“คิดจะทำอะไรของนายกันแน่นากา…”
ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่นากาตกอยู่ท่ามกลางความเจ็บปวดในโลกที่มีแต่ความมืดมิดนั้น ทางด้านเนลก็ได้แต่เล็งดาบที่มีกลไกปืนของเขาไปที่นากาโดยที่ไม่กล้าลั่นไกส่งกระสุนลำแสงออกไป เพราะว่าสิ่งที่เขาเห็นก็คืออยู่ดีๆ นากาก็พุ่งตัวถอยหลังไปคว้าอะไรบางอย่างขึ้นมาถือเอาไว้และชะงักนิ่งค้างไปแบบไม่ไหวติง และถึงแม้ว่าเขาจะต้องการชัยชนะในการสอบครั้งนี้ก็ตามแต่ว่าเขาเองก็ยังมีศักดิ์ศรีมากพอที่จะไม่ยิงกระสุนเข้าใส่คู่ต่อสู้ที่ดูยังไงก็ไม่พร้อมรับมือแบบนี้อย่างแน่นอน
“หือ…? แสงนั่น… วิซงั้นหรอ… ไม่ใช่สิ ไม่มีร่องรอยของพลังเลย…”
แต่ว่าในขณะที่เนลกำลังเล็งปืนคาเอาไว้ที่นากาเพื่อรอให้เขากลับมาขยับตัวอีกครั้งอยู่นั้น เขาก็ได้สังเกตเห็นว่าดาบเปื้อนเลือดที่นากาใช้เป็นอาวุธคู่กายได้เรืองแสงสีขาวออกมาเล็กน้อยก่อนจะหายไปจากมือของนากาและอะไรบางอย่างในมืออีกข้างของนากาก็ได้เปลี่ยนสภาพกลายเป็นถุงมือหนังสีน้ำตาลยาวถึงท่อนแขนที่มีกล่องกลไกอะไรบางอย่างติดเอาไว้
และในขณะที่เนลกำลังมึนงงอยู่กับเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนนั้น อยู่ๆ นากาที่นิ่งค้างไปเป็นเวลานานก็ได้สะบัดแขนข้างที่สวมถุงมือสีน้ำตาลเอาไว้ตรงมาทางเขาพร้อมกับร้องตะโกนออกมา
“ไปเลย ลาส เซอร์ไวเวอร์!!”
ปั้ง—เกร๊งงงงงง!
ทันทีที่สิ้นเสียงของนากา กล่องกลไกสีดำบนแขนของเขาก็ได้ยิงใบมีดทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดที่มีห่วงโซ่คล้องมันเชื่อมเอาไว้ตัวกล่องกลไกพุ่งตรงไปทางเนลอย่างรวดเร็วโดยที่นากาไม่จำเป็นต้องขยับมือเพื่อกดปุ่มอะไรเลยแม้แต่น้อยราวกับว่ามันถูกสั่งงานผ่านสมองของเขาโดยตรง
ซึ่งใบมีดทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดสีดำก็ได้พุ่งแหวกอากาศตรงเข้าไปหาเนลด้วยความเร็วที่พอๆ กับกระสุนลำแสงขนาดเล็กโดยที่ตัวกล่องกลไกสีดำก็ได้ปลดปล่อยห่วงโซ่ที่เชื่อมติดเอาไว้กับด้ามมีดออกมาเรื่อยๆ ตามระยะทางที่ตัวมีดพุ่งออกไป จนดูราวกับว่าที่จริงแล้วมันไม่ได้ม้วนเก็บโซ่เอาไว้ด้านในกล่องกลไกที่มีขนาดเล็กแต่ว่าตัวโซ่สีดำมันถูกสร้างขึ้นมาเรื่อยๆ ในขณะที่ตัวมีดพุ่งออกไปอย่างไรอย่างนั้น
ฟุ๊บ—
ถึงแม้ว่าเนลจะยังคงรู้สึกตกตะลึงกับสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนแต่ว่าด้วยความที่เขาคุ้นชินกับความเร็วของกระสุนลำแสงของตัวเองที่มีความเร็วมากกว่ามีดสีดำที่นากายิงออกมามาก มันก็ทำให้เขาสามารถเอี้ยวตัวหลบมีดบินติดโซ่ของนากาได้อย่างไม่ยากลำบากอะไรนักพร้อมกับใช้โอกาสนี้ในการลั่นกระสุนลำแสงเต็มพิกัดของเขาเข้าใส่นากาที่กลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งแล้วในทันที
“เกือบไป—ถ้างั้นก็ตาฉันบ้างล่ะ!!”
ปั้ง! ซู่มมมม!!
กระสุนวิซสีแดงที่ถูกบีบอัดจนกลายเป็นลำแสงได้ถูกปลดปล่อยออกมาจากรูลำกล้องที่ปลายดาบของเนลอีกครั้งและพุ่งแหวกอากาศสวนทางสายโซ่ของนากาตรงเข้าใส่ผู้เป็นเจ้าของสายโซ่อย่างรวดเร็ว
ปึ้ก—!!
แต่ว่าทันใดนั้นเองเนลก็ต้องสะดุ้งสุดตัวและสะบัดหน้าหันไปมองทางด้านหลังในทันทีที่มีเสียงเหมือนกับอะไรบางอย่างปักลงบนพื้นของแข็งดังขึ้นมาให้เขาได้ยิน และนั่นก็ทำให้เนลได้พบว่าตัวมีดสีดำที่พุ่งเลยร่างของเขาไปเมื่อสักครู่นั้นได้หยุดชะงักค้างอยู่ท่ามกลางรอยแตกร้าวเล็กๆ ที่ปรากฏขึ้นมากลางอากาศ
ซึ่งสภาพของรอยแตกร้าวผิดธรรมชาติที่ปรากฏขึ้นมากลางอากาศนั้นก็ได้ทำให้เนลละความสนใจไปจากนากาและหันกลับไปหรี่ตาจ้องมองมันด้วยท่าทีระแวดระวังกับสิ่งที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนอย่างเต็มเปี่ยมก่อนที่ทันใดนั้นเองตัวสายโซ่ที่ลากยาวไปยังนากาผู้เป็นเจ้าของมีดจะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงพร้อมๆ กับที่มีเสียงร้องตะโกนของนากาดังขึ้นมา
วี๊—ครืกๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!
“ย๊ากกกก!!”
ปึ๊ก!!
“อุ๊ก—!!?”
เนลที่มัวแต่ให้ความสนใจกับรอยร้าวที่ปรากฏขึ้นมากลางอากาศไม่สามารถตั้งสติหันกลับมารับมือกับนากาที่เหมือนว่าจะใช้กล่องกลไกบนถุงมือของเขาในการดึงร่างของตัวเองเข้าไปยังมีดสีดำติดโซ่ที่ปักคาอยู่กลางอากาศได้ทันและถูกลูกเตะของนากาเข้าไปจังๆ จนถึงกับล้มกลิ้งไถลไปกับพื้นอย่างรุนแรง
ส่วนทางด้านนากาเมื่อเขาพุ่งเข้าไปใกล้มีดสีดำที่ปักคาอยู่กลางอากาศได้ระยะหนึ่ง ตัวมีดสีดำก็หลุดออกมาจากรอยแตกร้าวกลางอากาศและโดนกล่องกลไกบนถุงมือดึงกลับไปเก็บเอาไว้ที่เดิม ในขณะที่ตัวนากาเองนั้นก็ต้องรีบพลิกตัวตั้งหลักเอาขายันไว้กับพื้นเพื่อลดความเร็วลงเพื่อที่จะได้ไม่กลิ้งคลุกฝุ่นตามเนลไปด้วยอีกคน
“แค่ก–แค่ก— ก็ไม่รู้หรอกนะว่านายใช้วิธีไหนน่ะ แต่ว่านายเล่นเปลี่ยนดาบให้กลายเป็นถุงมือไปแบบนั้นแล้วคิดว่าจะเอาชนะฉันได้หรือไง!?”
ปังปังปังปังปัง!!
ถึงแม้ว่านากาจะสามารถตั้งหลักไม่ให้ตัวเองล้มกลิ้งไปกับความเร็วที่เขาไม่คุ้นชินได้ก็ตามที แต่ว่าเขาก็ยังคงตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากอยู่ดีเมื่อเนลที่ถูกเขาเตะจนกระเด็นไปเมื่อสักครู่ได้ฉวยโอกาสนี้ในการเปลี่ยนตลับกระสุนและส่งกระสุนลำแสงวิซขนาดเล็กเขาใส่เขาอีกครั้งหนึ่งแล้ว
“ช้าน่า!”
