อย ครอบครัวเราจึงจะจัดงานเลี้ยง น้องสาว ถึงเวลาเจ้าก็มากินด้วยนะ”

ครั้งล่าสุดที่หมู่บ้านจัดงานเลี้ยงคือตอนเกิดเรื่องของเฉินเย่าจง คิดไม่ถึงว่าจะบานปลายกลายเป็นเรื่องยุ่งเหยิงแทน

เมื่อได้ยินฟางจวิ่นเหมยเอ่ยเช่นนี้ คนอื่น ๆ ในหมู่บ้านก็ชวนกันเอ่ยหยอกล้อขึ้นมา “สะใภ้ตระกูลเผยเมื่อไรจะจัดงานเลี้ยงฉลองที่อาฉือเข้าเรียนบ้างเล่า คงใกล้แล้วกระมัง?”

ก่อนหน้านี้จี้จือฮวนไม่คิดที่จะเชิญชาวบ้านเหล่านี้ แต่ช่วงนี้ความสัมพันธ์กับพวกเขาดีขึ้นมากแล้ว อีกอย่างทุกคนก็เป็นกันเอง

“ต้องจัดแน่เจ้าค่ะ แต่ว่าบ้านของเรายังสร้างไม่เสร็จ รอเข้าบ้านใหม่แล้วค่อยจัดทีเดียว”

ความจริงแล้วทุกคนก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น ไม่มีใครคิดเป็นจริงเป็นจัง แต่ฟางจวิ่นเหมยกลับออกตัวปกป้องจี้จือฮวนทันที “ทำไม พวกเจ้ากลัวว่าจะไม่ได้กินกันหรืออย่างไร อาหารที่น้องสาวข้าทำ แม้แต่ห้องเครื่องในวังหลวงก็ยังสู้ไม่ได้”

คนในหมู่บ้านรู้มานานแล้วว่าจี้จือฮวนทำอาหารอร่อย กลิ่นหอมที่ลอยมาจากเนินเขาทุกวัน ทำให้พวกเขาหิวจนน้ำลายแทบจะไหลออกมา

ท่านป้าหยางต้องกลับบ้านไปเลือกวันดีมาจัดงานเลี้ยง และยังต้องเข้าไปที่ตำบลเพื่อซื้อเนื้อซื้อผัก วันนี้จึงไม่ได้ไปช่วยงานที่บ้านจี้จือฮวน

นางกำลังจะพาเด็ก ๆ ทั้งสามคนกลับบ้าน อาฝูก็วิ่งดุกดิกตามมาด้วย ฟางจวิ่นเหมยจึงเอ่ยขึ้น “น้องสาว วันนี้ที่บ้านยุ่ง ๆ อาฝูไปอยู่บ้านเจ้ามีคนคอยดู จะได้เรียนกับพวกอาชิงด้วย เจ้าอย่ารังเกียจเขาเลยนะ”

“ไม่หรอกเจ้าค่ะ พวกท่านวางใจเถอะ คืนนี้ให้เขานอนที่บ้านข้าเลยก็ได้นะเจ้าคะ” จี้จือฮวนรับคำ

ฟางจวิ่นเหมยรู้สึกดีใจมาก บ้านจี้จือฮวนกินดีอยู่ดี อาฝูอ้วนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งสองวันมานี้เวลาอยู่บ้านเขาก็รู้ความขึ้นมาก รู้จักไปล้างมือก่อนกินข้าว รู้จักพูดขอบคุณคนอื่น

ไฉนเลยจะมีท่าทางขี้กลัว ขี้อาย ไม่กล้าอยู่ต่อหน้าคนหมู่มากอย่างเมื่อก่อนอีก

ความจริงแล้วผู้หญิงหลายคนในหมู่บ้านต่างก็ลังเลใจ ก่อนหน้านี้เคยไปดูบ้านใหม่ของพวกเขามาแล้ว ของเล่นเด็กเหล่านั้น ลูก ๆ ของพวกนางก็ร้องอยากจะได้ แต่พวกนางมีเงินเหลือเฟือที่ไหนกัน หากสามารถไปเล่นโดยไม่ต้องเสียเงินที่บ้านของครอบครัวเผยได้ก็คงจะดี

