ตอนที่ 101 ดูสิว่าเขาแสดงอาการออกนอกหน้าขนาดไหน
ตอนที่ 101 ดูสิว่าเขาแสดงอาการออกนอกหน้าขนาดไหน
ผู้คนที่ช้อปปิ้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าเข้ามารวมตัวกันอย่างอยากรู้อยากเห็นเพื่อรับชมความตื่นเต้น
แม้ว่าเมืองไห่เฉิงจะมีขนาดใหญ่พอสมควร แต่โรงงานเพียงไม่กี่แห่งก็กระจุกตัวอยู่ด้วยกันในละแวกใกล้เคียง ตราบใดที่คนคนหนึ่งรู้ เรื่องซุบซิบนินทาก็แพร่กระจายไปทั่วเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว
หลายปีก่อนเคยมีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับความจริงที่ว่าลูกสาวของผู้อำนวยการเสิ่นแห่งโรงงานเครื่องจักรไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของเขา นอกจากนี้เสิ่นเถี่ยจวินก็พาเสิ่นอวี้อิ๋งตัวจริงไปเยี่ยมญาติและเพื่อนฝูงทุกที่ด้วยท่าทางปลาบปลื้มโอ้อวดในช่วงปีใหม่ ตอนนี้จึงเริ่มมีบางคนกระซิบกระซาบกัน
“ที่แท้ครอบครัวของผู้อำนวยการโรงงานเสิ่นก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อลูกสาวคนนี้เป็นอย่างดีเลย”
“ได้ยินมาว่าหล่อนเคยทำงานเป็นเด็กฝึกงานในร้านตัดผมจริง ๆ นะ หลังจากภูมิหลังถูกเปิดเผย หล่อนก็ถูกไล่ออกจากการเป็นเด็กฝึกงาน และถูกส่งตัวกลับบ้านนอกทันที”
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะไม่รักใคร่ไยดีลูกสาว ที่แท้หล่อนไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของตัวเองนี่เอง”
“ใช่แล้ว ทั้งสองครอบครัวต่างก็เลี้ยงดูลูกสาวมาอย่างทารุณ เด็กสองคนนี้ต้องมีวัยเด็กที่ทรมานแค่ไหนกันนะ”
เสิ่นเสี่ยวเหมยกลัวว่าหลินเซี่ยจะทำลายชื่อเสียงของตระกูลเสิ่นไปมากกว่านี้ ดังนั้นจึงรีบคว้ามือของเสิ่นอวี้อิ๋งแล้วหาเรื่องจากไป “อวี้อิ๋ง อย่าไปยุ่งกับคนประเภทนี้เลย เราไปซื้อของที่อื่นกันเถอะ”
หลังจากที่ทั้งสามคนออกไปแล้ว หลินเซี่ยก็เห็นว่าพี่สาวจางและคนอื่น ๆ เองก็ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนเพื่อฟังเรื่องซุบซิบเช่นกัน
เมื่อลูกค้ารายอื่น ๆ แยกย้ายกันไปจนเหลือแต่พวกเธอ หลินเซี่ยก็มองไปที่พวกเขาและพูดอย่างจริงใจ
“ลุงหนิว พี่สาวจาง ถ้าพูดถึงเรื่องภูมิหลังของฉัน อย่าลืมนะคะว่าตอนนั้นฉันเป็นแค่เด็กทารกที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ไม่ว่าเรื่องผิดพลาดที่เกิดขึ้นจะเป็นเพราะคนหรือความบังเอิญมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ฉันสามารถควบคุมได้ ฉันเพิ่งมารู้ตัวก็ตอนที่แม่แท้ ๆ มาอ้างสิทธิ์ในตัวฉันถึงบ้านตระกูลเสิ่น ตอนนี้ผู้อำนวยการโรงงานเสิ่นได้ลูกสาวแท้ ๆ ของตัวเองคืนแล้ว ฉันไม่ได้พยายามจะแต่งงานเพื่อหลีกหนีชีวิตในชนบทและกลับเข้ามาอยู่ในเมืองตามเดิม แต่ฉันกับเฉินเจียเหอต่างก็ตกหลุมรักกันจริง หวังว่าพวกคุณจะไม่ตัดสินเรื่องทั้งหมดอย่างผิวเผินผ่านแว่นตาสี(1)นะคะ”
