ไส้ศึกตระกูลหยวนที่จับตามองการเคลื่อนไหวภายในตระกูลซูเห็นดังนี้ ก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดังนั้นจึงได้แต่เริ่มตั้งข้อสันนิษฐานเอาเอง
“เจ้าว่าซูมู่ซวนเพิ่งเข้าไปได้ไม่นาน ในตระกูลก็เกิดเสียงร้องไห้ดังออกมา แต่ตระกูลซูของพวกมันยังไม่ถูกลบชื่อออกไปจากเมืองล่วนโต้ว แล้วพวกมันจะร้องไห้หาอะไร? ”
“หรือว่าตาแก่ตระกูลซูสิ้นใจตายกะทันหัน พวกมันเลยร้องไห้? ”
“มีเหตุผล รีบไปรายงานท่านประมุขเร็วเข้า”
ด้านหลังประตู ฉินจิ่วเกอมองดูซูมู่ซวนที่กลายสภาพไปเป็นภาพติดฝาผนังฉลองวันขึ้นปีใหม่ สารพัดโอสถชุบชีวิตมูลค่าเท่าใดล้วนไม่นับ ยัดเข้าปากมันราวรับประทานข้าว ท้ายที่สุดก็เอาตัวซูมู่ซวนที่จะตายมิตายแหล่กลับคืนมาได้
ประมุขตระกูลซูค่อนข้างพึงพอใจ บุตรชายตนเองถึงกับมีสหายที่ให้ความสำคัญกับความถูกต้องและมิตรสหายเช่นนี้ ช่างเป็นคนดีจริงๆ!
หลังจากสั่งให้คนเอาตัวซูมู่ซวนลงมาแล้ว ประมุขซูก็จับจูงมือฉินจิ่วเกอพาชมรอบๆ ห้องอย่างใจกว้าง แนะนำให้รู้จักกับสมาชิกในตระกูล
ฉินจิ่วเกอในใจหวาดกลัวไม่หาย แม้แต่บุตรชายตัวเองมันยังกล้าลงมือ จิตใจของคนผู้นี้ช่างดำมืดดั่งขนอีกา
ช่างขวัญกล้าใจอำมหิตนัก หากตระกูลซูรอดพ้นจากเงื้อมมือตระกูลหยวนไปได้ ให้เวลาพวกมันเติบโตสักหลายปี ย่อมผงาดง้ำกลับมาได้แน่
“ทราบหรือไม่ว่าตระกูลหยวนจะส่งใครขึ้นประลอง? ”
“หยวนหลง ระดับฝีมือพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลาง ต่อให้สู้กับอาวุโสประจำตระกูลก็ยังไม่พ่าย พรสวรรค์สูงล้ำจนขีดสุด หากตระกูลซูสามารถชุบเลี้ยงชนชั้นกลั่นดวงธาตุออกมาได้อีกคน พวกมันย่อมกลายเป็นหนึ่งในขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองล่วนโต้วแห่งนี้”
ประมุขซูยังคงกังวลอยู่บ้าง ระดับฝีมือของฉินจิ่วเกออยู่เพียงชั้นปราณสุริยันขั้นปลาย ยังไม่บรรลุขั้นสูงสุดเลยด้วยซ้ำ
หากส่งมันขึ้นเวที ตระกูลซูคงไม่เหลือความหวังอีก แต่ได้ยินจากอาวุโสว่ามันเพียงลำพังกลับกำจัดนายเหนือที่สองแห่งค่ายลมอำพันได้ พลังฝีมือลึกล้ำสุดหยั่งคาด