อีกอย่างก็ได้ยินมาว่าอาฝูได้กินเนื้อ กินลูกอม และยังดื่มนมวัว นมแกะที่บ้านของนางด้วย

นี่เหมือนกับคุณชายน้อยในเมืองอย่างไรอย่างนั้น

จึงมีคนเสนอความคิดขึ้นมา “สะใภ้ตระกูลเผย อย่าพาไปแต่อาฝูสิ ให้เสี่ยวฮวาของเราไปด้วยจะได้หรือไม่?”

“เสี่ยวเตี๋ยกับเสี่ยวฮุยของเราก็อยากไปด้วย”

ฟางจวิ่นเหมยจึงเอ่ยทะลุกลางปล้องขึ้นมาทันที “พวกเด็ก ๆ จะไปก็ย่อมได้ แต่ที่อาฝูกินดื่มที่นั่น ล้วนหักจากค่าแรงของท่านแม่ข้า คิดว่าพวกเจ้าก็คงต้องจ่ายเงินด้วยกระมัง?”

เมื่อพูดถึงเรื่องเงิน ทุกคนก็หน้าเสียไปตาม ๆ กัน

“เช่นนั้น…เช่นนั้นก็ช่างเถอะ แค่นี้ก็ต้องจ่ายเงินด้วยหรือ?”

ฟางจวิ่นเหมยถลึงตาใส่ “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า ของว่างตอนบ่ายในทุก ๆ วัน น้องสาวข้าต้องทำอย่างยากลำบากอยู่ในครัว ของเล่นเหล่านั้นของอาชิงก็ไม่ได้มาเปล่า ๆ จ่ายเงินก็เป็นเรื่องธรรมดามิใช่หรือ โลกนี้มีของที่ได้เปล่า ๆ ด้วยอย่างนั้นหรือ?”

ฟางจวิ่นเหมยเดิมก็เป็นคนพูดตรง ๆ อยู่แล้ว ทำให้คนในหมู่บ้านที่คิดจะเอารัดเอาเปรียบต่างก็กระดากอายไปตาม ๆ กัน

โชคดีที่ไม่นานก็มีคนทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน ก่อนจะแยกย้ายกลับบ้านไป เพื่อไม่ให้ถูกฟางจวิ่นเหมยต่อว่ารายคน แต่เพราะเหตุนี้จึงทำให้เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลมีความคิดหนึ่งขึ้นมา

เด็ก ๆ เหล่านี้วัน ๆ อยู่บ้านช่วยทำไร่ทำนา โตมาก็ต้องมีชีวิตเป็นเกษตรกร หากมีคนสามารถสอนให้พวกเขาอ่านหนังสือและเข้าใจหลักเหตุผลได้ อย่างน้อยเด็กเหล่านี้ก็จะมีทางเลือกอีกหนึ่งทาง ต่อไปหากทำกิจการร้านค้า ก็จะได้ไม่ถูกคนหลอกเอาได้

แต่หมู่บ้านตระกูลเฉินนั้นยากจน ยากจนมาก จำนวนคนก็น้อย พื้นที่นาที่ใช้เพาะปลูกยิ่งไม่ต้องพูดถึง การจะอยู่ดีกินดีนั้นจึงเป็นได้แค่ความฝัน

และเมื่อเฉินไคชุนกลับมาจากหมู่บ้านตระกูลอวี๋ เขาก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่ที่บ้านของเฉินฉือ ดวงตาของเขาจึงหรี่ลงเล็กน้อย

พรุ่งนี้พวกเจ้าเจอดีแน่!