บทที่ 95 ศูนย์พักพิงสุนัขจรจัด

พลิกชะตาหมอยา

แม่นมเจียงนอนเอนอยู่บนพื้นฟังคำพูดของพระชายาอยู่ ได้เพียงรู้สึกว่าเลือดเก่าที่คลั่งค้างอยู่ในอกอยากจะอาเจียนออกมาก็ไม่ยอมออก

พวกนางในวังที่มาด้วยกันจากในวังเมื่อเห็นดังนั้นจึงรีบมาประคองแม่นมเจียงขึ้นมาทันที พลางเช็ดรอยบาดแผลแทนนาง แล้วพลางปัดฝุ่นที่เลอะเทอะอยู่ตามตัวนางด้วย การปฏิบัติเช่นนั้นหากจะบอกว่าเป็นนายท่านคนหนึ่งก็ไม่เกินไปหรอก

ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นตัวละครที่ร้ายกาจมากในวังจริงๆ

แม่นมเจียงค่อยๆ แหงนคอขึ้น แล้วก็กล่าวกับพระชายาเจ็ดว่า: “พระชายา ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า ท่านได้ล่วงเกินถูกคนของฮองเฮาแล้วจะเกิดผลลัพธ์อันใดขึ้น?”

“ผลลัพธ์อะไร พูดมาให้ฟังหน่อย” เฟิ่งชิงหัวเกาหูไปมา ทำท่าทางที่อยากจะรับฟังอย่างเต็มที่ออกมา

แม่นมเจียงเพียงแค่คิดว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้ก็เป็นผู้หญิงที่เอาแต่ใจและนิยมความรุนแรงอยู่บ้าง ดังนั้นก็เลยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ใสสะอาดว่า: “แม้ว่าองค์ฮองเฮาจะไม่ใช่มารดาโดยกำเนิดของท่านอ๋อง แต่ว่าก็นับได้ว่าเป็นเสด็จแม่อย่างเป็นทางการเช่นกัน มีหน้าที่รับผิดชอบในการชี้นำความประพฤติไม่ถูกทำนองคลองธรรมของลูกชายและลูกสะใภ้ของตนเอง หากคำพูดและการกระทำของท่านมีความบกพร่อง ก็เป็นไปได้มากที่จะสามารถปลดท่านออก แล้วให้ท่านอ๋องเจ็ดแต่งพระชายาท่านใหม่ได้ แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ พระชายายังจะกระทำการเช่นนี้อีกหรือไม่?”

“มาเป็นวรรณศิลป์เชียว ความหมายของเจ้าก็คือว่าฮองเฮาสามารถปลดข้าแทนท่านอ๋องใช่หรือไม่?” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยเสียงหัวเราะเย็นชา

แม่นมเจียงไม่สั่นคลอน ตอบอย่างแน่นิ่งว่า: “ใช่แล้วเพคะ”

เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มว่า: “แล้วยังไงต่อล่ะ?”

แม่นมเจียงจ้องไปยังเฟิ่งชิงหัว เห็นนางดื้อดึงอย่างไม่ฉลาดเหมือนกับรากไม้เอล์มเลยอย่างคาดไม่ถึง โมโหจนถกแขนเสื้อขึ้นมาแล้วกล่าวว่า: “ดื้อดักดาน! หากเจ้าอยากจะอยู่ในจวนอ๋องอย่างสงบสุขก็ควรจะเอาใจเหนียงเหนียงให้ดีๆ และไม่ใช่ว่าอาศัยที่ว่าตัวเองในฐานะพระชายาก็คิดว่าตัวเองเป็นนายท่านของจวนอ๋องไปได้เช่นนี้ เจ้า……”

คำพูดของแม่นมเจียงยังไม่ทันได้พูดจบ ร่างทั้งร่างก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศในทันใด ร่างทั้งร่างก็เหาะลอยออกไปอีกครั้ง ครั้งนี้ลอยข้ามกำแพงออกไปด้านนอกประตูทางเข้าจวนอ๋องเลย

“แม่นมเจียง แม่นมเจียง” นางในหลายคนรีบวิ่งออกไปทางด้านทางเข้าประตูใหญ่ทันที โถงกลางทั้งโถงจู่ๆ ก็ว่างเปล่าขึ้นมาในบัดดล

