ตอนที่ 91 ชนะและปราชัย ได้และเสีย

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

หยวนหลงเองก็คิดเช่นนี้ จนกระทั่งมันบุกเข้าถึงระยะสามฉื่อจากตัวฉินจิ่วเกอ พลังกดดันไร้ที่มาขุมหนึ่งก็ทาบทับลงจากเบื้องบน

หมื่นบรรพตค้ำสมุทร ทันทีที่กระบวนท่านี้สำแดงเดช ไม่ว่าจะหั่นภูผาผ่ามหาสมุทรก็ลำบากเพียงหนึ่งความคิดเท่านั้น

ร่างกายตรึงแน่นอยู่กับที่ แม้จะแค่ไม่กี่วินาที แต่ทั้งคนที่อยู่บนเวทีหรือนอกเวทีต่างก็ตะลึงโง่งมกันไปหมด เวลาไม่กี่วินาทีนั้นช่างยาวนานเหมือนเป็นปี

รอจนหยวนหลงรีดเค้นพลังจนสลัดพ้นจากพันธนาการได้สำเร็จ ฉินจิ่วเกอก็เหินกายห่างออกไปสิบเมตรแล้ว กระบี่หนักในมือแขวนลอยอยู่บนอากาศ

หมื่นบรรพตค้ำสมุทรเล่นงานหยวนหลง อีกฝ่ายคิดไม่ถึงว่าทารกน้อยปราณสุริยันยังมีลูกไม้เช่นนี้อยู่ ฉินจิ่วเกอชิงความได้เปรียบไปก่อน เปลี่ยนจากรับเป็นรุกทันที

“เคล็ดกิเลนครองฟ้า! ” กระบี่หนักในมือทอประกายดุจเทวาสวรรค์ แสงสว่างปกคลุมเวที ปราศจากสิ่งอื่นใดอีก

“อ๊า! ” หยวนหลงต้านไม่อยู่ ถูกหนึ่งกระบวนท่าฟาดตกจากเวที บนอกเกิดรอยแผลลึก โลหิตทะลักเจิ่งนอง น่าเขย่าขวัญอย่างยิ่งยวด

“เป็นมัน! ”

นายเหนือหลิวที่มาเป็นกำลังหนุนให้ตระกูลหยวนเห็นภาพนี้ก็รู้ได้ทันทีว่านี่จะต้องเป็นเจ้าสารเลวนั่นแน่ แทบจะถลาเข้าไปบดขยี้อีกฝ่ายให้เป็นชิ้นๆ

“ใครรึ? ” ประมุขหยวนสะกดกลั้นโทสะ หน้าผากปรากฏเส้นเลือดปูดโปน แทบจะพุ่งเข้าไปจับฉินจิ่วเกอเขมือบลงท้องอยู่รอมร่อ

“คนที่ช่วยชีวิตซูมู่ซวน รวมถึงสินค้าตระกูลซูที่เราได้มาล้วนถูกคนผู้นี้ช่วงชิงไปสิ้น”

นายเหนือหลิวจ้องมองเจ้าสารเลวบนเวทีนั้น ไม่ต้องพูดถึงชิงชังไม่ชิงชัง แค่ใช้ส้นเท้าเหยียบขยี้อีกฝ่ายมันยังรู้สึกขยะแขยงสกปรก ฝ่ายนั้นเทียบกับกองโจรแล้วยังชั่วร้ายกว่า

“มันต้องตาย”

ประมุขหยวนพ่นออกมาสามคำ แต่ก็ยังกริ่งเกรงในฐานะของปรมาจารย์เหยียน ไม่กล้าหักหน้าอีกฝ่าย ได้แต่จดหนี้แค้นไว้ในใจ นักปรุงยาบัดซบ

“เป็นไปได้อย่างไร” พลังในกายปั่นป่วนสุดระงับ หยวนหลงยังไม่ทันออกกระบวนท่าสักท่าก็ถูกฟาดตกเวทีไปแล้ว

