บทที่ 95 ตบหน้า! เลือกหัวหน้าหมู่บ้าน

ทางด้านนี้ถังกั๋วกงเพิ่งกลับถึงที่พักชั่วคราว ก็มีคนรับใช้มารายงานว่าท่านหมอเทวดาลู่จะไปแล้ว

พ่อบ้านจูได้ยินเช่นนั้นก็กลอกตามองบน “อยากไปก็ให้นางไป มานานเพียงนี้แล้วนอกจากติโน่นตินี่ เคยทำอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันบ้างหรือไม่?”

เก่งสู้หมอชาวบ้านคนหนึ่งก็ไม่ได้ ยังกล้าเรียกตัวเองว่าหมอเทวดาอีก

ถังกั๋วกงส่งเสียงกระแอมหนึ่งที “ในเมื่ออยากจะไป ก็ให้นางไปเถิด”

เมื่อท่านกั๋วกงกับพ่อบ้านเอ่ยเช่นนี้ คนรับใช้จึงไม่พูดอะไรอีก

ลู่อวิ๋นเซียงกำลังเก็บของอยู่ในห้อง แม้จะบอกว่ากำลังเก็บของ แต่การเคลื่อนไหวนั้นกลับเชื่องช้ามาก เช็ดของแล้วก็วาง วางแล้วก็เช็ดอยู่อย่างนั้น

อู๋จิงเอ่ย “คุณหนูเจ้าคะ คนของจวนถังกั๋วกงเหตุใดถึงยังไม่มารั้งพวกเราไว้อีกล่ะเจ้าคะ?”

ลู่อวิ๋นเซียงหัวเราะเยาะออกมา “จะร้อนใจไปทำไมกัน เจ้าคิดว่าสาวชาวบ้านนั่นจะสามารถช่วยถังกั๋วกงได้จริงน่ะหรือ แค่อาการดีขึ้นก่อนที่จะตายก็เท่านั้น เชื่อหรือไม่ว่าพอพวกเราออกไปได้ไม่นาน พวกเขาจะต้องไปเชิญเรากลับมาอีกอย่างแน่นอน”

“ข้าแค่จะให้โอกาสพวกเขาอีกสักครั้งก็เท่านั้น จะได้ไม่ต้องมานั่งเก็บของใหม่อีก”

อู๋จิงพยักหน้า “ก็จริงเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าจะทำช้าลงอีกหน่อย”

ตอนที่พ่อบ้านจูเข้ามา เขาก็พบว่าสิ่งของภายในห้องนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก ที่ผ่านมาลู่อวิ๋นเซียงไม่เคยเห็นพ่อบ้านจูอยู่ในสายตาอยู่แล้ว ก็แค่คนรับใช้คนหนึ่ง ทำมาเป็นจิ้งจอกอ้างบารมีเสืออะไรกัน

“ดูเหมือนว่าแม่นางลู่จะเก็บของได้ค่อนข้างช้า ถ้าฟ้ามืดแล้วจะเดินทางลำบากเอาได้ เช่นนั้น เด็ก ๆ มาช่วยแม่นางลู่เก็บของที”

สีหน้าของลู่อวิ๋นเซียงเปลี่ยนไปในทันที นางลุกขึ้นยืนพลางจ้องหน้าพ่อบ้านจู “อย่าเอามือสกปรกมาแตะของของข้า”

พ่อบ้านจูเลิกคิ้วขึ้น “ได้ เช่นนั้นแม่นางลู่ก็เร่งมือเข้าเถอะ พวกเราไม่สนใจเจ้าแล้ว”

เอ่ยจบ พ่อบ้านจูก็นำคนไปนั่งรออยู่ในสวน แสดงออกชัดเจนว่าต้องการเห็นพวกนางออกไปแล้วจริง ๆ

ลู่อวิ๋นเซียงโมโหไม่น้อย “จวนถังกั๋วกงของพวกเจ้าอย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน!”