เฟิ่งชิงหัวก้าวเท้าไม่กี่ก้าวก็มาถึงยังหน้าประตูใหญ่ เห็นแม่นมเจียงและคนอื่นๆ ที่ล้มอยู่บนบันได สายตากลับมองมายังองครักษ์สองนายที่เฝ้าอารักขาประตูจวนอ๋องอยู่ แล้วกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า: “ที่นี่เป็นจวนอ๋องเจ็ด ไม่ใช่ศูนย์พักพิงสุนัขจรจัด อย่าปล่อยหมาบ้าอะไรเข้ามา หากมีครั้งหน้าอีก จะได้รับการลงโทษตามกฎตระกูล!”

“ขอรับ” องครักษ์ที่อยู่ตรงทางเข้าต่างรับคำออกมา

คราวนี้เฟิ่งชิงหัวจึงมองไปยังแม่นมเจียงอย่างเชื่องช้า: “องค์หญิงเหออานฉีกทำลายของที่ท่านอ๋องลงมือเขียนด้วยตนเอง เดิมก็ควรจะได้รับโทษหนักอยู่แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางทำผิด ก็เลยเพียงแค่ทำทุกอย่างกลับคืนให้เหมือนเดิมเท่านั้น ก็เป็นการเมตตาอย่างที่สุดแล้ว ก็เป็นเพราะมีบ่าวเจ้าเล่ห์พวกนี้อย่างพวกเจ้า ถูกผิดไม่แบ่งแยก จึงทำให้องค์หญิงไม่แบ่งแยกว่าอะไรควรหรือมิควร กลับไปบอกฮองเฮาเหนียงเหนียง ให้กำเนิดออกมาแต่ไม่อบรมสั่งสอน ก็ย่อมเป็นความผิดของมารดา หากเห็นใจลูกสาวของตนเองด้วยใจจริงก็ให้นางมารับคนที่จวนอ๋องด้วยตัวเอง!”

ในขณะที่พูดอยู่ เฟิ่งชิงหัวก็ไม่ได้มองพวกนางแม้แต่ชายตาเลย ฝ่ามือสะบัดขึ้น: “ปิดประตู”

ประตูใหญ่ของจวนอ๋องปิดลงสนิทในทันที ปิดให้คนของวังหลวงอยู่นอกประตู

เฟิ่งชิงหัวเดินผ่านหลิวหยิ่งไป ฝีเท้าก็ค่อยๆ นิ่งไป สายตามองไปด้านหน้า แล้วก็กล่าวออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัวว่า: “รายละเอียดในการส่งคนพวกนี้ออกไปก็ไม่จำเป็นต้องรายงานให้ท่านอ๋องทราบ ภารกิจของเขาค่อนข้างยุ่งเหยิงมากพอแล้ว”

หลิวหยิ่งกล่าวออกมาอย่างตกตะลึงว่า: “แต่ว่า……”

“กฎตระกูลของข้าเองยังคัดไม่เสร็จเลย หากก่อนการคัดเสร็จเกิดเรื่องไม่คาดคิดอะไรขึ้นมา งั้นก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่เห็นหัวใคร” เฟิ่งชิงหัวจ้องมาที่หลิวหยิ่งอย่างจริงจัง

แผ่นหลังของหลิวหยิ่งเย็นยวบไปเลย นึกถึงจิ่งยี่ที่ถูกนางเอาคืนจนย่ำแย่ไปก่อนหน้านี้ ก็เลยได้เพียงกลืนน้ำลายลงคอไป แล้วพยักหน้ารับ

ยังไงท่านอ๋องก็เพียงแค่บอกว่าให้เขาดูไม่ให้พระชายาโดนเอาเปรียบได้เท่านั้นเอง สำหรับเรื่องที่พระชายาทำให้คนอื่นเสียเปรียบนั้นก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลย

รอยยิ้มของเฟิ่งชิงหัวค่อยๆ อ่อนโยนขึ้น ยื่นมือออกไปตบบ่าของหลิวหยิ่งครู่หนึ่ง: “เป็นเด็กดีนะ”

พอแม่นมเจียงกลับมาถึงวังหลวงก็เอาเรื่องที่ตนเองนั้นถูกกลั่นแกล้งดูถูกเหยียดหยามที่จวนอ๋องทั้งหมดใส่สีตีไข่เล่าให้ฮองเฮาฟังทั้งหมด

ฮองเฮาได้ฟังก็ขวมวดคิ้วขึ้นมาในบัดดล: “อะไรนะ? เจ้าบอกว่าเจ้าแค่พูดเพียงประโยคเดียวก็ถูกหนานกงเยว่ลั่วโยนออกมาแล้วงั้นหรือ เจ้าพูดอะไรไปบ้าง?”