บาดเจ็บนั้นไม่สำคัญ ประเด็นคือมันไม่จำยอม มันกระทั่งไม่เข้าใจว่าตนเองแพ้ได้อย่างไร

“แพ้! ”

ประมุขซูรู้สึกเหมือนมีเพลิงโลดแล่นอยู่ในใจ เจ้าเด็กนี่ร้ายกาจนักเชียว ใช้ปราณสุริยันทำร้ายพิสุทธิ์ไพศาลจนบาดเจ็บ ความต่างชั้นถึงหนึ่งขอบเขต ช่างเปี่ยมพรสวรรค์โดยแท้

“ตระกูลซูเป็นฝ่ายชนะ! ” ปรมาจารย์เหยียนที่นั่งจนรากงอกพลันลุกขึ้นประกาศผลให้ทุกผู้คนรับทราบ

“ข้าไม่ยินยอม ข้า” หยวนหลงยังไม่ทันพูดจบก็ต้องกลืนคำพูดกลับลงท้องไป เพราะมันเห็นบิดาตนส่งสายตาคล้ายจะฆ่าคนได้มาทางมัน

“ตระกูลซูช่างมากความสามารถ ตระกูลหยวนเราขอรับความพ่ายแพ้ ตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้า ภายในสิบปี ตระกูลหยวนแห่งเมืองล่วนโต้วไม่อาจตอแยตระกูลซูได้แม้แต่ปลายเส้นขน”

“อะไรนะ? ” ถึงแม้ว่าฉินจิ่วเกอจะชนะ แต่อาวุโสตระกูลซูหลายท่านไม่อยากจะเชื่อว่าประมุขหยวนจะยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆ กระทั่งทำเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับมัน

“แล้วก็……” ประมุขหยวนกวาดตามองไปทางอาวุโสและศิษย์ในตระกูล พวกมันทุกคนรีบก้มหน้าด้วยความผวา ไม่กล้าส่งเสียง “การค้าตระกูลซูทั้งหมดที่ตระกูลหยวนยึดครองก่อนหน้า ข้าขอส่งมอบกลับคืน พวกเรา ไป”

นับแต่ต้นจนจบ ประมุขหยวนปราศจากโทสะ หรือแม้แต่การไม่ยอมรับ ไม่เพียงประกาศว่าจะไม่ตอแยตระกูลซูอีกต่อไป ยังยอมมอบคืนกิจการให้แก่ตระกูลซูอีกด้วย

อย่าลืมว่า ระหว่างตระกูลหยวนและตระกูลซู เป็นตระกูลหยวนที่ทรงพลังเหนือกว่า!

นอกเสียจากประมุขหยวนถูกประตูหนีบสนองขณะออกจากบ้านเมื่อเช้านี้ ไม่งั้นมันจะออกคำสั่งมั่วซั่วแบบนี้หรือ?

ครั้นแล้วตระกูลหยวนสูงต่ำก็จมอยู่ในภาวะสงบนิ่งไร้เสียง ในความเงียบกำลังก่อตัวอะไรอยู่หรือไม่ ไม่อาจทราบได้

ประมุขซูค่อยๆ สำรวมสีหน้า จากนั้นชูกำปั้นขึ้นช้าๆ “ชนะแล้ว ตระกูลซูชนะแล้ว”

มันเอ่ยเสียงต่ำเบา อาวุโสท่านอื่นเองก็ลดศีรษะไม่พูดไม่จา ไม่ได้ร่ำร้องไปกับมันด้วย

เรื่องราวพิลึกกึกกือจนเกินไป หากเปลี่ยนฉินจิ่วเกอเป็นประมุขตระกูลหยวน มีแต่จะฉีกหน้าอาละวาดฟาดงวงให้ฟ้าถล่มคนกระจาย น่าขันนัก ข้าเกิดราศีปี่เซียะเว้ย เงินทองมีแต่สูบเข้า ไม่มีรูออก!

ปรมาจารย์เหยียนที่ยืนอยู่บนเวทีข้างตระกูลซูเองก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง น่าแปลกจริงๆ

แม้ตระกูลซูจะเป็นฝ่ายกำชัย แต่เพราะเหตุใดในใจถึงได้เกิดลางอันตรายบางอย่างขึ้น?