คราวนี้นางไม่ให้อู๋จิงค่อย ๆ เก็บของอีกแล้ว เมื่อเก็บของเสร็จก็จะไปทันที แต่น่าเสียดายที่กล่องใบใหญ่สองใบอู๋จิงคนเดียวยกไม่ไหว

พ่อบ้านจูทำเพียงนั่งกระดิกเท้าอยู่ตรงนั้น เกี่ยวอะไรกับเขากัน รังเกียจที่พวกเขามือสกปรกไม่ใช่หรือ คุณหนูลู่ผู้สูงส่งก็คิดหาวิธีเองเถิด

กว่าจะขึ้นมาบนรถม้าได้ ลู่อวิ๋นเซียงก็โมโหจนตัวสั่น

อู๋จิงเองก็โมโหจนร้องไห้ออกมาเช่นกัน “คุณหนูเจ้าคะ จวนถังกั๋วกงรังแกกันเกินไปแล้ว ถึงกลับกล้าไปเชื่อสาวชาวบ้านคนหนึ่งแต่ไม่ยอมเชื่อท่าน หากไม่ใช่เพราะการรักษาที่ถูกวิธีของคุณหนูก่อนหน้านี้ ถังกั๋วกงไหนเลยจะหายเร็วเพียงนี้ หญิงชาวบ้านผู้นั้นชุบมือเปิบชัด ๆ เลยนะเจ้าคะ”

ลู่อวิ๋นเซียงเชิดคางขึ้น “ไม่เป็นไร ถึงเวลาถังกั๋วกงเป็นอะไรขึ้นมา หากอาจารย์ตำหนิลงมา ข้าจะบอกว่าพวกเขาไม่ให้ข้ารักษาเอง”

อู๋จิงพยักหน้ารับ “จริงสิเจ้าคะ คุณหนูหมิงซูส่งเทียบเชิญมา หากพวกเรากลับไปตอนนี้ก็ยังไปงานเลี้ยงวันเกิดของจี้กั๋วกงทันนะเจ้าคะ”

ลู่อวิ๋นเซียงหายใจเข้าช้า ๆ “ไปเถอะ ข้าเองก็ไม่ได้เจอหมิงซูมานานแล้ว”

ส่วนสาวชาวบ้านที่แย่งผลงานของนางผู้นั้น สักวันนางต้องมีโอกาสจัดการแน่ นางจะต้องให้ทุกคนบนแผ่นดินนี้ได้รู้ว่า ชื่อเสียงของตระกูลหมอเทวดาไม่ใช่สิ่งที่สาวชาวบ้านคนหนึ่งจะมาท้าทายได้

ชาวบ้านในหมู่บ้านตระกูลเฉินหาได้รับรู้เรื่องความวุ่นวายในตำบลฉาซู่ไม่

สำหรับพวกเขาการเลือกตั้งหัวหน้าหมู่บ้านต่างหากที่ถือเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นวันสำคัญ

ในตอนเช้า เจิ้งหลี่เจิ้งและผู้อาวุโสของตระกูลได้มานั่งรออยู่ที่ห้องศาลบรรพชนแล้ว วันนี้พวกชาวบ้านก็ไม่ได้ไปทำไร่ไถนากัน แต่เลือกที่จะมาเข้าร่วมตัดสินด้วย

ตั้งแต่เมื่อคืนเฉินไคชุนก็นอนไม่ค่อยหลับเท่าไร และต่อให้จะไม่อยากมาอย่างไร แต่ก็หนีวันนี้ไม่พ้นอยู่ดี

เนื่องจากเป็นการเลือกตั้งหัวหน้าหมู่บ้าน ดังนั้นทุกคนจำเป็นจะต้องอยู่ร่วมงาน

สองวันก่อน เฉินเย่าจงถูกคนทำร้ายในตำบลฉาซู่ ตอนที่เฉินไคชุนทราบข่าวและไปรับเขา นอกจากเสื้อผ้าของเฉินเย่าจงจะขาดวิ่นแล้ว ยังมีคนฉี่รดบนตัวเขาอีกด้วย ร่างทั้งร่างนอนขดอยู่ในตรอก