ฟุ๊บ—
ปังปังปัง!!
ฟุ๊บ—
“ไล่ตามไม่ทันเลยแฮะ… เอาไงดีล่ะเนี่ย…”
ซึ่งด้วยความที่นากาคุ้นชินกับความเร็วของกระสุนลำแสงวิซขนาดเล็กที่เขาใช้เป็นมาตรฐานในการฝึกฝนกับพาเทียซ์นั้นก็ทำให้นากาสามารถหลบหลีกมันได้อย่างง่ายดาย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถย่นระยะเข้าใกล้เนลได้เลยแม้แต่น้อยเพราะว่าการที่เขาต้องเอี้ยวตัวหลบในขณะวิ่งหรือว่าวิ่งฉีกออกข้างเพื่อหลบกระสุนเนื่องจากขาดดาบประจำตัวไปนั้นมันก็ทำให้ความเร็วของเขาตกลงอย่างมากจนไม่สามารถไล่ตามเนลที่ถอยร่นพร้อมกับระดมยิงกระสุนเข้าใส่อย่างต่อเนื่องได้ทัน
และสาเหตุที่นากาไม่ยอมใช้ถุงมือ ลาส เซอไวเวอร์ ยิงใบมีดออกไปเพื่อพุ่งตัวไปข้างหน้าเหมือนกับที่ทำเมื่อสักครู่นั้นก็เนื่องจากว่าการพุ่งตัวด้วยกลไกของถุงมือสามารถทำได้เพียงแค่พุ่งเข้าหาใบมีดที่ยิงออกไปเป็นเส้นตรง และถึงแม้ว่ามันจะมีความเร็วสูงมากก็ตามทีแต่ว่าในจังหวะที่เขาลอยพุ่งไปข้างหน้าเป็นเส้นตรงเขาก็คงจะถูกเนลระดมยิงกระสุนใส่จนพรุนไปทั้งตัวอย่างแน่นอน
“เออใช่ มีเจ้านี่อยู่นี่นา”
นากาที่กำลังคิดหาวิธีรับมืออยู่ได้เหลือบไปเห็นกำไลโลหะสีขาวที่เขาสวมใส่มันเอาไว้ที่ข้อมือข้างขวาและรีบใช้ความสามารถของเขาเปลี่ยนมันให้กลายเป็นดาบเฟเบิ้ล ดรีมเมอร์ในทันที
“คิดว่าฉันจะปล่อยให้นายทำได้ง่ายๆ หรือไง!?”
ซึ่งนั่นก็ทำให้เนลที่สังเกตเห็นว่ากำไลโลหะของนากาได้เรืองแสงสีขาวอ่อนๆ ออกมาและกำลังค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างไปได้ตัดสินใจที่จะดีดตลับกระสุนอันเก่าออกมาจากอาวุธพร้อมกับคว้าเอาตลับกระสุนที่มีลายสีแดงคาดทับเอาไว้ออกมายัดใส่เข้าไปแทนเพื่อหวังที่จะเผด็จศึกนากาก่อนที่เขาจะได้เรียกเอาอาวุธอะไรประหลาดๆ ออกมาอีก
กริ๊ก! กิ๊ง—
“เป็นไปตามแผนเลย!”
ปั้ง!!
นากาที่คาดเอาไว้แล้วว่าเนลคงจะไม่ปล่อยให้เขาได้เรียกเอาอาวุธออกมาง่ายๆ ได้ใช้จังหวะที่เนลกำลังเปลี่ยนตลับกระสุนอยู่ในการยิงใบมีดสีดำเข้าใส่เนลอีกครั้งหนึ่งในทันที แต่ว่าทางด้านเนลก็กลับสามารถตบตลับกระสุนเข้าไปในตัวอาวุธพร้อมกับสะบัดดาบของเขาเสยขึ้นเพื่อปัดใบมีดสีดำให้กระเด็นขึ้นฟ้าไปได้อย่างทันท่วงที
เคร๊ง!!
ส่วนทางด้านตัวนากาเองที่ไม่ได้คาดหวังว่ามีดติดโซ่ของเขาจะทำอะไรเนลได้ตั้งแต่แรกนั้นก็ได้ออกฝีเท้าพุ่งตัวตามใบมีดของเขามาด้วยตั้งแต่แรกจนเหลือระยะทางอีกแค่ครึ่งเดียวเขาก็จะเข้าสู่ระยะของการต่อสู้ระยะประชิดที่เขาได้เปรียบที่สุด
แต่ว่าทันใดนั้นเองเนลที่เพิ่งจะสะบัดดาบขึ้นสูงเพื่อปัดมีดติดโซ๋ของนากากระเด็นขึ้นฟ้าไปก็ได้เผยรอยยิ้มราวกับว่าเขาเป็นผู้ชนะออกมาและสะบัดดาบกลับลงมาเป็นแนวตรงลงสู่พื้นโดยไม่สนใจว่านากาจะไม่ได้อยู่ในระยะดาบของเขาเลยแม้แต่น้อย
“เสร็จฉันล่ะ! เชน เบิร์ส!!”
กริ๊ก—ตู้มตู้มตู้มตู้ม—!!
“—!?”
ดาบหัวตัดที่เนลตวัดลงมานั้นได้ปลดปล่อยกระสุนวิซสีแดงออกมาเป็นจำนวนมากและเมื่อกระสุนเหล่านั้นพุ่งตรงไปได้สักระยะหนึ่งพวกมันก็ได้ระเบิดออกในเวลาไล่เลี่ยกันจนแทบจะเปลี่ยนสนามหญ้าเบื้องหน้าของเนลในแนวตรงให้กลายเป็นทุ่งระเบิดที่กำลังพุ่งตรงเข้าหานากาอย่างต่อเนื่อง
“ยังหรอกหน่า!!!”
ปึ้ก—ครึกๆๆๆๆๆๆ!!
แต่ว่านากาที่เห็นกระสุนระเบิดกำลังพุ่งตรงเข้ามาใส่นั้นก็กลับไม่ชะลอฝีเท้าลงแม้แต่น้อยก่อนที่ทันใดนั้นเองตัวใบมีดสีดำของนากาที่ถูกเนลปัดขึ้นฟ้าไปจะปักคาอยู่กลางอากาศจนสร้างรอยแตกร้าวขึ้นมากลางอากาศอีกครั้งหนึ่ง และตัวกล่องกลไกบนถุงมือของนากาก็ได้เริ่มทำการสาวโซ่ที่ติดอยู่กับใบมีดกลับมาจนทำให้ร่างของนากาถูกกระชากลอยขึ้นไปบนอากาศและรอดพ้นจากแรงระเบิดไปได้อย่างฉิวเฉียด
และเมื่อนากาถูกกระชากจนลอยขึ้นไปกลางอากาศแล้วตัวมีดสีดำที่ปักคาอยู่กลางอากาศก็ได้หลุดออกมาจากรอยแตกร้าวและถูกดึงจนกลับเข้าไปในกล่องกลไกอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งนากาก็ได้ใช้จังหวะนี้ยิงใบมีดติดโซ่สีดำเข้าใส่เนลที่ยังคงพยายามมองหาร่างของนากาที่เขาคิดว่าโดนแรงระเบิดเข้าไปเต็มๆ อยู่
“หนักมือไปหรือเปล่าเนี่ย… หวังว่าหมอนั่นคงจะไม่ได้โดนระเบิดเละไปแล้วหรอกนะ…”
ปั้ง!
“—-!?”
แคร่ก— ฟุ๊บ!!
“เฮ้ย—!?”
เสียงของกลไกยิงมีดจากถุงมือของนากาที่ดังขึ้นมาจากกลางอากาศนั้นถึงกับทำให้เนลต้องรีบเงยหน้าขึ้นไปมองในทันที แต่ว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้ตอบสนองอะไรตัวโซ่ที่เชื่อมต่อระหว่างมีดสีดำและถุงมือของนากาก็ได้ตวัดพันท่อนแขนของเขาเอาไว้และออกแรงฉุดกระชากร่างของเขาขึ้นไปหาตัวนากาที่กำลังพุ่งสวนลงมาเพราะกลไกของกล่องอุปกรณ์บนถุงมือเช่นเดียวกัน
“ย๊ากกกกกก!!”