พี่สาวจางเอ่ยขึ้น “เสี่ยวหลิน พวกเราเข้าใจดีว่าเราไม่สามารถตำหนิเธอได้ อาจเป็นเพราะตอนนั้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะอุ้มลูกผิดคนก็ได้ ฉันเคยได้ยินจากญาติของฉันเมื่อปีที่แล้วว่าตอนอยู่ในบ้านเกิดพวกเขาก็อุ้มลูกผิดคนครั้งหนึ่ง ทำยังไงได้เด็กทารกมีหน้าเหมือนๆ กันหมด”
“มาเถอะ รีบไปซื้อรองเท้า อย่าทำให้งานล่าช้า”
แม้ว่าเพื่อนบ้านในเขตพักอาศัยของโรงงานจะพากันปลอบโยนเธอ แต่อารมณ์ของหลินเซี่ยก็ยังได้รับผลกระทบอย่างมาก
ชาติก่อนเธอพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยเหลือผู้หญิงคนนั้นมานานกว่าสิบปี
แถมยังเลี้ยงดูลูกสาวให้อีกด้วย
เมื่อคำนวณจากอายุของเด็กปีศาจคนนั้นแล้ว เสิ่นอวี้อิ๋งน่าจะท้องตั้งแต่ครึ่งปีหลังจากที่กลับมาอยู่กับตระกูลเสิ่น
คลับคล้ายคลับคลาว่าตอนนั้นเสิ่นอวี้อิ๋งไม่ได้สอบเข้าวิทยาลัยด้วยซ้ำ เพราะช่วงเวลาแค่สองเดือนก่อนสอบเข้า จู่ ๆ หล่อนก็ลาออกกะทันหันด้วยเหตุผลคือไม่สบาย
เสิ่นเถี่ยจวินพาหล่อนออกจากเมืองไปพักฟื้น และใช้เวลากว่าครึ่งปีกว่าจะกลับมา หากนับจากการคาดเดา เด็กปีศาจก็น่าจะลืมตาดูโลกในตอนนั้นเอง
นั่นแปลว่าเสิ่นเถี่ยจวินรู้ดีเกี่ยวกับชาติกำเนิดที่แท้จริงของหลินเจีย
ความรักของเสิ่นเถี่ยจวินที่มีต่อเสิ่นอวี้อิ๋ง นับเป็นความรักที่ไร้ซึ่งเงื่อนไขโดยแท้
พอลองนับเวลาดู อีกไม่นานนักหล่อนน่าจะพลาดท้อง
ตอนที่รู้ว่าตัวเองได้เกิดใหม่ช่วงแรก ๆ เธอเคยตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่มีวันปล่อยให้เด็กปีศาจหลินเจียได้เกิดมาบนโลกนี้อีก แต่ตอนนี้เธอเปลี่ยนใจแล้ว
เมื่อเห็นว่าหลินเซี่ยยังคงไม่มีความสุข พี่สาวจางก็ปลอบเธอด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวหลิน อย่าเศร้าไปเลย ผู้หญิงคนนั้นเพิ่งเข้ามาอยู่ในเมืองใหม่ ๆ แม้ว่าหล่อนจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับเธอบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะถึงยังไงชีวิตในชนบทก็แร้นแค้นและยากลำบากจริง ๆ เธอเองก็ควรจะเข้าใจดี ฉันกลับคิดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นเด็กดีนะ วันนี้ยังอุตส่าห์พูดแทนเธออยู่เลย”
หลินเซี่ยได้แต่ยิ้มรับ “พี่สาวจาง เข้าใจแล้วค่ะ”
“เอาล่ะ พวกเรารีบกลับไปเปลี่ยนชุดใหม่กันดีกว่า”
หลินเซี่ยเรียกทุกคนให้ไปรวมตัวกันที่บ้านของพี่สาวจาง
“ทุกคนลองสวมเสื้อผ้าตัวใหม่ได้เลยค่ะ เดี๋ยวฉันจะจัดการแต่งหน้าให้ทีละคน ตอนบ่ายเราจะออกไปซ้อมเต้นด้วยชุดที่จะใส่ขึ้นแสดงจริงที่ลานกว้าง ให้ทุกคนได้เห็นทั่วกันว่าการแสดงของเราเป็นยังไงบ้าง”
ลุงหนิวและลุงหลี่รีบหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่กลับไปเปลี่ยนที่บ้าน
จากนั้นหลินเซี่ยก็ขนอุปกรณ์แต่งหน้าของตัวเองไปที่บ้านของพี่สาวจาง หลังจากทุกคนสวมชุดกีฬากันเสร็จสรรพ เธอก็เริ่มแต่งหน้าให้ทุกคนทีละคน
“ถึงวันจริงพวกเราทุกคนต้องทำผมด้วย เหลือเวลาอีกไม่กี่วันแล้ว ถ้าฉันสามารถหาซื้ออุปกรณ์เข้าร้านเสริมสวยได้ทันเวลา ฉันจะเป็นคนดัดผมให้ทุกคนเองค่ะ”
พี่สาวจางถาม “เสี่ยวหลิน เธอคิดจะเปิดร้านเสริมสวยเหรอ?”