สภาพนี้ของเฉินเย่าจงทำให้เฉินไคชุนสงสารจนตาแดงก่ำ เมื่อไปรักษาที่โรงยา ท่านหมอก็บอกว่ากระดูกที่มือของเขาหัก เมื่อกล้ามเนื้อหรือกระดูกบาดเจ็บต้องใช้เวลาร้อยวันจึงจะหายดี ดังนั้นวันนี้ก็เลยถูกหามมาด้วย

ทว่านับตั้งแต่เฉินเย่าจงกลับมาบ้านเขาก็ดูแปลกไป วันนี้ดวงตาคู่นั้นก็เอาแต่จ้องผู้คนเขม็ง หลายคนเมื่อสบตากับเขาต่างก็ไม่กล้ามองอีก รู้สึกเหมือนเขาเสียสติไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น

“มากันครบแล้วหรือยัง?” เจิ้งหลี่เจิ้งเอ่ยถาม

“หลี่เจิ้ง ครอบครัวเผยยังไม่มาเลย”

“อ่อ เช่นนั้นรออีกครู่หนึ่ง”

เฉินไคชุนยิ้มเย็นออกมา แค่เพราะเห็นเผยจี้ฉือได้เข้าสำนักศึกษาชิงอวิ๋น ตอนนี้แต่ละคนถึงได้หน้ามืดตามัว ดูถูกครอบครัวพวกเขาอย่างลำเอียง

หากไม่ใช่เพราะเผยจี้ฉือ ตอนนี้คนที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ก็คงมีแค่เย่าจงเท่านั้น!

ตอนที่จี้จือฮวนพาลูก ๆ ทั้งสามเข้ามา ทุกคนล้วนแต่ตาเป็นประกาย นอกจากรอยแผลเป็นบนใบหน้าของจี้จือฮวนจะจางลงเรื่อย ๆ แล้ว รอยเขียว ๆ นั่นก็ใกล้จะหายแล้วเช่นกัน อีกทั้งเด็กสามคนนั้นก็ยังมีหน้าตาที่ดูดีขึ้นอีกด้วย

คนโตสุขุม เล่นดินเล่นโคลนเหมือนเด็กบ้านนอกที่ไหนกัน คนรองก็ทำงานเก่ง แรงเยอะ ผู้หญิงในชนบทที่ทำงานเก่งต่อไปรับรองว่าจะต้องได้แต่งงานกับคนดี ๆ แน่ ส่วนคนเล็กก็ปากหวานรู้จักอกเอาใจคนอื่น

ตอนนี้ใครบ้างจะไม่อิจฉาครอบครัวเผย

รู้สึกเหมือนฮวงจุ้ยบ้านของครอบครัวเผยยังดีกว่าคนอื่นด้วย

“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะที่มาช้า” จี้จือฮวนเอ่ย

เจิ้งหลี่เจิ้งปัดมือไปมา “ไม่ได้รอนานขนาดนั้นหรอก แค่ครู่เดียวเท่านั้น ไปยืนข้าง ๆ ก่อนเถอะ”

มีเพียงเวลานี้เท่านั้นที่สตรีในหมู่บ้านจะได้รับอนุญาตให้เข้ามาในโถงบรรพชน

เผยจี้ฉือเมื่อยืนเรียบร้อยแล้ว จึงได้สังเกตเห็นสายตาราวกับจะฆ่าคนของเฉินเย่าจง

เขาปรายตามองอย่างดูแคลน เพียงแค่แวบเดียวก็ทำให้เฉินเย่าจงแทบจะทนไม่ไหว อยากจะลุกขึ้นมาสู้กับเขาเสียให้รู้แล้วรู้รอด