ลูบอาภรณ์นักปรุงยาระดับสี่บนตัว ก้มมองตรานักปรุงยาอันสูงศักดิ์บนหน้าอกตัวเอง ปรมาจารย์เหยียนถึงค่อยสงบใจลงได้บ้าง ความหวาดกลัวในใจเองก็ลดหลั่นลง

หมากัดคนไม่เห่า ตระกูลหยวนที่แท้ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่?

บรรยากาศพิสดารกลับคืนสู่ตระกูลซู ประมุขซูส่งมอบคืนศิลาวิญญาณที่ติดค้างฉินจิ่วเกอให้อีกฝ่ายอย่างยินดี สามารถคบหาอัจฉริยะเปี่ยมพรสวรรค์เช่นนี้เป็นสหาย เงินไม่กี่หมื่นย่อมไม่ใช่ปัญหา

หากอัจฉริยะผู้นี้จะหน้าบางลงสักหน่อย ใจไม่ดำมืดขนาดนั้นสักหน่อย ก็คงสมบูรณ์แบบ

หลังจากถึงเมืองล่วนโต้ว หากต้องการตามหาอาวุโสใหญ่ท่ามกลางเมืองที่มีประชากรนับล้าน ฉินจิ่วเกอย่อมไร้หนทาง ดังนั้นจึงยืมมือตระกูลซูช่วยเหลือ

ผ่านมาห้าวันแล้วนับแต่ศึกตัดสินชะตา ฉินจิ่วเกอกำลังพำนักอยู่ในตระกูลซู รอคอยอย่างใจจดใจจ่อว่าจะได้ข่าวคราวของอาวุโสใหญ่เมื่อไร

ประหลาดแท้ๆ อาวุโสใหญ่บอกออกมาเองว่าให้มาพบกันที่เมืองล่วนโต้ว มันอาศัยเดินเท้ายังมาถึงแล้ว ตาแก่พลังเซียนบินมาแท้ๆ คงมิใช่ระหว่างทางพบอุปสรรคอันใดกระมัง?

“คุณชายฉิน คุณชายน้อยฉิน” ด้านนอกประตู ปรากฏเสียงเรียกของผู้นำตระกูลซูแว่วมา

“หาอาจารย์ข้าพบแล้วหรือ?” ฉินจิ่วเกอตื่นเต้นดีใจ วิ่งออกไปด้านนอก

ผู้นำตระกูลซูอึ้งไปครู่ โบกมือกล่าว “ไม่เจอๆ”

กล่าวไปประหลาดนัก ตระกูลซูเดินทั่วเมืองล่วนโต้วสามรอบเก้าตลบ แทบพลิกแผ่นดินออกมาเพื่อค้นหา กลับไม่อาจพบอาจารย์ที่ฉินจิ่วเกอเรียกร้องหาได้เลย

จากที่ผู้นำตระกูลซูคาดการณ์ ผู้ที่สามารถอบรมฉินจิ่วเกอออกมา ย่องต้องเป็นยอดคนชั้นกลั่นดวงธาตุ มิเช่นนั้นคงถูกศิษย์ทรพีกระทำอกตัญญูจนกระอักโลหิตตายวันละหลายรอบ

เมื่อคำนึงถึงด้านนี้ มันยิ่งกระเหี้ยนกระหือรือคิดเสาะหาอาจารย์ของฉินจิ่วเกอให้เจอ

“งั้นเรียกข้าทำอะไร” ฉินจิ่วเกอพลิกหน้าทันควัน คนไม่ยินดีอย่างแรง

“ไม่เอาศาสตราบรรพกาลแล้ว?” ผู้นำตระกูลซูถาม

ฉินจิ่วเกอถอนใจ “แค่ไม่ใช่เอาโครงกระดูกมาให้ข้าก็พอแล้ว”

“เชิญทางด้านนี้ ศาสตราบรรพกาลหนึ่งเดียวของพวกเราตระกูลซู หากท่านสามารถหยดโลหิตขึ้นเป็นนาย สิ่งของก็เป็นของท่านแล้ว”