“ใช่ค่ะ ตอนนี้เช่าร้านไว้แล้ว หลังจากตกแต่งและซื้ออุปกรณ์เบื้องต้นก็เปิดบริการได้ทันที”
ที่จริงขอแค่หาซื้อเครื่องอบไอน้ำกับน้ำยาดัดได้ ก็สามารถเปิดร้านเสริมสวยได้แล้ว
ทันใดนั้นหลินเซี่ยก็ผุดความคิดใหม่ขึ้นมา วันพรุ่งนี้เธอจะไปห้างสรรพสินค้าเพื่อถามหาอุปกรณ์ดัดผมทั้งหลายดู
ถึงเวลานั้นสาวใหญ่เหล่านี้จะถูกเนรมิตให้กลายเป็นสาวทันสมัย พวกหล่อนจะถือเป็นนางแบบโฆษณาชั้นดีให้กับร้านเสริมสวยของเธอในระหว่างแข่งขันการแสดง
ทักษะการแต่งหน้าของหลินเซี่ยรวดเร็วมาก เหมือนกับการปฏิบัติงานในสายการผลิต
ลุงหลี่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็เดินเข้ามาและถามว่า “เสี่ยวหลิน พวกเราจำเป็นต้องแต่งหน้าด้วยไหม?”
“ลุงหลี่ คุณอาจจะต้องจัดทรงคิ้วใหม่นิดหน่อยค่ะ เมื่อถึงวันที่ต้องขึ้นเวที อาจต้องทาแป้งเพื่อทำให้สีผิวของคุณสว่างขึ้น พออยู่ภายใต้แสงไฟจะได้โดดเด่นเท่าคนอื่น ๆ”
“ได้ จะทำอะไรก็แล้วแต่ความสะดวกของเธอเลย” ในฐานะผู้ที่ชื่นชอบในงานศิลปะ ลุงหลี่ค่อนข้างเปิดกว้างกับเรื่องพวกนี้มาก
ทุกคนพร้อมแล้ว ตอนนี้มีเพียงหวังซิ่วฟางเท่านั้นที่ยังไม่เลิกงาน
หลังห้าโมงเย็น พนักงานทั้งหลายก็ทยอยกลับมาที่อาคารพักอาศัยหลังเลิกงานทีละคน
ดวงตาของหวังซิ่วฟางเป็นประกายเมื่อเห็นทีมนักแสดงในชุดกีฬาเสมือนวันจริง
พวกเขาทั้งหมดแต่งหน้าใหม่ ดูดีกว่าปกติหลายเท่าตัว
เมื่อพี่สาวจางเห็นหวังซิ่วฟางยังอยู่ในชุดทำงาน ก็รีบทักทายว่า “ซิ่วฟาง ขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วเข้า แล้วให้เสี่ยวหลินช่วยแต่งหน้าให้ เสร็จแล้วพวกเราจะลงไปซ้อมการแสดงที่ลานกว้างกัน”
หวังซิ่วฟางเดินตามพี่สาวจางเข้ามา เห็นหลินเซี่ยกำลังทาลิปสติกบนริมฝีปากของตัวเอง
ลำพังผู้หญิงคนนี้ก็สวยมากอยู่แล้วโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาเครื่องสำอาง พอแต่งแล้วก็ยิ่งดูสดใสและมีเสน่ห์
ทันใดนั้นหวังซิ่วฟางก็รู้สึกว่าตัวเองหลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ที่จะพ่ายแพ้ให้กับผู้หญิงคนนี้อย่างราบคาบ
ถ้าตัวหล่อนเป็นผู้ชาย หล่อนก็คงเลือกเด็กสาวที่สวยเจริญหูเจริญตาแบบนี้ มากกว่าหันมาเลือกสาวโรงงานผู้ยากไร้อย่างหล่อน
ยิ่งไปกว่านั้น หลินเซี่ยไม่ใช่ผู้หญิงที่มีดีแค่หน้าตาจริง ๆ
หล่อนหยิบเสื้อผ้าที่พี่สาวจางมอบให้แล้วกลับไปเปลี่ยนตามคนอื่น ๆ จากนั้นก็มองหลินเซี่ยด้วยหางตาอยู่ห่าง ๆ
หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นมา
กลัวเหลือเกินว่าเธอจะไม่ยอมแต่งหน้าให้ตัวเอง
ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายเคยฟ้องผิดตัวเองต่อหน้าเฉินเจียเหอมาแล้ว แถมเมื่อวานหล่อนยังสร้างปัญหาในระหว่างการซ้อมอีก
จู่ ๆ หล่อนก็รู้สึกเสียใจกับความหุนหันพลันแล่นของตัวเองขึ้นมา
พอทำใจให้เย็นลงแล้วมานั่งคิดดู พฤติกรรมพวกนั้นเป็นอะไรที่น่าละอายจริง ๆ
หลินเซี่ยเห็นว่าหล่อนเอาแต่ยืนนิ่งด้วยความกลัว จึงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “นั่งลงเร็ว ๆ สิคะ ใกล้จะถึงเวลาซ้อมแล้ว”
“โอ้” หวังซิ่วฟางรีบนั่งลงบนเก้าอี้โดยมีกระจกทรงกลมอยู่ข้างหน้า เพื่อจะได้เห็นใบหน้าของตัวเองได้อย่างชัดเจน
หล่อนมองดูรอยตีนกาที่ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมารอบดวงตาของตัวเองในกระจก แล้วก็รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย
หลายปีที่ผ่านมาหล่อนต้องดูแลลูกสาวเพียงลำพัง ทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ ใส่ใจแต่การทำงานเพื่อหาเงินเท่านั้น จนไม่เคยหันมาดูแลตัวเองเลย
รู้ตัวอีกทีก็แก่ลงไปมาก
ภายใต้การแต่งแต้มเครื่องสำอางของหลินเซี่ย เห็นได้ทันทีว่าใบหน้าของหล่อนเริ่มดูอ่อนเยาว์ผุดผาดมากขึ้น จู่ ๆ หล่อนก็อยากเรียนแต่งหน้า และอยากแต่งตัวให้สวยในทุกวัน
ความฝันระหว่างตัวเองกับเฉินเจียเหอจบลงแล้ว หล่อนต้องมองหาผู้ชายคนอื่น
เพราะถึงอย่างไรการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“เสี่ยวหลิน เธอไปเรียนแต่งหน้ามาจากไหน?” หวังซิ่วฟางถามอย่างเชื่องช้า
“ฉันฝึกเอาเองค่ะ”
“เครื่องสำอางพวกนี้ก็เป็นของเธอเองเหมือนกันเหรอ?” หวังซิ่วฟางถามอีกครั้ง
“ใช่ค่ะ ฉันซื้อเองหมดเลย”
หวังซิ่วฟางเกิดมาจนอายุได้สามสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเครื่องสำอางมากมายแบบนี้ โดยเฉพาะอายแชโดว์หลากสีที่มีสีสันสดใส
อย่างมากหล่อนก็แค่ทาครีมบำรุงหน้า หรือไม่ก็ใช้สบู่ล้างหน้าเท่านั้น ไม่เคยพิถีพิถันกับตัวเองขนาดนี้มาก่อน
หลินเซี่ยทาลิปสติกเสร็จ ก็หันไปเก็บอุปกรณ์ลงกล่อง “เสร็จแล้วค่ะ”
พี่สาวจางตะโกนก้องลานกว้าง เชิญให้ทุกคนออกมาดูการแสดงของพวกเขา
จากนั้นเครื่องเล่นเทปก็ถูกยกออกไปข้างนอกตัวอาคาร และเปิดซ้ำเพลงเดิม
บรรดาผู้ชายจากครอบครัวอื่นกลับมากันหมดแล้ว มีแค่เฉินเจียเหอที่ยังไม่กลับ
“มาค่ะ เรามาเข้าแถวกันเถอะ”
สิ้นเสียงของหลินเซี่ย คุณลุงคุณป้าทั้งหลายก็ไปยืนประจำตามตำแหน่งที่ฝึกซ้อมกันก่อนหน้านี้
“ทำไมลุงหนิวกับลุงหลี่ถึงมาเต้นรำกับผู้หญิงพวกนี้ด้วยล่ะ?”
