บทที่ 69 ดาบปีศาจ

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 69 : ดาบปีศาจ

พรึ่บ…

หลินเจี๋ยเปิดรายชื่อสมาชิกอย่างเกียจคร้านเพื่อเช็กบัญชีของตน

หากมีหนังสือเช่าเล่มไหนใกล้ถึงเวลาคืน เขาจะโทรหาลูกค้าเพื่อเตือนความจำ หากหนังสือเลยกำหนดคืน เขาจะมาดูว่ามีปัญหาที่หนังสือหรือที่คนกันแน่

หากปัญหาอยู่ที่หนังสือ เขาจะแก้ไขตามสถานการณ์ เช่นการตกลงค่าชดเชย แต่ถ้ามันไม่เป็นแบบนั้นละก็ เขาจะไปเคาะประตูหาลูกค้าเพื่อขอค่าชดเชยถึงที่

อย่างไรเสีย หลินเจี๋ยเองก็เป็นคนสบาย ๆ และค่อนข้างตั้งตารอการพักแรมข้างนอกอยู่พอสมควร

แต่น่าเสียดาย จนถึงตอนนี้ยังไม่มีปัญหาลูกค้านิสัยเสียเลยสักครั้ง กลับกันเขาก็ได้ลูกค้าดี ๆ อย่างเฒ่าไวลด์หรือโดริสที่ถึงขั้นนำของขวัญพิเศษมาให้กับมือ

หากปัญหาอยู่ที่คน หลินเจี๋ยเองก็ยอมเสียแรงเพื่อช่วยเหลือลูกค้าเช่นกัน แต่ยังต้องได้หนังสือคืนอยู่

เมื่อมองเช่นนี้แล้ว การเปิดร้านหนังสือก็ไม่ได้ง่ายดายอะไรขนาดนั้น

“อืม…เฒ่าไวลด์คืนหนังสือหมดแล้ว น่าคิดแฮะว่าจะกลับมายืมหนังสืออีกรึเปล่า หวังว่าเขาจะจัดการเรื่องชาร์ลส์ได้ด้วยดีนะ…”

“หนังสือสองเล่มที่จี้จือซู่ยืมไปใกล้ถึงกำหนดคืนละ แต่ไม่น่าจะมีความเสี่ยงอะไรที่คุณหนูคนนั้นจะไม่คืนซะด้วยสิ ต่อให้เธอไม่คืนจริง ๆ ก็คงชดเชยให้อยู่ดี”

“เมลิสซ่า…สงสัยจังว่าทำหนังสือเก็งข้อสอบไปเท่าไรแล้ว หวังว่าจะพัฒนาขึ้นแล้วไม่ไปไล่ท้าคนแปลกหน้ามาแข่งงัดข้ออีก ควรรู้สักทีว่าความรู้ต่างหากคือพลังที่แท้จริงน่ะ”

“พูดถึงเมลิสซ่าแล้ว…เหมือนว่ากำหนดคืนหนังสือของโจเซฟก็ใกล้เข้ามาแล้วนี่”

หลินเจี๋ยเปิดไปหน้าก่อนหน้าแล้วเห็นชื่อโจเซฟเขียนเอาไว้

ที่อยู่ที่เขาให้ไว้ไม่เหมือนกับของเมลิสซ่า แต่หลินเจี๋ยรู้จากนางแล้วว่าพ่อของเจ้าตัวมักจะยุ่งอยู่กับงานไม่ค่อยกลับบ้าน

ดังนั้นที่อยู่ที่โจเซฟเขียนลงไปอาจเป็นที่ทำงานของเขาก็ได้

ในเมื่อโจเซฟเป็นทหารผ่านศึก หลินเจี๋ยเลยไม่ค่อยห่วงว่าจะไม่ได้หนังสือคืน ต่อให้เขาไม่สามารถจัดการความสัมพันธ์กับลูกสาวได้ แต่ก็มีโอกาสน้อยที่โจเซฟจะหักน้ำใจกันกับแค่การเช่าหนังสือ

ก่อนหน้านี้หลินเจี๋ยได้ใบ้โจเซฟไปแล้วว่าเขาสามารถลอง ‘คุยเปิดอก’ กับอาจารย์ที่ปรึกษาจิตวิทยาหลินเพื่อเล่าปัญหาและความกังวลให้เขาได้

ทว่าต่อให้โจเซฟจะรู้สึกสนใจ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่เชื่อใจหลินเจี๋ยในทันทีแล้วบอกว่าขอเก็บไปคิดก่อน นั่นคงเป็นความระแวดระวังซึ่งฝังอยู่ในสัญชาตญาณ

นี่เป็นเรื่องปกติ เพราะมันแทบไม่มีทางเลยที่จะเชื่อใจคนคนหนึ่งที่เพิ่งเจอแล้วคุยด้วยไม่ถึงวัน

ทว่าหลินเจี๋ยก็ปลูกเมล็ดพันธุ์ไว้ในหัวของโจเซฟและคาดหวังว่าเมล็ดพันธุ์นี้จะทำให้เขากลายเป็นลูกค้าขาประจำ

ไม่ว่าเมล็ดนี้จะเบ่งบานหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับดวง

“แต่ดูจากที่เขาชอบเจ้าชายน้อยตอนนั้น โอกาสได้คืนก็สูงอยู่นา แถมมีเมลิสซ่าอีก เจ้าเด็กเหลือขอนั่นหลอกงะ…ไม่ใช่ ๆ โน้มน้าวใจให้ควักเงินง่ายดี”