ผู้นำตระกูลซูมิใช่ไม่สนใจศาสตราบรรพกาล ทว่าสิ่งของนี้ไม่เคยมีใครมีปัญญาได้ใช้นับแต่ประวัติศาสตร์ตระกูลมา เก็บไว้ในห้องเก็บของเพื่อสำแดงศักดา หากกลับไม่เคยได้ใช้ประโยชน์อย่างจริงจัง

เมื่อมาถึงห้องเก็บของ ในห้องลับ ฉินจิ่วเกอก็มีโอกาสได้เห็นศาสตราบรรพกาลที่เก็บรักษาโดยตระกูลซูเสียที

ตลอดทั้งตัวศาสตราส่องประกายเรืองรองสีทองอร่ามพลังอันสูงล้ำมูลค่า หากเอาไฟมาส่องสะท้อนใส่ ประกายแสงที่สะท้อนกลับมารับประกันว่าจะส่องใส่นัยน์ตาท่านจนบอดไป

ในประวัติศาสตร์ตระกูลซู ไม่มีคนสามารถใช้วัตถุนี้ได้นับว่ามีเหตุผล ไม่ต้องกล่าวว่าเป็นศาสตราบรรพกาลหรือไม่ วัตถุประกายสีทองวิบวับขนาดนี้หากควักออกมา เกรงว่าคงถูกพวกนักฉกรุมกระทืบจนลมหายใจขาดห้วงไป!

บรรทัดตารางนิ้ว!

นั่นคือนามของศาสตราบรรพกาลชิ้นนี้ ความยาวขนาดโต๊ะหนึ่งตัว กว้างสามนิ้ว ในสายตาของยักษ์ นั่นจึงเรียกว่าตารางนิ้วอย่างแท้จริง

ตลอดทั้งตัวบรรทัดเปล่งประกายเรืองรองสีทองโปร่งใส ภายในไหลเวียนด้วยพลังวิญญาณเป็นเส้นสายคล้ายโลหิต ลอยล่องเคลื่อนย้ายไหลวนอย่างแช่มช้า คล้ายมีชีวิต

ศาสตราบรรพกาล ภายในศัสตรามีความนึกคิด เหนือกว่ากองทหาร มูลค่าสูงยิ่ง!

“บรรทัดตารางนิ้วเล่มนี้ เป็นบรรพบุรุษตระกูลซูของข้าพบเข้าโดยบังเอิญ น่าเสียดายบุคคลที่ใช้บรรทัดเป็นอาวุธมีน้อยยิ่งกว่าน้อย ข้าดูแล้วน้องแซ่ฉินใช้กระบี่หนัก บางทีอาจเป็นไปได้”

ผู้นำตระกูลซูมีเจตนาคิดผูกมิตรกับฉินจิ่วเกอ ดังนั้นคำเรียกขานยิ่งมายิ่งสนิทสนม ไปๆ มาๆ เหมือนนับอีกฝ่ายเป็นหลานชายไปแล้วจริงๆ

สมบัติ สมบัติที่แท้จริง เมื่อยืนอยู่ใกล้ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนแม้แต่ตนเองก็ถูกประกายแสงของสมบัติวิเศษนี้สาดส่องชะล้าง คนคล้ายอดัมที่กำลังถูกล่อลวงให้กลืนกินผลแอปเปิล แววตาร้อนแรงของฉินจิ่วเกอตรึงแน่นอยู่ที่บรรทัดตารางนิ้ว เส้นสายค่ายกลบนบรรทัดที่หมุนวนเร็วรี่ กระเพื่อมไหวไปทั้งห้องหับ

“ท่านลุง ข้าขอลองดูหน่อยได้หรือไม่?”

“หลานชาย หากเจ้าสามารถหยดเลือดให้มันรับเป็นนาย มันก็เป็นของเจ้าแล้ว”

“ท่านลุง!”

“หลานชาย!”