“เงื่อนไขที่ข้าต้องการ แน่ใจนะว่าตระกูลซูจะทำตามได้? ” ฉินจิ่วเกอถามย้ำ ตระหนี่ก่อนสุภาพบุรุษทีหลัง
“ศาสตราบรรพกาลชิ้นนั้นไม่นับเป็นปัญหา ตราบใดที่เจ้าทำให้มันยอมรับได้ เจ้าสามารถเอามันไปได้เลย” ประมุขซูเปิดเผยตามตรง
“ขอบคุณท่านมาก”
“อย่าได้เกรงใจ วีรชนน้อยฉินนอกจากจะอายุยังน้อย ยังกล้าใช้ระดับฝีมือชั้นปราณสุริยันบุกตะลุยไปถึงรอบนอกเมืองเทียนเอิน เราผู้ชรารู้สึกเลื่อมใสจากใจ พวกเจ้ารีบไปจัดโต๊ะเร็ว เราผู้ชราอยากเชื้อเชิญวีรชนน้อยฉินมาร่วมรับประทานอาหารด้วยกันสักมื้อ”
“ไม่รบกวนๆ ” ฉินจิ่วเกอรีบโบกมืออย่างถ่อมตัว ตัวบิดไปบิดมา ท่าทางเหนียมอาย
อาวุโสในที่นั้นต่างหัวใจหนาวเยือก เจ้าหมอนี่กินอะไรผิดสำแดงเข้ารึไง น่าขยะแขยงที่สุด
“สายสัมพันธ์ระหว่างข้าและพี่ซูล้วนแน่นแฟ้นราวแผ่นฟ้า ถึงอย่างไรมันก็ยังเป็นประมุขน้อยของตระกูลซูกระมัง? ” ฉินจิ่วเกอถามด้วยแววตาเป็นประกายสดใสดุจหยาดน้ำ
ประมุขซูรู้สึกตื้นตัน นี่จึงจะเรียกว่ามิตรสหายที่แท้จริง ซูมู่ซวนได้พบเพื่อนตายในยามยากเข้าแล้วสินะ
สองอาวุโสที่กลับสู่ตระกูลซูพร้อมกันกับฉินจิ่วเกอ ทันทีที่เห็นท่าทีในลักษณะนี้ของอีกฝ่าย มีความเป็นไปได้แปดในสิบส่วนว่าจะเกิดเรื่อง ดังนั้นจึงรีบปลีกตัวออกทางประตูหลังไปอย่างเงียบเชียบ
“มิผิด มู่ซวนคือบุคคลลำดับหนึ่งของศิษย์สายตรงตระกูลเรา และจะเป็นประมุขน้อยตระกูลซูไปชั่วนิรันดร์กาล! ”
ประมุขซูป่าวประกาศอย่างเคร่งขรึมหนักแน่น ท่วงท่าราวราชัน
“ท่านประมุขช่างปราดเปรื่อง! ” เหล่าอาวุโสล้วนถวายตัวถวายใจ
“เช่นนั้นข้าก็วางใจ” จิตใจที่อยู่ไม่สุขของฉินจิ่วเกอท้ายที่สุดก็เต้นกลับเข้าสู่จังหวะเดิม รู้สึกดีใจแทนซูมู่ซวน
“เอาล่ะๆ พวกเรามากินข้าวกันดีกว่า” ประมุขซูพบเจอเรื่องน่ายินดี ดังนั้นย่อมต้องอยากเฉลิมฉลอง
“ประเดี๋ยวก่อน” ฉินจิ่วเกอรีบใช้จังหวะนี้ฉวยเอาใบแจ้งหนี้ออกมา บนนั้นยังประทับลายมือและนามกรของซูมู่ซวนเอาไว้อย่างเด่นหรา “ประมุขน้อยบ้านท่านติดค้างเงินข้าอยู่เป็นจำนวนเงินทั้งหมดหนึ่งหมื่นสองพันศิลาวิญญาณถ้วน ท่านสามารถไถ่หนี้ได้เลยหรือไม่? ”
“อ๋า?”