แม่นมเจียงหวนคิดกลับไปครู่หนึ่งก็จำได้ว่าตนเองบอกว่าจะพาองค์หญิงเหออานออกไปด้วยท่าทางเย่อหยิ่งจองหองอยู่ในโถงด้านหน้าตอนนั้น ต่อมาพระชายาก็ปรากฏตัวออกมาด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มแล้ว

พอนางนึกถึงว่าพระชายาคนนี้ก็เป็นแค่ลูกสาวที่ไม่ได้รับการโปรดปรานคนหนึ่งของจวนเฉิงเซี่ยงเท่านั้น อีกทั้งยังมีนิสัยที่นุ่มนวลมาโดยตลอด ดังนั้นในใจก็เลยเหยียดหยามอยู่แล้ว ก็เลยเอ่ยปากพูดออกไปตามใจปากว่า “จวนอ๋องที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งใดจะมีกฎเกณฑ์อะไรได้นักหนา”

ต่อจากนั้นก็ถูกทำให้สะเทือนจนเหาะออกไปเลย

แน่นอนว่าแม่นมเจียงไม่กล้าบอกกับฮองเฮาว่านางเองได้เริ่มคำพูดที่เหยียดหยามเช่นนี้ก่อน ดังนั้นก็เลยเอ่ยปากกล่าวออกมาว่า: “บ่าวก็แค่เพียงรับคำสั่งจากท่านไปพาองค์หญิงเหออานกลับมาเท่านั้น แต่พระชายาผู้นั้นบอกว่าองค์หญิงทำผิดระเบียบจะต้องทำตามกฎเกณฑ์ของพระชายามาปฏิบัติเท่านั้น

ยังบอกว่าให้กำเนิดลูกมาแล้วมารดาก็ย่อมต้องรับผิดชอบในการเลี้ยงดูสั่งสอน ให้เหนียงเหนียงท่านไปรับองค์หญิงกลับมาด้วยตัวเอง แต่บ่าวได้ยินฉายจู๋ว์บอกว่าเล่มนั้นก็ไม่ทราบว่าเป็นของที่ไร้ประโยชน์อะไรอยู่แล้ว ยังไงก็เป็นเพียงแค่กฎตระกูลเสื่อมโทรมอะไรเล่มหนึ่ง โดนองค์หญิงพลั้งมือฉีกทำลายโยนลงน้ำไป พวกเขายังบอกกันปากต่อปากด้วยว่าเป็นตำราที่ท่านอ๋องเขียนกับมือตัวเอง จะต้องให้องค์หญิงชดใช้ นี่ยังไงก็จงใจให้องค์หญิงตกที่นั่งลำบากนะเหนียงเหนียง ในตอนนี้องค์หญิงก็ใกล้จะได้เวลาดูตัวราชบุตรเขยแล้วนะเพคะ หากชื่อเสียงเสียๆ หายๆ เช่นนี้ดังออกไป งั้นงานอภิเษกขององค์หญิงก็เป็นไปได้ว่าอาจจะถูกส่งผลกระทบได้ ยังมีองค์หญิงผิงอานทางด้านนั้นก็ย่อมต้องได้รับความเสื่อมเสียไปด้วยอย่างแน่นอนนะเพคะ”

ฮองเฮาได้ฟังเช่นนั้นแล้วสีหน้าก็หนักใจขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าก็เริ่มนึกถึงความร้ายแรงของเหตุการณ์ที่จะตามมาบ้างแล้ว แต่ให้นางที่เป็นถึงมารดาของประเทศไปรับคนที่จวนอ๋องเอง งั้นหนังหน้าของนางจะเอาไปไว้ตรงไหนได้กันเล่า

