บทที่ 96 ล้อเล่นใช่หรือเปล่าว่าเจ้าเป็นใหญ่สุด

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 96 ล้อเล่นใช่หรือเปล่าว่าเจ้าเป็นใหญ่สุด
เฟิ่งชิงหัวอธิบายได้ไม่ชัดเจนนักว่าขุนนางใหญ่ที่ตนเองพูดมานั้นเป็นฐานะอะไรกัน หากให้จ้านเป่ยเซียวได้รู้ว่าตนเองจะล้มท่านพ่อแท้ๆ ของตนลง ก็เกรงว่าจะคิดว่านางเป็นหญิงร้ายเป็นแน่

“งั้นก็ต้องดูว่าขุนนางใหญ่ที่เจ้าว่าล่วงเกินใครเข้า” จ้านเป่ยเซียวกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม

เฟิ่งชิงหัวกะพริบตาไปมา: “อย่างเช่นล่วงเกินถูกเจ้าล่ะ?”

“สังหารทิ้งไปก็เป็นอันโยกย้ายแล้ว?” จ้านเป่ยเซียวกล่าวออกมาอย่างสบายอารมณ์เป็นพิเศษ

เฟิ่งชิงหัวหัวเราะออกมาอย่างเจื่อนๆ ไปสองที: “เจ้าล้อเล่นใช่หรือเปล่า”

คนผู้นี้ทำไมถึงได้ร้ายกาจยิ่งกว่าเขาเสียอีก

“ล้อเล่นใช่หรือเปล่า ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นใหญ่สุดเหรอ?” จ้านเป่ยเซียวมองมาที่นางพร้อมกับน้ำเสียงที่เคร่งขรึม ดวงตาลึกล้ำ

ในใจของเฟิ่งชิงหัวเต้นไม่เป็นจังหวะ รีบก้มหน้าก้มตามองที่กระดาษที่อยู่ตรงหน้าของตนทันที: “ข้าก็แค่ถามดูเท่านั้นเอง”

“เจ้า” จ้านเป่ยเซียวกำลังจะพูดขึ้น หลิวหยิ่งก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่หน้าประตู ขัดจังหวะคำพูดของฝ่ายชายไปเลย

“นายท่าน ฮูหยินเฉิงเซี่ยงมาขอรับ บอกว่าไม่ได้เจอพระชายานาน มีความห่วงคำนึงหาเป็นอย่างมาก

เฟิ่งชิงหัวฟังดังนั้นก็เลิกคิ้วขึ้น ฮูหยินเฉิงเซี่ยงน่ะเหรอ ครั้งที่แล้วถูกนางโกนผมไปน่าจะยังงอกออกมาได้ไม่เท่าไรนะ นี่ก็ยังผ่านไปไม่นานเลย คงไม่น่าจะอยากมาพบนางไวขนาดนี้ละมั้ง?

ไม่นานนักเฟิ่งชิงหัวก็นึกขึ้นได้ว่าคนผู้นี้มาที่นี่จะต้องได้รับบัญชาจากทางด้านวังหลวงนั้นมาแน่นอน มุมปากก้เผยให้เห็นเป็นรอยยิ้มจางๆ ขึ้นมา

“ใช่สิ ข้าก็หวนคำนึงถึงท่านแม่เช่นกัน นานมากแล้วไม่ได้รับประทานอาหารกับท่านแม่ด้วยกัน หลิวหยิ่งเจ้าให้ท่านแม่ของข้าไปรอที่โถงด้านหน้าก่อน ข้าจะไปเตรียมอาหารเดี๋ยวนี้แหละ” ในขณะที่พูดอยู่เฟิ่งชิงหัวก็ลุกขึ้นมา สีหน้าท่าทางบนใบหน้าแฝงไว้ด้วยอารมณ์ชั่วร้ายอยู่หลายเท่า

จ้านเป่ยเซียวได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วขึ้น ตามที่เขาทราบนั้น ผู้หญิงคนนี้และฮูหยินเฉิงเซี่ยงไม่ได้มีความลึกซึ้งระหว่างมารดากับลูกขนาดนั้นเลย

ด้านนั้นโถงด้านหน้า ฮูหยินเฉิงเซี่ยงนั่งอยู่ตรงนั้นได้เพียงรู้สึกว่าเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม สายตามองไปยังที่หน้าประตูอย่างกระสับกระส่าย ทั้งตั้งตารอคอยและก็ยังหวาดกลัวอยู่บ้างเล็กน้อย

เมื่อครู่ตอนที่แม่นมเจียงที่เป็นคนข้างกายของฮองเฮามาหานางที่จวนเฉิงเซี่ยงเพื่อแสดงเจตนาที่มา อันที่จริงแล้วฮูหยินเฉิงเซี่ยงก็อยากจะปฏิเสธ แต่ว่าแม่นมเจียงกลับเอาป้ายบัญชาการออกมาเพื่อบีบบังคับทางอ้อม นางก็เลยต้องฝืนพยักหน้าแล้วก็ตามมาที่นี่

พอนึกถึงว่าตนเองจะเผชิญหน้ากับหนานกงเยว่ลั่วในตอนนี้ ฮูหยินเฉิงเซี่ยงยังคงมีความกลัวที่จะถูกครอบงำโดยหนังศีรษะของนางไว้อยู่ในตอนนี้