“ถ้าจะเอาแบบนี้ก็มาเลย!!”
เนลที่มองไล่ไปตามสายโซ่และพบเข้ากับนากาที่กำลังร้องตะโกนพุ่งสวนเข้ามาเตรียมพร้อมที่จะฟันดาบเปื้อนเลือดเข้าใส่นั้นได้รีบตั้งดาบของเขาขึ้นมาเตรียมพร้อมที่จะใช้มันฟาดฟันกลับไปเช่นเดียวกัน แต่ว่าในจังหวะที่พวกเขากำลังจะเหวี่ยงดาบเข้าใส่กันกลางอากาศนั้นก็ได้มีเสียงของอลิซดังขึ้นมาให้พวกเขาได้ยินเข้าซะก่อน
“หยุดมือได้! การสอบจบลงแล้ว!”
“—!? / —!!”
โคร๊ม!!
“อุ๊ป— / โอ้ย—!?”
เสียงร้องสั่งของอลิซนั้นได้ทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองหยุดดาบที่กำลังจะฟาดฟันเข้าใส่กันไปในทันทีก่อนที่พวกเขาจะพุ่งเข้าไปชนกันกลางอากาศและร่วงลงมากระแทกพื้นกันทั้งคู่เนื่องจากว่าตัวกล่องกลไกบนถุงมือของนากาที่ยังคงพยายามดึงตัวมีดกลับเข้าไปเก็บที่เดิมนั้นไม่ได้หยุดชะงักไปกับคำสั่งของอลิซด้วย ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาได้แต่ต้องรีบลุกขึ้นมานั่งและร้องบ่นใส่อลิซในทันที
“หาจังหวะสั่งหยุดมันให้มันดีๆ หน่อยสิอลิซ!!”
“พูดมากน่า!! ถ้ายังมีแรงลุกขึ้นมานั่งเถียงงั้นก็รีบๆ เดินมาให้อารอนตรวจดูอาการได้แล้ว!!”
“เฮ้อ… ให้ตายสิ…”
นากาที่ลงไปนั่งอยู่กลางสนามหญ้าได้แต่ถอนหายใจออกมาเพราะดูท่าว่าเมื่อสักครู่นี้อลิซคงจะจงใจบอกให้พวกเขาหยุดมือในจังหวะนั้นแน่ๆ และเมื่อนากาพูดบ่นออกมาเสร็จแล้วเขาก็เหลือบมองไปยังเนลที่นอนหอบหายใจอย่างหนักหน่วงอยู่ข้างๆ กันและเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“หวังว่านายคงจะพอเข้าใจเรื่องที่ฉันเดินหนีไปเมื่อตอนนั้นแล้วนะ… เพราะถึงฉันจะไม่มีวิซจนใช้งานอุปกรณ์อะไรหลายๆ อย่างแบบคนปกติอย่างพวกนายไม่ได้ก็จริง แต่ว่าฉันก็ไม่อยากจะยืมพลังของคนอื่นเขามาใช้ให้ตัวเองได้ทำตัวกลมกลืนไปกับคนปกติธรรมดาแบบพวกนายด้วยน่ะ…”
เนลที่ได้ฟังคำพูดของนากาได้นึกย้อนไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องชมรมเมื่อสองสัปดาห์ก่อนที่น้องสาวของนากาได้สร้างโล่น้ำแข็งขึ้นมาก่อนที่เขาจะรีบเดินหนีออกไปจากห้องชมรมไป เพราะถ้าเกิดว่าในตอนนั้นนากาพยายามจะอธิบายให้เขาฟังว่านากาไม่สามารถใช้วิซได้ เขาก็คงจะไม่เชื่อเด็กหนุ่มผมดำอย่างแน่นอนในเมื่อมันมีหลักฐานเป็นโล่น้ำแข็งบนถุงมือของอีกฝ่ายแบบนั้น
“อ่า… ถ้าเกิดเป็นเมื่อตอนนั้นฉันก็คงจะไม่เชื่อแล้วก็ดึงดันจะสู้กับนายให้ได้จนได้รู้ความจริงแล้วก็นึกสงสารนายอยู่บ้าง… แต่ว่าตอนนี้นายอย่าหวังว่าฉันจะนึกสงสารขึ้นมาเลย! ถึงนายจะใช้วิซไม่ได้แต่ว่าฝีมือดาบขนาดนี้กับอุปกรณ์แปลกๆ พวกนั้นก็ทำเอาฉันตึงมือจะแย่อยู่แล้ว! แต่ยังไงก็อย่าได้ใจไปล่ะ รอบหน้าฉันไม่มัวแต่แปลกใจกับอุปกรณ์ของนายจนพลาดท่าแบบคราวนี้แน่!”
“ขอแค่นายเข้าใจได้แบบนั้นก็พอแล้วล่ะ ส่วนเรื่องสู้กันคราวหน้านั่น ถ้าเกิดว่าฉันไม่โดนพวกอาจารย์หิ้วตัวออกจากโรงเรียนไปก่อนเพราะปิดเรื่องที่ใช้วิซไม่ได้เอาไว้ล่ะก็ เดี๋ยวฉันจะไปท้านายถึงที่ห้องชมรมให้เอง”
“เรื่องนั้นนายไม่ต้องเป็นห่วงหรอกมั้ง ยังไงคนที่มาดูการสอบนี่ก็มีแค่อาจารย์อลิซกับอาจารย์อารอนที่เหมือนว่านายจะสนิทด้วยนี่ กว่าเรื่องนี้จะไปถึงหูอาจารย์คนอื่นก็คงจะอีกสักพักล่ะมั้ง ส่วนเรื่องคนอื่นๆ ในห้องที่มามุงดูกันนั่นเดี๋ยวเพื่อนๆ ของนายก็น่าจะจัดการให้ได้เองนั่นล่ะ”
เนลที่ได้หยุดพักหายใจจนอาการดีขึ้นมาเล็กน้อยได้ยันร่างของตัวเองให้ลุกขึ้นมาและเงยหน้าขึ้นมองไปยังระเบียงทางเดินชั้นสามของอาคารเรียนที่ในตอนนี้มีร่างของโมโกะและคอนแนลโผล่พ้นราวระเบียงออกเล็กน้อยและกำลังถูกรุมล้อมอยู่ด้วยเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ อยู่เป็นจำนวนมาก
“แค่เห็นก็รู้แล้วล่ะนะว่าเพื่อนๆ กับน้องสาวของนายพยายามที่จะช่วยเหลือนายขนาดไหนน่ะ ถึงดูท่าทางว่าบางทีพวกเขาจะทำล้ำเส้นไปบ้าง แต่นายก็รู้สินะว่าพวกเขาทำไปเพื่อนายน่ะ”
“เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้วล่ะ… ตอนนั้นฉันก็เลยไม่อยากจะว่าอะไรพรีมูล่าสักเท่าไหร่น่ะ อีกอย่างนึงดูเหมือนว่าคอนแนลจะคอยห้ามนายเอาไว้ไม่ให้มาหาฉันที่ข้างโกดังมาตั้งสองสัปดาห์ใช่มั้ยล่ะฉันถึงได้มีเวลาเตรียมตัวให้พร้อมได้ตั้งนานขนาดนั้นน่ะ เห็นทีว่าจะต้องไปบอกขอบคุณสักหน่อยแล้วล่ะมั้งเนี่ย”
“ฮะฮะ ถ้านายเข้าใจเพื่อนๆ ของนายได้แบบนั้นงั้นก็ดีแล้วล่ะ อ้อ แล้วถ้ายังไงนายก็อย่าไปดุน้องสาวของนายมากนักล่ะ”
“หือ? เป็นฉันมากกว่าล่ะมั้งที่จะถูกยัยนั่นดุเข้าให้เพราะว่าโยนโล่น้ำแข็งทิ้งไปเมื่อตอนเริ่มสู้แบบนั้นน่ะ—”
“พี่นากาาาาาา!!!”
โคร๊ม!!!