เหล่าอาวุโสทั้งหมดในที่นั้นจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องด่วนให้ต้องไปทำ ต่างคนต่างก็รีบหันหลังแยกย้ายกันไปจนฝุ่นตลบ
ทิ้งให้ประมุขซูยืนจ้องหน้าฉินจิ่วเกอด้วยใบหน้าไม่อยากเชื่อ เมื่อครู่ยังแลกเปลี่ยนถ้อยคำน้ำมิตรกันอย่างปรองดอง แต่แล้วเจ้าก็ยกเรื่องเงินขึ้นมาพูดกลางปล้อง ทำเอาข้าเจ็บกระดองใจไปถึงตาตุ่ม
ฉินจิ่วเกอทำตาโตเหมือนเด็กไร้เดียงสาที่เป็นมิตรกับทุกคน ก่อนประคองมือน้อยขึ้นถาม “ประมุขซูพูดแล้วห้ามคืนคำ ท่านคงไม่ได้จะเชิดเงินข้าหนีไปหรอกใช่ไหม”
“ฮ่าๆ หลานชายที่เคารพอย่าได้ล้อข้าเล่นอีกเลย จะว่าไปใบแจ้งหนี้ในมือเจ้าช่างทำขึ้นมาได้เหมือนของจริงนักเชียว”
“สรุปว่าท่านตั้งใจจะเบี้ยวหนี้? ” ฉินจิ่วเกอนัยน์ตาส่อแววไม่เป็นมิตรทันที “เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะกัดท่านให้จมเขี้ยวเลยตรงนี้? ”
ประมุขซูตัวสั่นเยือกด้วยความผวาโดยพลัน มารดามันเถอะ มู่ซวนเจ้าเด็กไร้นัยน์ตา คิดจะคบใครเป็นสหายก็คบรึยังไง นี่มันคนประเภทใดกัน จะมีใครที่อันธพาลไปมากกว่าหมอนี่อีก
“รอให้เจ้าช่วยข้าสะสางเรื่องตระกูลหยวนจนเสร็จสรรพเสียก่อนค่อยว่ากันเถอะ” ประมุขซูยกมือกุมท้อง มันที่หลายวันมานี้เอาแต่กินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะความหวาดวิตกอยู่ๆ ก็ท้องไส้กำเริบเสิบสานขึ้นมาในเวลานี้ วิ่งหายไปทางหลุมถ่ายทันควัน
ในห้อง ฉินจิ่วเกอยืนคอตกอยู่เพียงลำพัง มีเพียงฟ้าดินอยู่เป็นเพื่อน ได้แต่สอดส่ายสายตาไปรอบๆ อย่างจนใจ
อูฐผอมซูบอย่างไรก็ยังใหญ่กว่าอาชา ยึดทรัพย์สินของตระกูลซูแก้ขัดไปก่อนแล้วกัน ในห้องที่มันอยู่นี้ยังพอมีของประดับตกแต่งอยู่ประปราย มีทั้งที่เป็นเงิน เป็นทอง เป็นหยก และเครื่องลายคราม ค่อนข้างงดงามทีเดียว
“นี่ มีใครอยู่บ้างไหม? ” ฉินจิ่วเกอแหกปากถาม
ไม่มีใครตอบคำถามมัน ตระกูลซูสูงต่ำล้วนหนีห่างจากเจ้าเชื้อโรคปีศาจร้ายนี้กันหมด ดังนั้นทั่วทั้งสถานที่จึงเปล่าเปลี่ยวเอกา กลัวว่าจะถูกอีกฝ่ายจับไปถลกหนักกินทั้งเนื้อทั้งกระดูก
“ไม่มีคนอยู่เลยจริงนะ? ”
ฉินจิ่วเกอเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีคนอยู่จริงๆ มันก็โบกมือออกคราหนึ่ง เก็บของประดับทุกอย่างภายในห้องลงสู่แหวนมิติจนเกลี้ยงเกลา ก่อนอื่นก็เก็บดอกเบี้ยไปก่อนแล้วกัน