ฉินจิ่วเกอนัยน์ตาแดงก่ำ ส่งเสียงเรียกอ่อนนุ่มออกมาอีกคำ “อั่งเปา!”

“หือ?” ผู้นำตระกูลซูผู้ปราชัยหลบหลี้หนีหน้าโดยพลัน คนออกจากห้องลับเปิดปิดประตูด้วยความเร็ว ให้ฉินจิ่วเกอได้ทดลองในห้องลับอย่างสงบ

หากบอกว่าฉินจิ่วเกอไม่หวั่นไหวใจ นับว่าไม่เป็นความจริง หากอาศัยพลังของศาสตราบรรพกาล ใช้เคล็ดกิเลนครองฟ้าออก เป็นไปได้ว่าอาจถึงขั้นสังหารหยวนหลง ยอดฝีมือชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลางได้ หรืออย่างน้อยก็ต้องบาดเจ็บสาหัส

ฉินจิ่วเกอรีดเค้นโลหิตหยดกลมๆ ออกจากปลายนิ้ว ประกายเรืองรองจางๆ ของพลังวิญญาณแผ่กระจายไปในอากาศ

หยาดโลหิตซึมเข้าไปในศัสตรา เนื่องเพราะตัวอาวุธมีสติปัญญา มีเพียงต้องสื่อสารกับมันได้เท่านั้น จึงถือว่าสมบัติรับเป็นนาย

หากนำศาสตราที่ไม่รับเป็นนายออกมาใช้ พลังของมันจะลดทอนลงอย่างมหาศาล ไม่ต่างจากการเผาแท่งไม้ ในตระกูลซูหลายร้อยปีที่ผ่าน มีคนไม่น้อยคิดใช้บรรทัดตารางนิ้ว น่าเสียดายล้วนล้มเหลวทั้งสิ้น

โลหิตสดกระจายบนไม้บรรทัด กลับถูกพลังแสงสีเทาลี้ลับบางประการขับไล่ออกมา ไม่อาจซึมผ่านเข้าไปได้ พลังสีเทากลับไม่ได้มีประโยชน์อันใด เพียงเอาไว้ใช้ป้องกันผู้ฝึกตนประทับตราอันใดลงไปในอาวุธ

บรรทัดสีทองสั่นสะท้านเบาๆ คล้ายกำลังสมเพชในความอ่อนด้อยของฉินจิ่วเกอ ไม่ยินยอมรับมันเป็นนาย

“ล้วนกล่าวไว้ว่าในศาสตราบรรพกาลย่อมตั้งครรภ์วิญญาณต้นกำเนิด หรือว่าจิตวิญญาณในบรรทัดตารางนิ้วนี้สร้างปัญหา ไม่ยอมรับข้าเป็นนาย?”

ฉินจิ่วเกอถามไถ่ตนเอง อย่างไรซะตนก็เป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ของพระเอกเชียวนะ ถึงพรสวรรค์จะด้อยกว่านิดหน่อย แต่ก็มีความสามารถหลากหลาย รอจนวันไหนพระเอกศิษย์น้องของข้าทลายฟ้าดินทะลวงกฎเทพ ศาสตราบรรพกาลกระจอกนี่ข้าใช่ว่าจะสน

“ไม่ได้ ข้าจะให้เจ้ารับข้าเป็นนายให้ได้!” ฉินจิ่วเกอกล่าวอย่างชั่วร้าย ไม่ยินยอมล้มเลิกแค่นี้

ผู้นำตระกูลซูกล่าวอย่างชัดแจ้งยิ่ง หากสามารถให้มันยอมรับ สิ่งของก็เป็นของท่าน

หากเอาเข้าลานประมูล ศัสตราบรรพกาลชิ้นหนึ่งอย่างน้อยราคาห้าหมื่นศิลาวิญญาณขึ้นไป แม้แต่ตระกูลซูเองยังไม่อาจประมูลได้

จิตวิญญาณภายในบรรทัดตารางนิ้วเป็นโคหัวดื้อ ฉินจิ่วเกอเองก็เป็นดื้อด้านคิดฝนเขาควายให้เป็นเข็ม ต้องเอาให้ได้