หลังจากที่การต่อสู้ของนากาและเนลได้จบลงไป พวกเขาทั้งสองคนก็ถูกอารอนบังคับให้ไปตรวจอาการในห้องพยาบาลกัน และเมื่ออารอนสรุปผลการตรวจออกมาว่านากามีอาการเหนื่อยล้าจากการฝืนใช้แรงมากเกินไปส่วนทางด้านเนลเองก็มีอาการเหนื่อยล้าจากการฝืนใช้วิซมากเกินไปเช่นเดียวกัน พวกเขาก็ถูกอารอนและคาร์เทียร์ล็อกตัวไปนอนบนเตียงเพื่อให้พวกเขานอนพักผ่อนกันในทันที
และหลังจากที่นากานอนหลับลงไปได้สักพักหนึ่งเขาก็ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาเมื่อมีเสียงของสายฝนกระทบกับผืนดินดังขึ้นมาให้เขาได้ยิน
ซ่าาาา
“หืม…ฝนตกงั้นหรอ…? อ่ะ—”
นากาที่ยันตัวเองลุกขึ้นมาและเลื่อนผ้าม่านที่อารอนนำมากั้นไว้รอบเตียงออกได้ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อคนที่นั่งอยู่บนเตียงข้างๆ กันนั้นไม่ใช่เนลแต่ว่ากลับเป็นหญิงสาวผมสีขาวนามว่าพาเทียซ์ที่กำลังนั่งอ่านหนังสือปกหนังประจำตัวอยู่
“ว่าไง…”
“พ–พาเทียซ์—!? หมายความว่านี่ฉันหลุดเข้ามาอีกแล้วงั้นหรอเนี่ย”
“ไม่ใช่ว่านายมีเรื่องที่อยากจะคุยกับฉันก็เลยคิดจะเข้ามาข้างในนี้เองหรอกหรอ…”
“อื้ม… มันก็จริงนั่นแหล่ะ เอาจริงๆ มันก็ไม่ใช่อะไรมากหรอกแค่ว่า— เอ่อ… เธอเป็นอะไรหรือเปล่าน่ะพาเทียซ์?”
นากาที่กำลังจะเอ่ยปากพูดถึงสาเหตุที่เขาอยากจะเข้ามาในโลกแห่งจิตได้สำนึกด้วยตัวเองได้แต่กะพริบตามองดูการขยับตัวอย่างแปลกประหลาดของพาเทียซ์ที่กำลังขยับตัวลุกขึ้นมายืนก่อนที่ร่างกายของเธอจะจางหายไปชั่วขณะและปรากฏกลับมาเป็นท่านั่งเพื่อลุกยืนขึ้นอีกครั้งหนึ่งอยู่อย่างต่อเนื่องราวกับว่าการกระทำทุกอิริยาบถของเธอถูกย้อนกลับไปประมาณครึ่งวินาทีอย่างไรอย่างนั้น
“หืม…? เห็นได้ชัดขนาดนั้นเลยหรอ… เอาเถอะ… ไม่น่าจะเป็นอะไรหรอกมั้ง… นายไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก…”
“ถ้าเธอว่าอย่างงั้นก็ตามนั้นก็แล้ว— อืม…. เธอแน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไรน่ะพาเทียซ์…?”
ถึงแม้ว่านากาจะได้ยินพาเทียซ์พูดบอกปัดกลับมาเหมือนกับว่าการที่ร่างกายของเธอหายไปและปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในท่วงท่าของเมื่อครึ่งวินาทีก่อนไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรมากนัก แต่ว่าเขาก็ยังคงพูดถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงอยู่ดี เพราะว่าต่อให้มันจะเป็นเหตุการณ์ในความฝันของเขาที่ไม่ค่อยจะถูกยึดติดกับความเป็นจริงสักเท่าไหร่ แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพาเทียซ์นั้นมันก็ยังคงดูผิดแปลกมากเกินกว่าปกติไปสักเล็กน้อยอยู่ดี
“ก็ไม่ได้ถึงขั้นที่นายจะต้องมาเป็นห่วงหรอกน่า… ดูเหมือนว่าเมื่อกี้นี้ตอนที่ฉันฝ่าระบบป้องกันของเครื่องสื่อสารนั่นเพื่อติดต่อกับนายฉันจะโดนมันเล่นงานเข้าไปจนระบบหลายๆ อย่างมันรวนไปเล็กน้อยน่ะ…”
“ระบบป้องกันของเครื่องสื่อสาร? เธอหมายถึงเครื่องสื่อสารจิ๋วของเอริกะนั่นน่ะนะ?”
“นายก็พูดอย่างกับว่าโลกใบนี้มันมีเครื่องสื่อสารเยอะแยะมากนักล่ะ…”
“เออ แล้วจะว่าไปตะกี้นี้เธอติดต่อมาหาฉันได้ยังไงล่ะเนี่ย? ฉันก็นึกว่าเธอมีตัวตนอยู่แค่ในความฝันของฉันซะอีก… หรือว่าที่จริงแล้วเครื่องสื่อสารของเอริกะมันทำอะไรได้มากกว่าการสื่อสารน่ะ?”
นากาที่ได้ยินคำพูดของพาเทียซ์ได้พูดถามอีกฝ่ายขึ้นมาด้วยความไม่ไว้วางใจในตัวเครื่องสื่อสารของเอริกะสักเท่าไหร่นัก เพราะไม่ว่าจะดูยังไงขนาดที่เล็กจนสามารถใส่เข้าไปในหูได้ของมันก็ไม่น่าจะสามารถบรรจุคริสตัลวิซสำหรับกระตุ้นให้มันทำงานได้เลยแม้แต่น้อย หรือต่อให้เอริกะจะสามารถหาคริสตัลขนาดจิ๋วมาเป็นแหล่งพลังงานได้จริงๆ มันก็ดูเหมือนว่าจะไม่ต้องการพลังวิซในการใช้งานเลยแม้แต่น้อยเพราะหลักฐานก็คือการที่คนไร้วิซอย่างเขาสามารถใช้งานมันได้นั่นเอง
ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาเริ่มที่จะคิดว่าเอริกะอาจจะสร้างมันขึ้นมาและป้องกันมันด้วยวิธีการแปลกๆ ที่คนอื่นไม่รู้จักที่ถึงขั้นทำให้พาเทียซ์ที่พยายามติดต่อมาหาเขาในโลกแห่งความเป็นจริงมีท่าทีประหลาดๆ แบบนี้
“นายไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอกน่า… ถึงนายจะไม่เข้าใจในเรื่องระบบป้องกันที่ฉันพูดแต่ฉันรับรองได้ว่ามันจะไม่มีอันตรายกับนายอย่างแน่นอน… เพราะว่ามันจะมีผลแค่เฉพาะกับพวก———–ที่อยู่ในโลกแบบนี้แล้วก็คิดจะเข้าไปยุ่งกับมันเท่านั้นแหล่ะ…”
“หะ—?”
เสียงพูดของพาเทียซ์ที่ขาดหายไปกลางคันนั้นได้แต่ทำให้นากากะพริบตาปริบๆ มองเธอด้วยความงงงวย แต่ก็ดูเหมือนว่าพาเทียซ์จะเข้าใจผิดคิดว่าเขายังคงไม่ไว้วางใจในตัวเครื่องสื่อสารขนาดเล็กอยู่เธอจึงได้พูดยืนยันออกมาอีกครั้งหนึ่ง
“นายไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกน่า… มันไม่เป็น———-ตัวนายอย่างแน่นอน… แล้วอีกอย่างนึงถึงนายจะเห็นแบบนี้แต่เอา————–ไม่รู้สึกอะไรเลยซะด้วยซ้ำ… เพราะงั้นนายไม่จำเป็นต้อง—————ไปหรอก…”
พาเทียซ์ที่ยังคงไม่รู้ตัวว่าเสียงของเธอหายไปบางส่วนนั้นได้พูดอธิบายออกมาให้นากาฟังก่อนที่เธอจะหันไปพูดถามถึงสาเหตุที่นากาคิดจะเข้ามาในโลกแห่งจิตใต้สำนึกนี้ขึ้นมา
“ว่าแต่แล้วนี่———-อะไรถึงคิดจะเข้ามาที่—ล่ะ…?”