หลังจากผมของนางถูกถอนออกไป เป็นระยะเวลานานมากที่ไม่กล้าออกจากบ้าน สุดท้ายก็เลยต้องฝืนทนยอมซื้อเส้นผมหญิงสาวที่ราคาสูง และท้ายที่สุดก็เอามาทำเป็นผมปลอม

พอนึกถึงหนานกงเยว่ลั่ว ฮูหยินเฉิงเซี่ยงก็ยังรู้สึกว่าหนังศีรษะยังเย็นเยือกอยู่เลย แต่สุดท้ายแล้วก็เปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้นที่ยิ่งลึกลงไปต่อหนานกงเยว่ลั่ว

ความสับสนที่เกิดขึ้นในใจของนางทำให้นางแสดงสีหน้าท่าทางออกมาที่เปลี่ยนไปมาหลายอากัปกิริยา

ผ่านไปนานแล้วก็ยังไม่เห็นเฟิ่งชิงหัวปรากฏตัว ฮูหยินเฉิงเซี่ยงก็เลยกล่าวออกมาอย่างสุดจะทนว่า: “แม่นมเจียง ดูท่าพระชายาคงจะไม่มาพบพวกเราแล้วล่ะ พวกเราไปกันเถอะ”

แม่นมเจียงกล่าวออกมาด้วยท่าทางจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม: “ฮูหยินจากไปเช่นนี้ งั้นข้ากลับไปจะกราบทูลเหนียงเหนียงว่าอย่างไรเล่า?”

ฮูหยินเฉิงเซี่ยงก็เลยได้เพียงนั่งลงต่ออย่างว่าง่าย แล้วก็ไม่ลืมหันไปพูดกับแม่นมเจียงว่า: “แม่นมเจียง ลูกสาวคนนี้ของข้านอกลู่นอกทางมาตั้งแต่เด็ก เรื่องดีๆ ไม่เรียน เรียนแต่เรื่องที่ออกหน้าออกตาไม่ได้ ท่านอยากจะชี้แนะสั่งสอนก็ตามสบายเลย ไม่ต้องรู้สึกลำบากใจ”

แม่นมเจียงเม้มริมฝีปาก แอบลูบบริเวณที่ตนเองหกล้มจนเจ็บอยู่ แล้วกล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่เย็นชาว่า: “ฮูหยินเป็นถึงท่านแม่ของพระชายา สั่งสอนหรือว่าชี้แนะน่าจะเป็นฮุหยินจัดการเอวจะดีกว่า”

“ใครจะสั่งสอนข้างั้นหรือ?” เสียงเพิ่งจะดังออกไป ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงดังเข้ามาจากด้านนอก ทันใดนั้น ทั้งสองคนก็รู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาทันที รอบกายปวดร้าวไปหมด

เฟิ่งชิงหัวเดินเข้ามากลางโถง ด้านหลังยังมีองครักษ์อีหลายนายติดตามมาด้วย ในมือยกอาหารที่ปิดไว้สนิทมิดชิดอย่างแน่นหนาไว้หลายจาน ก็ถูกจัดวางลงบนโต๊ะ

เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มว่า: “ท่านแม่กับแม่นมมาได้ไม่บังเอิญเลย จวนอ๋องกำลังเตรียมที่จะรับประทานอาหาร และก็ไม่ได้เตรียมอาหารไว้เกินด้วย ดังนั้นของพวกนี้ต่างก็เป็นของที่ข้าเป็นคนลงมือทำเอง ก็เลยทำให้ทั้งสองท่านรอนานอยู่สักพักหนึ่ง”

ฮูหยินเฉิงเซี่ยงได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วมองมาทางเฟิ่งชิงหัว ในใจแอบคาดเดาว่า: หรือเป็นไปได้ว่านางจะมาประนีประนอมกับข้า?

ในใจของแม่นมเจียงที่คิดไว้กลับเป็น่าตอนนี้ถึงจะรู้จักกลัวขึ้นมางั้นหรือ อยากจะเอาอาหารสักมื้อมาประจบ ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก

ในขณะที่คิดเช่นนี้อยู่ แม่นมเจียงก็กล่าวออกมาด้วยเสียงเย็นชาว่า: “พระชายาเกรงใจไปแล้ว ครั้งนี้ที่พวกเรามาก็ไม่ใช่ว่าจะมาทานอาหาร”

เฟิ่งชิงหัวยิ้มอย่างดูมีเลศนัยอย่างผิดปกติ กล่าวออกมาด้วยคำพูดที่นุ่มนวล: “เป้าหมายที่มาคืออะไรไม่สำคัญ ยังไงมาก็มาแล้ว ก็ทานอะไรง่ายๆ เสียหน่อยเถอะ”

ในขณะที่พูดอยู่นั้น มือทั้งสองข้างก็ตบเบาๆ ครู่หนึ่ง ก็เห็นโถงใหญ่ที่เดิมนั้นสว่างจ้าอยู่ ถูกคนปิดทั้งประตูและหน้าต่างอย่างรวดเร็ว ปิดแนบสนิทอย่างมาก แม้แต่ยุงสักตัวก็บินออกไปไม่ได้เลย