ดูแค่ของใช้ของประดับของตระกูลซูก็รู้แล้วว่าหลายปีมานี้พวกมันดื่มด่ำหรรษากันเพียงไร ไม่แปลกที่รากฐานจะง่อนแง่นใกล้พังครืน
ความยากจนคือแรงผลักดันให้ผู้คนดิ้นรนสืบต่อ ที่ฉินจิ่วเกอทำเช่นนี้ ก็เพื่อเคี่ยวเข็นให้ตระกูลซูได้ทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกาย หาใช่ทำไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวไม่
สองวันให้หลัง ศึกตัดสินชะตาระหว่างตระกูลซูและตระกูลหยวนที่ถูกจัดขึ้นใจกลางเมืองล่วนโต้วก็เป็นอันเปิดม่าน
สิ่งที่ปรากฏเป็นลำดับแรกก็คือชายชราจมูกงองุ้มผู้หนึ่ง มันสวมอาภรณ์สีน้ำตาลที่มีลายน้ำสี่สายวาดเขียนไว้ เป็นสัญลักษณ์ว่ามันก็คือนักปรุงยาระดับสี่
ทันทีที่มันปรากฏตัว ผู้เฒ่าคนนี้ก็ได้รับเสียงต้อนรับจากฝูงชนรอบด้าน ก่อนจะถูกเชิญให้ขึ้นรับตำแหน่งกรรมการตัดสิน
ปรมาจารย์เหยียน นักปรุงยาระดับสี่ ผู้หนุนหลังตระกูลซู สืบเนื่องจากการคงอยู่ของมันนี้เองที่ทำให้ตระกูลหยวนต้องหันมาใช้วิธีตัดสินบนเวทีเช่นนี้
ถึงจะเป็นเช่นนั้น ในสายตาของคนนอก ตระกูลซูถือว่าจบเห่แล้ว เพราะหยวนหลงจากตระกูลหยวนผู้นั้นได้บรรลุขอบเขตพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลางเป็นที่เรียบร้อย
ส่วนซูมู่ซวนจากตระกูลซู คล้ายว่าเป็นเพียงชนชั้นปราณสุริยันขั้นสูงสุดเท่านั้น ไม่มีทางเทียบเปรียบกันได้เลย
ปรมาจารย์เหยียนนั่งลงอย่างเคร่งขรึม สีหน้าปราศจากรอยยิ้ม นิ้วมือเคาะลงบนที่พักแขนเป็นจังหวะ รอการมาถึงของตระกูลซู
ตระกูลหยวนที่มั่นใจว่าตนเองต้องชนะได้พาตัวเองมาถึงขอบเวทีกันหมดแล้ว ประมุขหยวนยังต้องมองไปทางปรมาจารย์เหยียนเสียหลายครา หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเข้ามาขวาง ป่านนี้ตระกูลซูคงล่มสลายไปนานแล้ว
หาทราบไม่ว่า ซูมู่ซวนจากบ้านตระกูลซูนั้นได้ถูกบิดาของมันเองเตะโด่งออกไปแล้ว ตอนนี้ตัวแทนชั่วคราวของตระกูลซูก็คือฉินจิ่วเกอที่กำลังงัวเงียซึมเซา แถมยังถูกถูลู่ถูกังออกมาจนหมดราศี