“อืม… เอาจริงๆ ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่ว่าฉันอยากจะขอบคุณเธอเกี่ยวกับเรื่องที่ผ่านมาเฉยๆ น่ะ เพราะถ้าเกิดไม่ได้เธอช่วยฝึกให้ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะสู้เนลเขาได้หรือเปล่าเหมือนกัน”
“เรื่องนี้ฉันบอกแล้วไม่ใช่———ไม่ต้องคิดอะไรมากน่ะ… เพราะว่ามันเป็นหนึ่งใน——-ของฉัน… แถมทั้งหมดที่นายทำได้มันก็—–ฉันอยู่แล้วด้วย”
“ง…งั้นหรอ”
นากาที่ยังพอจะจับใจความกับเสียงขาดๆ หายๆ ของพาเทียซ์ได้แต่เกาหัวของตัวเองโดยไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากทักเรื่องนี้ออกไปดีหรือไม่เพราะดูท่าทางแล้วว่าพาเทียซ์จะไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย
“—!?”
แต่ว่าทันใดนั้นเองนากาก็ถึงกับต้องสะดุ้งไปเมื่ออยู่ดีๆ พาเทียซ์ก็ได้เผยรอยยิ้มกว้างเหมือนกับที่พิเน๊ะทำเป็นประจำออกมาที่ดูแล้วไม่เหมาะกับภาพลักษณ์อันนิ่งเฉยและเฉื่อยชาของเธอเลยแม้แต่สักนิดเดียว
“แต่ถ้านายคิดอยากจะตอบแทน—ล่ะก็… เดี๋ยวเอาไว้หลังจาก—… —–เวลาฉันปิดการเชื่อม——พักเพื่อซ่อมแซม——เสียไปละกัน… แล้วหลังจากนั้น——————-เข้ามาน่ะ…”
“ถ—ถ้าเธอว่าอย่างงั้นฉันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
เสียงของพาเทียซ์ที่เริ่มจะขาดหายมากขึ้นเรื่อยๆ กับรอยยิ้มแปลกประหลาดผิดธรรมชาติของพาเทียซ์นั้นได้ทำให้นากาได้แต่พยักหน้าหงึกๆ กลับไปถึงแม้ว่าเขาจะแทบจับใจความอะไรไม่ได้เลยก็ตามที ส่วนทางด้านพาเทียซ์ที่ยังไม่รู้ตัวกับอาการผิดปกติของตัวเองนั้นก็ได้พยักหน้าตอบนากากลับมาด้วยความพึงพอใจ
“อื้ม… ถ้างั้นก็——–วี๊————————–”
“โอ๊ยๆๆๆ —!? หูฉัน!”
เสียงของพาเทียซ์ที่ขาดหายไปกลางคันและแทนที่ด้วยเสียงเสียดแหลมบาดแก้วหูนั้นทำให้นากาถึงกับต้องรีบยกมือขึ้นมาปิดหูของตัวเองในทันที แต่ถึงอย่างนั้นเสียงที่ว่ามันก็ไม่ได้เบาลงไปเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งพาเทียซ์รู้ตัวว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติและหยุดพูดลง เสียงเสียดแหลมที่ว่านั่นถึงได้เงียบสงบลงไป
“……”
“เป็นอะไรหรือเปล่าน่ะพาเทียซ์…? เสียงเมื่อกี้นี้มันดูไม่น่าจะปกติแล้วนะ”
“…….”
พาเทียซ์ที่ถูกนากาถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงได้อ้าปากทำท่าทางเหมือนกับว่ากำลังพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ว่าในคราวนี้ก็กลับไม่มีเสียงอะไรลอดผ่านริมฝีปากของเธอออกมาเลยแม้แต่น้อยจนทำให้พาเทียซ์ได้ตัดสินใจที่จะเรียกละอองแสงออกมาสร้างเป็นสมุดเรียนของนากาและยกมันขึ้นมาปิดบังใบหน้าส่วนล่างของเธอที่ยังคงยิ้มกว้างอยู่ด้วยรอยยิ้มแบบเดียวกับพิเน๊ะเอาไว้ ก่อนจะพลิกเปิดสมุดเรียนไปยังหน้ากระดาษหน้าหนึ่งที่มีข้อความอะไรบางอย่างถูกเขียนเอาไว้
‘ดูเหมือนว่าระบบเสียงกับหน่วยแสดงผลบางส่วนของฉันมันจะไหม้ไปแล้วล่ะ’
“ห—หะ? แล้วแบบนี้เธอจะเป็นอะไรหรือเปล่าล่ะนั่น!?”
ถึงแม้ว่านากาจะไม่เข้าใจว่าระบบเสียงกับหน่วยแสดงผลที่พาเทียซ์ต้องการจะสื่อถึงนั้นหมายถึงอะไรกันแน่ แต่คำว่าไหม้ไปแล้วของเธอนั้นก็ฟังดูท่าทางจะเป็นอะไรที่อันตรายพอตัวอยู่ ซึ่งท่าทางเป็นห่วงของนากานั้นก็ได้ทำให้พาเทียซ์จับหน้ากระดาษพลิกไปอีกหน้าหนึ่งเพื่อแสดงข้อความต่อไปให้นากาดู
‘ฉันควบคุมความเสียหายได้แล้ว เมื่อกี้นี้ฉันแค่ไม่นึกว่าความเสียหายมันจะลามเร็วขนาดนั้นก็เลยไม่ได้ลงมือทำอะไรน่ะ’
ถึงแม้ว่าพาเทียซ์จะไม่สามารถส่งเสียงพูดออกมาได้และร่างกายของเธอยังคงกะพริบหายไปๆ มาๆ อีกทั้งยังมีรอยยิ้มกว้างแบบเดียวกับพิเน๊ะประดับอยู่บนใบหน้า แต่ว่าแววตานิ่งเฉยเหมือนกับปกติของเธอที่ไม่มีท่าทีร้อนอกร้อนใจอะไรเลยนั้นก็ทำให้นากาได้แต่ยอมพยักหน้ารับคำของเธอที่ถูกเขียนเอาไว้ในสมุดเรียนแต่โดยดีและหันไปพูดสอบถามเรื่องอื่นดูแทน
“ง—งั้นหรอ… แล้วนี่—”
ซ่าาาาาาาาาาาาาาาา!!
แต่ว่าก่อนที่นากาจะได้เอ่ยปากถามอะไรขึ้นมานั้น อยู่ๆ เสียงของสายฝนที่โปรยปรายอยู่ด้านนอกก็ได้ดังก้องกันวานขึ้นมาอย่างกะทันหันราวกับพายุเข้าจนทำให้นากาต้องหันไปมองดูทางกระจกฝั่งสนามหญ้าด้วยความประหลาดใจ
“เหวอ—!?”
นากาที่หันไปมองดูสายฝนเบื้องนอกที่เหมือนจะตกหนักขึ้นอย่างกะทันหันได้แต่หลุดเสียงร้องด้วยความตกใจออกมา เมื่อเขาได้พบว่าสิ่งที่กระหน่ำตกลงมาในขณะนี้ไม่ใช่หยดน้ำธรรมดาๆ อีกต่อไป แต่ว่ามันกลับกลายเป็นหยดน้ำสีแดงเข้มที่กำลังย้อมทุกสิ่งทุกอย่างภายนอกห้องพยาบาลให้กลายเป็นสีแดงเลือด
“เดี๋ยวๆๆๆ เธอจะบอกว่าไอ้ฝนเลือดนั่นก็เป็นเรื่องปกติงั้นหรอพาเทียซ์!?”
ถึงแม้ว่าพาเทียซ์จะได้ยินเสียงร้องโวยวายของนากาเข้าไปแล้วแต่ว่าเธอก็กลับไม่มีท่าทีประหลาดใจอะไรเลยแม้แต่น้อยและเดินเข้าไปมองดูมันใกล้ๆ ก่อนจะโบกมือเรียกเอาละอองแสงจำนวนหนึ่งออกมาสร้างเป็นผ้าม่านสีดำคลุมทับหน้าต่างเอาไว้แล้วจึงหันกลับมาพลิกหน้ากระดาษของสมุดในมือไปยังหน้าต่อไป
‘อื้ม ก็แค่ผลข้างเคียงนิดหน่อยน่ะ’
“ง—งั้นหรอ… แต่ถ้าเป็นแบบนี้เดี๋ยวฉันปล่อยให้เธอ เอ่อ… รักษาตัวเองตามที่เธอบอกมาก่อนดีกว่ามั้งเนี่ย เธอคิดว่าจะต้องใช้เวลาประมาณเท่าไหร่ถึงจะหายดีล่ะ?”