มันยกศาสตราขึ้น อาวุธเปล่งประกายเจิดจ้า จากนั้นพายุมรสุมม้วนพัดกระจัดกระจาย ดีดร่างมันออกมาถึงด้านนอก

ครั้งหนึ่งไม่ได้ ต้องลองครั้งที่สอง ครั้งที่สองไม่ได้ ลองครั้งที่สาม ลากยาวไปจนถึงสองวัน ฉินจิ่วเกอรู้สึกเหมือนร่างกายของมันยามนี้กลวงโหวงว่างเปล่า สองแก้มซูบตอบสองตาลึกโหลเป็นแพนด้า ตลอดร่างเหมือนดอกไม้ใกล้โรยรา ลุ่มหลงหักโหมจนเกินคน

“สมควรตาย!” สงสัยมันคงถูกผู้นำตระกูลซูล้อเล่นแล้ว หากบรรทัดตารางนิ้วนี่ยอมรับนายง่ายขนาดนั้น ของกล้วยๆ แบบนั้นไหนเลยจะมาถึงรอบมันได้เสพสุข

ไปๆ มาๆ ฉินจิ่วเกอทดลองไปสามสิบรอบแล้ว เล่นเอาพลังวิญญาณบนร่างสับสนวุ่นวาย เลือดลมพลุ่งพล่านไม่หยุด

ส่วนบรรทัดตารางนิ้วประดิษฐานอยู่บนพื้น ดื้อด้านราวก้อนศิลา ทั้งเหม็นโฉ่ทั้งแข็งทื่อ ไม่อาจขยับเขยื้อนได้ ชายหนุ่มโมโหจนหยิบบรรทัดตารางนิ้วขึ้นก่อนล้มติดกันสามครั้งครา นอกจากพื้นที่กะเทาะออกมาแล้ว ตัวบรรทัดดื้อแม้แต่รอยข่วนสักนิดก็ไม่มี

“ตัวบัดซบ ข้ารู้ว่าเจ้ามีความคิด เข้าใจที่ข้าพูด” ฉินจิ่วเกอก้มเก็บบรรทัดตารางนิ้วขึ้นมาอย่างกระแทกกระทั้น ในสายตาคนนอกแล้ว ตอนนี้กำลังมีคนบ้าคุยกับไม้บรรทัดเล่มหนึ่งอยู่

เมื่อเห็นบรรทัดตารางนิ้วไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนอง แปลว่าจิตวิญญาณภายในไม่แยแสสนใจมัน ฉินจิ่วเกอเพลิงโทสะลุกฮือโหม เห็นว่าข้าไม่ใช่พระเอกใช่มั้ย!

“ตัวเลวร้าย เจ้ารู้จักหรือไม่ อันใดเรียกว่า ห้าธัญพืชคืนถิ่น?” ฉินจิ่วเกอใช้เท้ากดบรรทัดตารางนิ้วตรึงแน่นกับพื้น

“ไม่รู้ล่ะสิ?” น้ำเสียงชั่วร้ายอำมหิตยิ่ง ฉินจิ่วเกอปลดสายรัดเอว “นั่นก็คือส้วม! ส้วม! ข้างในมีแต่ขี้ลอยตุ๊บป่องๆ เหมาะสมในการหยั่งรู้วิถีเต๋ายิ่ง ที่ว่าวิถีแห่งเต๋าอยู่ในอุจจาระ ที่จริงเป็นวิธีบรรลุเซียนที่ได้ผลที่สุดจริงๆ”

คิดทุบตีทารุณกรรม บรรทัดตารางนิ้วล้วนไม่ขมวดคิ้วนิ่วหน้า

คิดใช้โฉมงามเข้าล่อลวง ขอโทษที มันเป็นไม้บรรทัด

ทว่าทันทีที่ฉินจิ่วเกอเอ่ยถึงส้วม บรรทัดตารางนิ้วผู้วิเศษพลันตรัสรู้ นั่นไม่ใช่ทางไปที่ดีแน่นอน

.

.

.