“ตระกูลซูเปลี่ยนคนเข้าแข่งขัน? ผู้เยาว์ตระกูลซูต่างก็ไม่มีใครบรรลุพิสุทธิ์ไพศาลกันสักคน วาสนาไม่เข้าข้างพวกมันแล้ว ต่อให้ดิ้นรนสักแค่ไหนก็ล้วนแต่เปล่าประโยชน์” ประมุขหยวนแค่นเสียงดูแคลน จากนั้นก็ปิดตาพริ้มจินตนาการว่าหลังจากวันนี้ตระกูลหยวนของมันจะผงาดง้ำโชติช่วงสักเพียงไหน ได้รับการเชิดชูสักเพียงใด
“ท่านพ่อ ท่านวางใจได้ ต่อให้อาวุโสตระกูลซูออกหน้าเอง ข้าก็ยังเชื่อว่าตนเองจะจัดการได้” หยวนหลงได้รับความโปรดปรานจากบรรพชนตระกูลหยวน แถมยังได้รับการเคี่ยวกรำจากอีกฝ่ายมาหลายกระบวนท่า ความสามารถของกลั่นดวงธาตุนั้นไม่ใช่ธรรมดาเด็ดขาด
“ฮ่าๆ มันย่อมแน่อยู่แล้ว บุตรชายข้ากล้าหาญชาญชัย ตระกูลซูย่อมต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน”
ประมุขซูหัวเราะอย่างอหังการ์ ปากอ้ากว้างจนแมลงวันบินเข้าไปได้ นัยน์ตาและจมูกขมวดเป็นปมหายเข้าไปหลังศีรษะ สองมือค้ำเอวขาแยกกว้าง ท่าทางมีเอกลักษณ์จำเพาะเป็นอย่างยิ่ง
“ตระกูลหยวนยั่งยืนชั่วกาลนาน! ” ตระกูลใต้อาณัติของตระกูลซูที่สวามิภักดิ์ให้ตระกูลหยวนไปแล้วต่างส่งเสียงสรรเสริญเยินยอตระกูลซูกันยกใหญ่ สร้างความรู้สึกไม่สบายใจให้แก่ปรมาจารย์เหยียนจนต้องปิดตาข่มใจให้สงบลง
ในขณะที่ตระกูลหยวนกำลังพร่างพรมอยู่ท่ามกลางเสียงประจบสอพลอ ตระกูลซูที่มาช้ากว่าเวลาก็พาตัวฉินจิ่วเกอมาถึงหน้าเวทีในที่สุด
ประมุขหยวนฉีกยิ้มจนถึงใบหู ปากยังคงอ้ากว้าง ศีรษะหงายขึ้นจนแทบหัวทิ่ม
ทั้งสองตระกูลต่างชิงดีชิงเด่นกันมา ต่างฝ่ายต่างขัดแข้งขัดขากันและกัน เพียงแต่ขวัญกำลังใจของตระกูลหยวนนั้นฮึกเหิมกว่า
“นี่อะไร ซูมู่ซวนหายไปไหน อย่าบอกนะว่าเปลี่ยนคน? ” หยวนหลงยกมือพาดไว้บนไหล่ทั้งสองข้าง ขี้คร้านเกินกว่าจะยื่นมือออกไปด้วยซ้ำ แถมไม่สนใจสายตาที่ทิ่มแทงปานจะกินเลือดของอาวุโสตระกูลซูเลยแม้แต่น้อย
“คนผู้นี้เป็นเชื้อสายห่างๆ จากตระกูลเรา คิดว่าคงไม่มีปัญหากระมัง? ”
ประมุขตระกูลซูขอคำชี้แนะจากปรมาจารย์เหยียน เห็นอีกฝ่ายผงกศีรษะเป็นเชิงตอบรับ เท่ากับว่าไม่มีปัญหา
“เชื้อสายห่างๆ? ” ประมุขหยวนกลับไม่ใส่ใจว่าจะเป็นสายตรงสายห่างอะไร กับอีแค่ปราณสุริยันขั้นปลายผู้หนึ่ง นี่ยังเทียบซูมู่ซวนนั่นไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