‘อย่างเร็วก็น่าจะสักอาทิตย์นึง อย่างช้าก็อาจจะถึงหลักเดือน ขึ้นอยู่กับว่าระบบมันเสียหายไปขนาดไหน’
“อาจจะเป็นเดือนเลยงั้นหรอเนี่ย… นี่อาการของเธอหนักขนาดไหนกันแน่เนี่ยพาเทียซ์?”
‘ไม่ได้หนัก ฉันแค่ต้องระวังไม่ให้ระบบป้องกันของเอริกะมันลุกลามไปส่วนอื่นก็เลยอาจจะต้องใช้เวลานานเฉยๆ น่ะ ก็ต้องขอบคุณเอริกะเขาล่ะนะที่หาวิธีป้องกันได้เก่งขนาดนั้นนั่นแหล่ะ เอาเป็นว่าไว้ถ้าฉันจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยเมื่อไหร่เดี๋ยวนายจะได้รู้เอง’
ถึงแม้ว่านากาจะไม่ค่อยเข้าใจถึงความเสียหายที่พาเทียซ์พูดขึ้นมาสักเท่าไหร่นัก แต่ว่าด้วยท่าทีสบายๆ ของพาเทียซ์ที่ดูไม่เป็นกังวลอะไรเลยนั้นก็ได้ทำให้นากาค่อนข้างจะเบาใจขึ้นได้บ้างว่าพาเทียซ์คงจะไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงอย่างที่เธอพูดจริงๆ
“เข้าใจล่ะ แล้วในระหว่างที่เธอรักษาตัวเองอยู่ฉันก็คงจะเข้ามาในนี้ไม่ได้งั้นสินะ?”
‘อื้ม ฉันคิดว่าจะปิดทางเข้าเอาไว้ก่อนน่ะ เพราะว่านายคงจะไม่อยากเข้ามาเห็นฝนเลือดหรือว่าอะไรที่มันอาจจะสยองกว่านี้หรอกใช่มั้ยล่ะ’
“อืม… ถ้าเธอปิดทางเข้าเอาไว้แบบนั้นก็ดี ฉันจะได้ไม่เผลอหลุดเข้ามาในนี้แบบไม่ได้ตั้งใจน่ะ ถ้ายังไงก็เอาเป็นว่าฉันขอตัวเลยก็แล้วกัน โชคดีนะพาเทียซ์”
‘รับทราบ นายกลับไปนอนบนเตียงเหมือนเดิมได้เลย ฉันจะได้ส่งนายกลับออกไปให้ แล้วถ้าเป็นไปได้ก็อย่าลืมเรื่องของทิศทะวันตกที่ฉันเคยพูดเตือนไปล่ะ’
“ที่ว่าอย่าให้พวกฉันไปทางทิศตะวันตกงั้นสินะ…ถึงฉันจะไม่ได้คิดแล้วไม่น่าจะได้ไปที่ทะเลมรกตเร็วๆ นี้แต่ก็เข้าใจแล้วล่ะ”
นากาพยักหน้าตอบพาเทียซ์กลับไปเล็กน้อยและล้มตัวลงไปนอนบนเตียงพร้อมกับหลับตาลงเหมือนกับทุกครั้งที่เขาจะออกจากโลกแห่งจิตใต้สำนึกแห่งนี้ แต่ว่าเวลาก็ยังคงผ่านไปอีกสักพักหนึ่งโดยที่เสียงของสายฝนสีแดงที่กระหน่ำตกลงมาเบื้องนอกไม่ได้เบาลงเลยแม้แต่น้อย
ซ่าาาาาาาาาาาาาาาา!!
“….พาเทียซ์?”
ทั้งเศษซากความฝันที่พังทลาย…ทั้งเศษเสี้ยวแห่งช่วงเวลาอันสงบสุข… ทุกอย่างต่างโดนกาลเวลาพัดเลือนหายไป…ราวกับภาพลวงตาที่ไม่เคยมีอยู่จริง…
“—-!?”
ทันใดนั้นเองก็ได้มีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งที่ไม่ใช่เสียงของพาเทียซ์แต่กลับฟังดูคุ้นหูของนากาอย่างน่าประหลาดได้ดังแว่วๆ ขึ้นมาให้นากาได้ยิน ซึ่งนากาที่ได้ยินเสียงที่ดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบานั้นก็สามารถจดจำได้ในทันทีว่ามันคือเสียงของหญิงสาวที่ดังขึ้นมาในตอนท้ายที่สุดเมื่อตอนที่เขาได้รับดาบเฟเบิ้ล ดรีมเมอร์มาจากอลิซนั่นเอง
“เธอ—!?”
นากาที่รู้สึกโหยหาเจ้าของเสียงอย่างน่าประหลาดได้รีบลืมตาและผุดลุกขึ้นมาเพื่อมองหาตัวของเจ้าของเสียงในทันที แต่นากาก็พบว่าเขาไม่สามารถขยับร่างกายของเขาได้จนทำให้เขาได้แต่พยายามกลอกตาไปทางข้างเตียงฝั่งที่เสียงเมื่อสักครู่ดังขึ้นมาแทนและได้พบเข้ากับพาเทียซ์ที่ยังคงถือสมุดจดปิดใบหน้าของเธอไว้ครึ่งหนึ่งที่เดินมายืนมองเขาอยู่ที่ข้างเตียงอยู่อย่างเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไรออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
ซึ่งท่าทีที่เงียบงันผิดปกติของพาเทียซ์ที่ปิดซ่อนใบหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่งกับบรรยากาศแปลกประหลาดที่ไม่สามารถอธิบายได้ถูกรวมถึงฝนเลือดที่ตกกระหน่ำอยู่ด้านนอกห้องพยาบาลนั้นก็ได้เริ่มที่จะทำให้นาการู้สึกขวัญผวาขึ้นมาเขาจึงได้แต่พยายามเอ่ยปากถามพาเทียซ์ที่ยังคงยืนเงียบจ้องมองเขาอยู่ที่ข้างเตียงขึ้นมา
“ม—มีอะไรหรือเปล่าน่ะพาเทียซ์—”
เพล้ง—!!
ในทันทีที่ชื่อของพาเทียซ์หลุดออกมาจากของนากานั้น อยู่ๆ คริสตัลวิซที่อยู่ในหลอดไฟของห้องพยาบาลก็ได้แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ จนทำให้ทั้งห้องตกอยู่ภายใต้แสงสีแดงสลัวๆ ที่ลอดผ่านผ้าม่านสีดำเข้ามาภายในก่อนที่ทันใดนั้นเองเสียงของหญิงสาวคนเดิมจะดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ทั้งตัวตนของฉัน…ทั้งจิตใจของฉัน… ถ้าเกิดทุกสิ่งและทุกอย่างกลับไปเหมือนตอนนั้นไม่ได้แล้วล่ะก็…ถ้าอย่างงั้น…
ในขณะที่เสียงของหญิงสาวคนนั้นกำลังดังก้องกังวานขึ้นมาอย่างแผ่วเบาไปทั่วทั้งโลกที่เปรียบเสมือนความฝันของนากาอยู่นั้น อยู่ๆ ร่างของพาเทียซ์ที่ยืนนิ่งมาสักพักหนึ่งแล้วก็ได้โน้มตัวลงมาจ้องมองนากาใกล้ๆ พร้อมกับลดสมุดจดที่เธอใช้ปิดบังใบหน้าครึ่งล่างลงเผยให้เห็นโครงหน้าของเธอที่กำลังหลอมละลายหยดย้อยลงมาราวกับหุ่นขี้ผึ้งที่ถูกเปลวไฟเผาลน
“—!?”
ทั้งความทรงจำ…ทั้งคำสัญญาของพวกเรา… จงทำลายพวกมันทั้งหมดนั่นทิ้งแล้วอย่าเหลียวมองกลับมา… ถ้าไม่อย่างนั้น…
ตุ๊บ—
เสียงของหญิงสาวดังก้องกังวานขึ้นมาอีกครั้งพร้อมๆ กับที่ลูกตาข้างที่เป็นสีแดงของพาเทียซ์ได้หลุดออกมาจากเบ้าหน้าที่หลอมละลายและร่วงหล่นลงมาที่ข้างหัวของนากาและมีของเหลวสีแดงค่อยๆ ไหลหยดตกลงมาโดนใบหน้าของนากาจากบริเวณปากและเบ้าตาของพาเทียซ์ที่หลอมละลายจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม
“อ—!!?”