“ในเมื่อทุกคนมากันครบแล้ว เช่นนั้นก็เริ่มเลือกหัวหน้าหมู่บ้านกันเถอะ ช่วงที่ผ่านมาข้าเองก็ได้ถามความคิดเห็นของชาวบ้านคนอื่น ๆ แล้ว ผู้ที่ได้รับเลือกให้มาเข้าแถว และให้แต่ละคนพูดสิ่งที่อยากจะทำซะ ถ้าชาวบ้านยินดีจะสนับสนุนก็ให้ไปยืนด้านหลังของคนผู้นั้น ใครมีคนมากกว่า คนนั้นก็จะได้เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน”

วิธีนี้โปร่งใสและยุติธรรม และไม่ได้เข้าข้างใครคนใดคนหนึ่ง ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของชาวบ้าน

คนส่วนใหญ่ที่มีคนเสนอชื่อล้วนไปยืนอยู่ตรงกลางแล้ว จนกระทั่งเฉินไคชุนลุกขึ้นยืน ชาวบ้านจึงมองไปที่เขาเป็นตาเดียวกัน พลางทำสีหน้าราวกับจะบอกว่า เจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงได้ลุกขึ้นมา

เฉินไคชุนจึงเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “ทำไม ไหนบอกว่าถ้ามีคนเสนอก็สามารถลุกขึ้นมาได้อย่างไร ครอบครัวเราทั้งครอบครัวล้วนเสนอให้ข้าเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน”

ครอบครัวของเฉินไคชุนมีไม่น้อย เขาจึงมีคุณสมบัติจริง ๆ

เพียงแต่ในใจของทุกคนต่างรู้ดีว่าไม่มีใครเลือกเขาก็เท่านั้น

เฉินไคชุนหาได้สนใจไม่ เขาคิดว่าทั้งหมู่บ้านไม่มีใครเหมาะที่จะเป็นหัวหน้าหมู่บ้านไปมากกว่าเขาอีกแล้ว

พวกชาวนาพวกนั้นจะไปรู้อะไร

หากไม่มีเขาถึงเวลาแค่ปัญหาเรื่องแหล่งน้ำ ก็คงแย่งกับหมู่บ้านอื่นไปครึ่งค่อนวันแล้วกระมัง

เฉินไคชุนหน้าหนายืนอยู่ตรงนั้นไม่ยอมไปไหน ดูสิว่าใครจะกล้ามาแข่งกับเขา

รอจนกระทั่งตอนที่เขาออกมาพูด ก็เรียกได้ว่าพูดเป็นต่อยหอยเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็น ต่อไปเฉินเย่าจงก็สอบจอหงวนได้แล้ว จะไม่ลืมทุกคนอย่างแน่นอน ทำให้คนทั้งหมู่บ้านมีอันจะกินไปด้วย

ซึ่งชาวบ้านต่างก็ได้ยินคำพูดเหล่านี้มาสิบกว่าปีแล้ว สุดท้ายเจ้าคนไม่ได้เรื่องเฉินเย่าจง แค่สำนักศึกษาก็ยังเข้าไม่ได้แล้วยังขโมยของของคนอื่นอีก

เหตุใดถึงยังมีหน้ามาบอกว่าจะได้สอบจอหงวนกันเล่า?

ชาวบ้านในตอนนี้ไม่ใช่ชาวบ้านในอดีตอีกต่อไปแล้ว ที่จะถูกล้างสมองได้ง่าย ๆ

จนกระทั่งถึงตอนต่อแถวเลือกหัวหน้าหมู่บ้าน คนส่วนใหญ่ต่างก็เลือกไปยืนอยู่ข้างหลังครอบครัวของท่านป้าหยางกัน

เฉินไคชุนเห็นชาวบ้านเหล่านี้ต่างก็เลือกครอบครัวของท่านลุงเฉินกับตา สีหน้าก็พลันเคร่งขรึมและย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ

หยวนซื่อทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงลุกขึ้นมาพร้อมกับเอ่ยออกมาว่า “เฉินซาน เจ้าอย่าลืมนะว่าตอนที่ตาเฒ่าเฉินของเราเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ครอบครัวพวกเจ้าก็ได้ประโยชน์ไปไม่น้อย!”