“ปกติพวกเขาสองคนก็ชอบอะไรที่สนุกสนานอยู่แล้ว สมัยพวกเขายังไม่เกษียณ พวกเขาไม่เคยพลาดงานรื่นเริงเลย”
เพลง ‘ความทรงจำสีชมพู’ ดังก้องไปทั่วเขตพักอาศัยของโรงงาน ทุกคนเต้นไปพร้อมกับเสียงเพลงอย่างมีความสุข
พนักงานที่เลิกงานแล้ว รวมถึงสมาชิกในครอบครัวของพวกเขาต่างก็มารวมตัวกันเพื่อชมการแสดง
แม้แต่ผู้อำนวยการก็มาดู
“ไม่นึกเลยว่าพวกเขาจะคิดการแสดงออกมาได้ดีขนาดนี้”
“ดูลุงหนิวและลุงหลี่สิ พวกเขาต่างก็อายุหกสิบกว่า พอสวมชุดกีฬาแบบนั้นแล้ว เหมือนพวกเขาได้ย้อนวัยกลับไปเป็นหนุ่มอีกครั้ง”
“ใช่แล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าการแสดงชุดนี้จะชนะไหม อย่างน้อยก็ควรได้รางวัลสักรายการ”
เฉินเจียเหอเดินเข้าไปในเขตอาคารพักอาศัยพร้อมกับกล่องอาหาร เห็นว่าภรรยาของตัวเองเป็นผู้นำทีมและยืนอยู่ในแถวแรกกำลังเต้นประกอบเพลงอย่างกระฉับกระเฉง
รูปร่างผอมเพรียว การเคลื่อนไหวลื่นไหลไม่ติดขัด เหมือนนางไม้แสนสวย
เขาถือกล่องอาหารไว้ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อเฝ้าดูร่วมกับทุกคน
หลังจากทุกคนโพสต์ท่าจบสุดท้าย เสียงเพลงก็หยุดลง เฉินเจียเหอเป็นคนแรกที่ปรบมือชื่นชมพวกเขาอย่างอบอุ่น
เสียงชมเชยว่า “เยี่ยมมาก” ของเขาดังกว่าใคร ๆ
ทุกคนหันมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ
เฉินกงผู้โดดเดี่ยวและทำตัวจริงจังมาโดยตลอด พออยู่ต่อหน้าภรรยาคนสวยกลับกลายเป็นคนยิ้มได้สิ้นเปลืองเสียอย่างนั้น
………………………………………………………………………………………………………………………..
ตัดสินผ่านแว่นตาสี 色眼鏡 หมายถึง ตัดสินคนอื่นผ่านมุมมองที่มีอคติ บิดเบี้ยว และเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับใครบางคน
สารจากผู้แปล
แผนร้ายมาก ให้ยัยเด็กหลินเจียเป็นคนทำลายยัยอวี้อิ๋งเอง
พี่เหอ พี่คลั่งรักภรรยาแบบออกนอกหน้ามากนะคะรู้ตัวไหม
ไหหม่า(海馬)