เพียงแต่ เพราะเหตุใดรอยยิ้มของตระกูลซูตั้งแต่สูงยันต่ำถึงได้พิสดารปานนั้น ดูแล้วช่างเจ้าเล่ห์เหมือนสุนัขจิ้งจอกเลยก็ปาน
ประมุขหยวนจึงอดไม่ได้ที่จะกังวลขึ้นมาเล็กน้อย กลัวว่าตระกูลซูที่รู้ตัวว่าสู้ไม่ไหว เลยเปลี่ยนแผนมาเล่นสกปรกแทน จึงต้องหยุดถามอีกฝ่ายว่า “ท่านนี้เป็นเชื้อสายห่างๆ ของตระกูลซู? ”
ฉินจิ่วเกอตอบกลับด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ถูกต้อง”
“อ้อ ข้าเคยเห็นลูกศิษย์ลูกหาตระกูลซูมาแล้วแทบทุกคน แต่ไฉนจึงไม่คุ้นหน้าเจ้าเอาเสียเลย? ” ประมุขหยวนหรี่ตามองฉินจิ่วเกอ แต่ไม่ว่าจะมองยังไงระดับพลังของอีกฝ่ายก็อยู่แค่ขอบเขตปราณสุริยันขั้นปลายจริงๆ แปลว่าไม่ได้ซุกงำพลังไว้
“เจ้าไม่มีคุณสมบัติมาตัดสินข้า”
ฉินจิ่วเกอพ่นคำออกมาประโยคสั้นๆ ชักนำเสียงโห่ร้องด่าทอจากตระกูลหยวน ยังไม่ทันเริ่มศึก ล่างเวทีก็แทบจะลุกเป็นไฟแล้ว
“ถือดีจริงๆ ” เห็นว่าฉินจิ่วเกอไม่ครั่นคร้ามระดับพลังพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดของตนเอง ประมุขหยวนจึงมิอาจไม่ระวังตัวขึ้นอีกขั้น “เจ้าบอกว่าตัวเองเป็นเชื้อสายห่างๆ ของตระกูลซู งั้นข้าขอถาม ตามลำดับสายตระกูล ประมุขตระกูลซูเป็นอะไรกับเจ้า? ”
“ญาติ” ฉินจิ่วเกอตอบกลับโดยไม่ต้องคิด เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมรอบด้าน
ประมุขหยวนหน้าแดงก่ำโดยพลัน “ข้าหมายถึงลำดับอาวุโส! ”
ฉินจิ่วเกอมองไปทางประมุขซูคล้ายจะบอกว่าในบทไม่มีแบบนี้นี่นา! ตระกูลซูกิจการการค้ากว้างไกล ลุงป้าน้าอายั้วเยี้ยเต็มตระกูล แล้วข้าจะไปแยกแยะออกได้อย่างไร
“มันคือลุงของข้า” ฉินจิ่วเกอได้แต่ดับเครื่องชน
“งั้นมันเล่า? ” ประมุขหยวนชี้ไปทางอาวุโสใหญ่ตระกูลซู
“มันเองก็เป็นลุงของข้า”
“พูดเลอะเทอะ! ” หยวนหลงตวาดแทรกเข้ามา สีหน้าไม่น่าดูยิ่ง ชัดเจนว่าบันดาลโทสะขึ้นมาแล้ว
“ข้าไม่ได้พูดจาเลอะเทอะ” ฉินจิ่วเกอไม่เปลี่ยนสีหน้า “มันคือลุงใหญ่ของข้า และนั่นก็ลุงสอง ส่วนนี่ลุงสาม”
ประมุขตระกูลซูพร้อมเหล่าอาวุโสล้วนตอบรับเป็นเสียงเดียว “พวกเราต่างก็เป็นลุงของมัน! ”
“จะลุงใหญ่หรือลุงสองพวกมันต่างก็เป็นลุงของข้ากันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะตัวเล็กหรือโต๊ะตัวใหญ่ก็ล้วนแล้วแต่ทำขึ้นจากไม้อยู่ดี”