หลังจากครุ่นคิดอย่างรอบคอบครู่หนึ่ง ฮองเฮาก็กล่าวออกมาด้วยเสียงเย็นชาว่า: “เจ้ารีบไปที่จวนเฉิงเซี่ยง ให้จวนเฉิงเซี่ยงเดินทางไปสักรอบหนึ่ง ในเมื่อเป็นความรับผิดชอบของมารดา งั้นมารดาของนางผู้นี้ก็ควรจะไปสั่งสอนลูกสาวของตนเองเสียหน่อยก็น่าจะเป็นการสมควรนะ”

“เหนียงเหนียง เยี่ยมไปเลย ฮูหยินเฉิงเซี่ยงเป็นมารดาโดยกำเนิดของพระชายา คิดว่านางก็ย่อมไม่กล้าลงมือแน่ โดยเฉพาะเป็นคนนิสัยอย่างฮูหยินเฉิงเซี่ยงเช่นนั้นด้วยแล้ว จะต้องให้พระชายาได้รับบทเรียนหนักหน่วงอย่างโหดร้ายเสียบ้าง” แม่นมเจียงกล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าค่อยๆ ออกจากวังไป ไปเป็นเพื่อนฮูหยินเฉิงเซี่ยง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพาองค์หญิงกลับมาให้ได้” ฮองเฮากล่าวอย่างจริงจัง

“บ่าวน้อมรับพระบัญชา” หลังจากแม่นมเจียงทำความเคารพแล้วก็ถอยออกไป พกป้ายสั่งการติดตัวไปแล้วก็ออกจากวังไปอีกครั้ง

และในตอนนี้เองเฟิ่งชิงหัวก็กำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะหนังสือ มือทั้งสองข้างเท้าคางไว้ ดวงตามองไปยังจ้านเป่ยเซียวที่กำลังดูตำราในที่ไม่ไกลออกไปนักเป็นครั้งคราว

นิ้วมือด้านขวาของจ้านเป่ยเซียวค่อยๆ ม้วนขึ้น ขมับค่อยๆ ขยับกระตุกขึ้นสองสามครั้ง อัตราความเร็วของมือที่พลิกตำราอยู่นั้นก็ช้าลงไปไม่น้อยเลย จากนั้นก็ได้ยินเสียงเพี๊ยะดังขึ้นมา ก็เลยปิดตำราเข้าหากัน เงยศีรษะขึ้นมาสบตาเข้ากับเฟิ่งชิงหัวพอดี แล้วกล่าวออกมาด้วยเสียงแข็งและเย็นชาว่า: “เจ้าจ้องข้าทำไม!”

เฟิ่งชิงหัวถอนหายใจออกมายาวๆ : “ท่านอ๋อง กฎตระกูลนี้ยากเกินไป”

“คัดลอกกฎตระกูลไม่ใช้ประเด็นหลัก จดจำให้ได้ถึงจะเป็นสิ่งสำคัญ” จ้านเป่ยเซียวกล่าวออกมาด้วยเสียงเรียบเฉย

“ท่านอ๋อง ข้าสอบถามท่านเรื่องหนึ่ง” น้ำเสียงของเฟิ่งชิงหัวสูงขึ้นเล็กน้อย แฝงไว้ด้วยความลึกลับอยู่ในนั้นบ้าง ทำให้จ้านเป่ยเซียวที่ไม่ได้ใส่ใจในสิ่งรอบข้างเสียเท่าไรมาโดยตลอดก็อดที่จะคาดเดาไม่ได้ว่านางจะถามอะไร

“ว่ามาสิ”

“ท่านอ๋อง ท่านว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้ขุนนางใหญ่ที่อยู่ดีๆ คนหนึ่งจู่ๆ ก็ถูกย้ายหรือปลดออกจากตำแหน่งได้กันล่ะ?” เฟิ่งชิงหัวถามด้วยความสงสัย ราวกับว่าเป็นหนานกงจี๋เช่นนี้ ผ่านประสบการณ์มาครึ่งค่อนชีวิตกว่าจะมานั่งในตำแหน่งเฉิงเซี่ยงได้ แน่นอนว่าย่อมต้องระมัดระวังอย่างรอบคอบ งั้นจะต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถถูกลดตำแหน่งได้กันล่ะ?