แต่ว่ายังไม่ทันที่นากาจะได้ส่งเสียงกรีดร้องออกมาอยู่ๆ ก็มือสีแดงที่ไร้ซึ่งผิวหนังและหักงอจนผิดรูปทรงจำนวนมากพุ่งทะลักออกมาจากบริเวณใต้เตียงและพุ่งเข้ามาบีบรัดตัวของนากาจนไม่เหลือที่ว่างก่อนที่มันจะกระชากร่างของนากาอย่างรุนแรงจนทะลุพื้นเตียงลงไปสู่ความมืดมิดไร้ก้นบึ้งเบื้องล่าง
“อ๊ากกกกกกก—!?”
“—-!?”
นากาที่ถูกกระชากด้วยอะไรบางอย่างจนจมลงไปสู่ความมืดมิดนั้นได้หลุดเสียงร้องออกมาเสียงดังและรีบผุดลุกขึ้นมานั่งและคว้าเอาดาบเฟเบิ้ล ดรีมเมอร์ที่ถูกวางทิ้งไว้ข้างๆ ขึ้นมาถือเอาไว้พร้อมกับหันไปมองรอบๆ ด้วยความหวาดผวาในทันที
ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาได้พบว่าเขายังคงนอนอยู่ในห้องพยาบาลของโรงเรียนรีมินัสโดยไร้ซึ่งสายฝนสีแดงอีกทั้งหลอดไฟในห้องพยาบาลเองก็ยังคงอยู่ปกติดีบ่งบอกว่าเขาได้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงแล้วนั่นเอง
ครืดดดดด—
“—-!?”
“ป…เป็นอะไรหรือเปล่า? ให้ฉันไปตามอาจารย์อารอนให้มั้ย?”
และในขณะที่นากากำลังโล่งใจอยู่นั้น อยู่ๆ ผ้าม่านที่อารอนนำมาล้อมเตียงคนป่วยเอาไว้ก็ได้ถูกกระชากเปิดออกโดยเด็กสาวผมดำหูแมวนามว่าซึบากิที่สะดุ้งตกใจกับเสียงกรีดร้องดังลั่นของนากาจนหางตั้ง ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาต้องรีบวางดาบของเขากลับไปที่เดิมและพูดตอบกลับไปในทันที
“ม—ไม่เป็นไร! พอดีแค่ฝันร้ายนิดหน่อยน่ะ…”
“แน่ใจนะว่านายไม่เป็นอะไรน่ะ…? เมื่อกี้นี้คนที่ชื่อว่าคุณเอริกะเขาบอกว่าถ้านายรู้สึกว่ามีอาการอะไรแปลกๆ ก็ให้รีบไปบอกเขาด้วยน่ะ”
“อ—อื้ม ก็แค่ฝันร้ายเฉยๆ น่ะ…”
นากาที่รู้ดีว่าต่อให้เขาพยายามบอกอธิบายเรื่องของโลกในความฝันกับหญิงสาวที่ชื่อว่าพาเทียซ์ให้ใครฟังก็คงจะไม่มีใครเข้าใจและคิดว่าเขาฝันเฟื่องไปเองได้แต่ต้องพูดบอกปัดอีกฝ่ายไป แต่ว่าทันใดนั้นเองเขาก็ได้แต่ต้องพูดถามซึบากิขึ้นมาด้วยความสงสัยกับชื่อที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมา
“เดี๋ยวนะ— เมื่อกี้นี้เธอบอกว่าเอริกะหรอ?
“อื้ม… เมื่อกี้นี้คุณเอริกะเขารีบวิ่งมาติดต่อขอพบนายไม่นานหลังจากที่นายสอบเสร็จน่ะ แต่ว่าพอเขาเห็นนายหลับอยู่ก็เลยไปคุยอะไรกับอาจารย์อารอนอยู่ข้างเตียงนายสักพักแล้วก็รีบวิ่งกลับออกไปน่ะ”
“เอริกะมางั้นหรอเนี่ย ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลยแฮะ”
“ก็น่าจะเพราะว่านายหลับเป็นตายอยู่ล่ะมั้ง… แต่ฉันเองก็ไม่รู้เรื่องอะไรสักเท่าไหร่เหมือนกันเพราะว่าตอนที่ฉันมาถึงคุณเอริกะเขาก็กำลังจะกลับพอดีน่ะ”
“งั้นเองหรอ…ฮึบ—”
นากาพยักหน้าตอบซึบากิกลับไปพร้อมกับดันตัวเองลุกขึ้นมามองไปรอบๆ และได้พบว่าที่เตียงข้างๆ กันนั้นมีผ้าม่านคลุมล้อมเอาไว้ ซึ่งนั่นก็คงจะเป็นเตียงของเนลที่โดนอารอนกักตัวเอาไว้เช่นเดียวกันนั่นเอง
“ว่าแต่แล้วนี่เอริกะเขามาทำอะไรที่นี่น่ะเธอพอจะรู้บ้างมั้ย? เพราะเห็นบอกว่ามายืนคุยกับอารอนเขาที่ข้างเตียงฉันเลยนี่”
“ไม่รู้สิ… ตอนที่ฉันเดินเข้ามาในห้องฉันได้ยินเขาคุยอะไรกันประมาณว่าเครื่องสื่อสารหรือว่าอะไรสักอย่างเนี่ยแหล่ะ แต่พอคุณเอริกะเขาเห็นฉันเดินเข้ามา เขาก็รีบคว้าอะไรสักอย่างมาถือเอาไว้แล้วก็รีบขอตัวกลับไปเลยน่ะ”
“เครื่องสื่อสารงั้นหรอ?”
นากาที่ได้ยินคำพูดที่คุ้นหูมาจากซึบากิได้แกล้งทำเป็นยกมือขึ้นมาเกาหัวเพื่อลองสัมผัสกับหูข้างที่เขาสวมใส่เครื่องสื่อสารขนาดเล็กเอาไว้ในการสอบเมื่อสักครู่ดูและได้พบว่าเจ้าเครื่องสื่อสารขนาดเล็กที่ว่านั่นได้หายไปจากหูของเขาแล้ว ซึ่งนั่นมันก็คงจะเป็นของที่เอริกะรีบคว้ามาถือเอาไว้ก่อนจะรีบกลับไปนั่นเอง
“หายไปแล้วจริงๆ ด้วยแฮะ…”
“เอ๋ะ? อะไรหายหรอ? ถ้าเกิดนายทำอะไรตกเมื่อตอนสอบล่ะก็ตอนนี้น่าจะยังอยู่ที่สนามหญ้าอยู่นะ…”
“อ่ะ—- ไม่มีอะไรหรอก! ว่าแต่นี่อาจารย์อารอนกับคาร์เทียร์เขาหายไปไหนน่ะ ไม่ใช่ว่าปกติแล้วสองคนนั้นเขาต้องประจำอยู่ในห้องพยาบาลนี่หรอ?”
นากาที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าเขาหลุดปากพูดขึ้นมาได้รีบเอ่ยปากแก้ตัวและรีบพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาในทันที แต่ว่าสิ่งที่เขาเลือกขึ้นมาเพื่อพูดเปลี่ยนเรื่องนั้นก็กลับทำให้แววตานิ่งเฉยของซึบากิฉายแววดุร้ายขึ้นมาในทันที
“ถ้าเป็นสองคนนั้นล่ะป่านนี้ก็คงจะนั่งกินข้าวเที่ยงกันอยู่ล่ะมั้ง…”
“เอ๋ะ? นี่เที่ยงแล้วงั้นหรอ ว่าแต่ไหงเธอถึงมาอยู่ในห้องพยาบาลแบบนี้แล้วไม่ไปกินข้าวกับสองคนนั้นเขาล่ะซึบากิ?”
“พอดีตอนเรียนอยู่ฉันเผลอไปหกล้มจนได้แผลก็เลยต้องมาทำแผลที่ห้องพยาบาลน่ะ แล้วพออาจารย์อารอนทำแผลให้เสร็จแล้วเขาก็สั่งว่าให้ฉันนั่งพักไปก่อนอย่าเพิ่งเดินไปไหนมาไ—- เงียบไปเลยนะเมย์!!”