“ถั่วต้ม! ”
ตระกูลซูตอบรับเป็นเสียงเดียว ประมุขซูเดินเข้ามาดั่งองค์จักรพรรดิพร้อมใช้มือหนาๆ ข้างนั้นวางลงบนกระหม่อมฉินจิ่วเกอเบาๆ แล้วพูดว่า “หลานชาย หลายปีมานี้เจ้าต้องเติบโตมาตามลำพังกับแม่ของเจ้า ลุงคนนี้ต้องขอโทษจากใจ”
“โฮๆ หลานชายที่น่าสงสาร! ” เสียงของคนหลายสิบเปล่งร้องขึ้นพร้อมกัน
“ท่านลุง! ”
ฉินจิ่วเกอปาดน้ำตาพร้อมโก่งคอร้องขึ้นไปบนฟ้า ท่านลุงจำนวนเป็นโหลร้องตอบกลับมา “หลานข้า! ”
ภาพสายสัมพันธ์ทางครอบครัวอันแนบแน่นเรียกน้ำตาจากฝูงชนไปตามๆ กัน ล่างเวที ตระกูลซูต่างก็ห้อมล้อมกลมเกลียวกัน สายเลือดย่อมต้องข้นกว่าน้ำ
“อั่งเปา!” แล้วอยู่ๆ ฉินจิ่วเกอก็ยื่นมือออกไปทางลุงๆ นับสิบ ไหนๆ ตนเองก็ถูกเอาเปรียบแล้ว จำต้องเรียกค่าแรงกลับคืนมาบ้าง
“เหวอ! ” เหล่าลุงตระกูลซูต่างล้มระเนระนาดกันไป อยู่ๆ ก็ไร้เรี่ยวแรงหยัดยืนไม่ขึ้น
“พอได้หรือยัง!” หยวนหลงฟิวส์ขาด “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร หากกล้าเหยียบเข้ามาบนเวทีนี้แม้แต่ก้าวเดียว ตาย!”
“ในเมื่อทุกคนยอมรับฐานะของข้าแล้ว แปลว่าข้าก็ลงแข่งได้อย่างไม่มีปัญหา เช่นนั้นก็เริ่มการแข่งขันสองตระกูลเลยเถอะ”
ฉินจิ่วเกอเก็บรอยยิ้มลงไป สีหน้าเปลี่ยนเป็นขึงขัง ก่อนเหินตัวขึ้นไปเผชิญหน้ากับหยวนหลง
“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ข้าจะยอมไว้ชีวิตเจ้า” หยวนหลงเองก็มาปรากฏตัวอยู่บนเวทีแทบจะในเวลาเดียวกัน ไม่ปล่อยให้ฉินจิ่วเกอมีแต้มเหนือกว่า
“ข้าจะหักแขนขาเจ้า ให้เจ้ากลายเป็นขอทานหาเลี้ยงชีพอยู่ในเมืองล่วนโต้วไปชั่วชีวิต ให้ทั่วหล้าได้รับรู้ว่าจุดจบของพวกที่กล้าตอแยตระกูลหยวนข้าเป็นเช่นไร! ”
“สุนัขเถื่อนที่หลบหนีออกจากเมืองเทียนเอินอย่างเจ้า แค่หนึ่งกระบวนท่าก็เหลือแหล่”
ฉินจิ่วเกอบิดคอพลางตอกกลับไปเบาๆ จากนั้นมองฟ้า มองดิน แต่ไม่เคยมองไปทางหยวนหลงเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“บัดซบ! ”
ปรมาจารย์เหยียนเพิ่งประกาศเริ่มแข่ง หยวนหลงที่ถูกจี้ใจดำก็ระเบิดพลังเต็มสูบ ทำลายสมดุลการแข่งขัน ชิงเป็นฝ่ายบุกเข้าหาก่อน
“ปัญญาอ่อนแท้”
ฉินจิ่วเกอยืนอยู่ที่เดิม แต่ในสายตาของคนดู มันกำลังหวาดกลัวจนยืนทำอะไรไม่ถูกต่างหาก
.
.
.