ในขณะที่ซึบากิกำลังพูดตอบนากากลับมาอยู่นั้น อยู่ดีๆ ก็ได้หันขวับไปหาดาบขนาดใหญ่ที่มีโซ่พันอยู่ของเธอพร้อมกับตวาดขึ้นมาเสียงดังจนถึงกับทำให้นากาสะดุ้งไป
“เอ่อ… เมย์หรอ?”
“ป—เปล่านี่! ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหล่ะ!!”
“อ—อ่า… ถ้าเธอว่างั้นล่ะก็นะ”
ครืดดดดดดดด
“กลับมาแล้ว… / กลับมาแล้วค่ะ~”
ในขณะที่นากากำลังกะพริบตาปริบๆ เออออตามซึบากิไปอยู่นั้นประตูห้องพยาบาลทางฝั่งสนามหญ้าก็ได้ถูกเลื่อนเปิดออกพร้อมๆ กับที่มีเสียงของอารอนและคาร์เทียร์ดังขึ้นมา ซึ่งนั่นก็ทำให้ซึบากิรีบหันขวับไปทางนั้นและเอ่ยปากทักทายอารอนขึ้นมาในทันที
“อ่ะ— กลับมาแล้วหรอคะอาจารย์!”
“อื้ม… ยังนั่งอยู่ที่เดิมสินะ… ไหนเดี๋ยวขอฉันตรวจดูแผลของเธออีกรอบหน่อยละกัน… ส่วนนายนั่งรออยู่บนเตียงนั่นไปก่อนอย่าเพิ่งลุกขึ้นมาล่ะนากา…”
อารอนที่เห็นว่าซึบากิยังคงนั่งรอยู่ในห้องพยาบาลตามคำสั่งของเขาได้พยักหน้ากลับไปให้เธอด้วยความพึงพอใจและหันมาพูดสั่งนากาที่ฟื้นขึ้นมาแล้วเล็กน้อยก่อนที่เขาจะก้มลงไปแกะผ้าปิดแผลที่หัวเขาของซึบากิออกมาเพื่อตรวจดูสภาพแผลภายในโดยที่นากาได้แต่นิ่งเงียบมองดูซึบากิที่ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นสาวน้อยอารมณ์ดีที่ส่ายหางไปมาไปแล้วแตกต่างจากท่าทางนิ่งเฉยของเธอในตอนที่อารอนยังไม่กลับอย่างสิ้นเชิง
“ไม่น่าจะต้องกังวลอะไรหรอก… เดี๋ยวฉันล้างแผลแล้วก็ทายาให้อีกรอบก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะ…”
“ง…งั้นหรอคะ”
“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันขอไปหยิบอุปกร—”
“หนูไปหยิบมาให้แล้วค่ะ! เดี๋ยวหนูจัดการทำแผลให้ซึบากิเอง พี่อารอนไปดูอาการของพี่นากาเขาเถอะค่ะ!”
“พ—พี่อารอนงั้นหรอ—!?”
คำพูดของคาร์เทียร์ที่เรียกอารอนด้วยความสนิทสนมเพราะว่าในห้องนี้มีแต่คนรู้จักของเธอนั้นได้ทำให้ซึบากิถึงกับหันมามองเธอด้วยแววตาปานจะกินเลือดกินเนื้อพร้อมพองหางแมวของเธอจนฟูในทันที ส่วนทางด้านอารอนที่มีคนอาสาจัดการแผลของซึบากิให้แล้วก็ได้รีบลุกขึ้นเพื่อเดินไปตรวจดูอาการของนากาในทันที
“ถ้างั้นก็ฝากเธอจัดการแผลของซึบากิให้หน่อยละกัน… แล้วก็อย่าลืมว่าเวลาอยู่ในโรงเรียนแบบนี้ต้องเรียกฉันว่าอาจารย์ด้วยสิ… ในห้องนี้ยังมีเนลอีกคนนอนอยู่ตรงนั้นอยู่เลยนะ…”
“ได้เลยค่ะอาจารย์อารอน! ไหนมาให้ฉันดูแผลหน่อยสิ~ ซึ~บา~กิ~จัง~”
คาร์เทียร์พูดตอบอารอนกลับไปด้วยความอารมณ์ดีก่อนที่เธอจะหันกลับไปมองซึบากิด้วยแววตาแพรวพราวและดึงเอาผ้าม่านมาปิดล้อมเตียงที่ซึบากินั่งอยู่เอาไว้ก่อนที่จะมีเสียงของเด็กสาวทั้งสองคนที่เหมือนจะกำลังพูดเถียงอะไรกันสักอย่างอยู่ดังขึ้นมาเบาๆ
“ไหน… อาการเป็นยังไงบ้างล่ะนากา… มีอาการปวดหัวหรือว่าอะไรบ้างมั้ย?”
“เอ่อ… ก็ไม่มีอาการอะไรเป็นพิเศษนะ จะมีก็แค่เริ่มหิวแล้วนั่นล่ะมั้ง นี่กี่โมงแล้วเนี่ย?”
“เพิ่งจะเริ่มพักกลางวันมาได้สักสิบนาทีล่ะมั้ง… นายหลับไปประมาณสามชั่วโมงหลังจากที่สอบเสร็จน่ะ…”
“งั้นหรอ… ว่าแต่ตะกี้นี้เห็นซึบากิเขาบอกว่าเอริกะรีบร้อนมาหาฉันงั้นหรอ? มีเรื่องอะไรสำคัญหรือเปล่าเอริกะเขาถึงได้มาหาฉันถึงที่โรงเรียนแบบนี้น่ะ?”
“นั่นสินะ… ยื่นแขนมานี่มา…”
อารอนพูดตอบคำถามนากากลับไปสั้นๆ ก่อนที่เขาจะหยิบเอากระปุกยาที่ถูกวางไว้ข้างๆ เตียงมาเปิดออกและป้ายยาข้างในนั้นไปที่แผลไหม้เล็กๆ บนแขนของนากาที่เกิดจากกระสุนวิซของเนลแล้วจึงพูดอธิบายออกมาให้เขาฟัง
“เห็นเอริกะบอกว่าเครื่องสื่อสารที่เธอให้นายเอาไว้มันมีปัญหาอะไรนิดหน่อยก็เลยต้องรีบเอากลับไปซ่อมน่ะ…”
“งั้นหรอ…”
“ถ้าเกิดว่านายสงสัยอะไรล่ะก็ลองไปถามเจ้าตัวเขาดูหลังจากเลิกเรียนสิ… เพราะว่าฉันเองก็ไม่ได้รู้เรื่องของเล่นประหลาดๆ ของเอริกะเขามากสักเท่าไหร่น่ะ…”
นากาที่ได้ยินข้อเสนอของอารอนได้แต่นิ่งใช้ความคิดไปชั่วครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะส่ายหน้าบอกปฏิเสธกลับไป
“ไม่ดีกว่า… เอริกะเขาน่าจะยุ่งอยู่ล่ะมั้งถึงได้รีบกลับไปก่อนที่ฉันจะตื่นแบบนั้นน่ะ แล้วเอาจริงๆ ฉันก็ไม่อยากจะรบกวนเอริกะไปมากกว่านี้สักเท่าไหร่แล้วด้วยน่ะ”
“นั่นสินะ… รายนั้นน่ะถ้าเขาคิดจะบอกอะไรเดี๋ยวก็น่าจะเอ่ยปากออกมาเอง… ส่วนเรื่องไหนที่ไม่คิดจะบอกก็จะปิดเงียบเก็บเอาไว้คนเดียวแบบนั้นนั่นแหล่ะ… เอาล่ะ… น่าจะใกล้ได้เวลาแล้วล่ะมั้ง… เดี๋ยวขอฉันไปเตรียมตัวก่อนสักหน่อยนึง…”
“เวลา…? อ้อ…”
นากาที่ได้ยินคำพูดของอารอนได้ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะคิดขึ้นมาได้ว่านายแพทย์หนุ่มหมายถึงเวลาอะไรเมื่อเขาได้เห็นอารอนเดินไปดักรออยู่ที่ข้างประตูของห้องพยาบาลเพื่อเตรียมตัวต้อนรับผู้มาเยือนที่น่าจะมาถึงในอีกไม่ช้า
ครืดดดดดดด
“เอ๋ะ—พี่นากาฟื้นแล้ว!! บาดเจ็บตรงไหนหรือมั้ยอ่ะพี่นากา!? ปวดหัวหรือเปล่า? ปวดท้องมั้ย? รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าอ่ะ—”
โป๊ก!