“เด็กตื๊อให้ผู้ใหญ่ซื้อก็ถือว่าเป็นกลยุทธ์การค้าชั้นดีเหมือนกันนี่ หึ”

หลินเจี๋ยยิ้มพลางคิดไปถึงการปลูกฝังความคิดเข้าหัวคนทั้งตระกูล

เขาพลิกไปอีกหน้า กวาดตาอ่านหน้านั้นแล้วพลิกกลับไป

ความจริงเขาพลิกหนังสือบาง ๆ นี่มาหลายรอบแล้ว สมุดลงทะเบียนนี่ถูกเขาเปิดผ่านมานับครั้งไม่ถ้วนตอนเขาไม่มีลูกค้าและตอนที่ไม่มีอารมณ์อยากอ่านอะไรเท่าไร

เขามักจะจินตนาการถึงสักวันที่จะมีสมุดลงทะเบียนกองเป็นตั้ง ๆ มีลูกค้าเข้ามาคุยเรื่องชีวิตและให้เขาเยียวยาอย่างไม่ขาดสาย

น่าเสียดายที่ฝันกลางวันนี่มักจะเกิดขึ้นระหว่างช่วงเวลาอันเงียบเหงา

ลูกค้าคนล่าสุดคือพนักงานออฟฟิศสุดแซ่บพร้อมเรือนผมหยักศกสีเงินยวงที่มายืมมองเจ้าจากไป ซึ่งนั่นก็ผ่านมาสามวันแล้ว

ก่อนหน้านี้ ร้านหนังสือสามารถอยู่ได้เป็นเดือนโดยไร้ซึ่งลูกค้า หลินเจี๋ยจึงคุ้นเคยกับมัน

ทว่าการมีลูกค้าเข้ามาถี่ ๆ เมื่อไม่นานมานี้สร้างความแตกต่างออกไป หลินเจี๋ยตอนนี้จะแอบรู้สึกโดดเดี่ยวเล็กน้อยหากไม่มีลูกค้ามาคุยด้วยหลังผ่านไปสักระยะหนึ่ง

กริ๊ง

เสียงกระดิ่งบนประตูหน้าร้านดังขึ้น

หลินเจี๋ยหันไปมองทันที และรู้สึกประหลาดใจระคนยินดีเมื่อเห็นร่างกายอันใหญ่โตและล่ำบึ้กพร้อมผมสีขาวเพราะกาลเวลา

ชายแก่โจเซฟเปิดประตูแล้วเดินเข้ามา

นี่ก็ผ่านไปเกือบหนึ่งเดือนแล้วที่หลินเจี๋ยได้เห็นเขาครั้งล่าสุด โจเซฟยังคงน่าเกรงขามเหมือนเคย รอยยับบนเสื้อสูทรัดกล้ามเนื้อพร้อมใบหน้าถมึงทึงมอบกลิ่นอายคล้ายกับสิงโตอันดุร้ายซึ่งทำให้คนหวั่นเกรงได้อย่างง่ายดาย

“โจเซฟ! ผมกำลังคิดอยู่เลยครับว่ามันใกล้ถึงกำหนดคืนหนังสือของคุณแล้ว” หลินเจี๋ยเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ในตอนนี้ ความสนใจของเขาจดจ่ออยู่กับวัตถุที่ผูกไว้บนหลังของโจเซฟ

แม้ว่าแสงในร้านหนังสือจะสลัว แต่การมีอยู่ของวัตถุเปล่งประกายนั่นก็ไม่อาจถูกเพิกเฉยเมื่ออยู่ในความมืด

มันไม่ใช่ภาพลวงตา หลินเจี๋ยสังเกตได้ว่าสิ่งที่โจเซฟถือมานั้นยาว มีรูปร่างประหลาดและบางส่วนถูกผ้าพันเอาไว้

เมื่อโจเซฟเดินมาถึงเคาน์เตอร์ แสงไฟสีนวลก็เผยให้เห็นวัตถุนั้นในที่สุด

สิ่งที่เปล่งประกายนั้นคือเครื่องประดับหล่อด้วยทองคำ สิ่งที่ฝังอยู่คืออัญมณีดูหรูหราโอ่อ่า และยังมีลวดลายเถาวัลย์แบบในอดีตสลักเอาไว้

‘ดาบเหรอ?’

หลินเจี๋ยเดาได้ในทันที

ส่วนที่ประกายแสงนั้นเป็นด้ามดาบทองคำชัดเจน

ส่วนความยาวและวิธีที่โจเซฟนำมันมาบนหลังยิ่งยืนยันการคาดเดาของหลินเจี๋ยขึ้นไปอีก

‘หรือว่า…เขาเองก็เรียนรู้จากเฒ่าไวลด์แล้วให้ ‘ของขวัญพิเศษ’ กับฉันแล้วเรอะ?’

แค่ด้ามจับอย่างเดียวก็ทำให้หลินเจี๋ยรู้สึกร่ำรวยขึ้นทันตาเห็น เขารีบนั่งหลังเหยียดตรงและมองตรงไปยังโจเซฟทันที

โจเซฟวางหนังสือลงบนโต๊ะและดันไปข้างหน้า “ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจครับ ผมได้รับประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้เยอะเลยทีเดียว”

โจเซฟเห็นหนังสือลงทะเบียนที่เปิดทิ้งไว้บนเคาน์เตอร์และพบว่ามันอยู่ในหน้าชื่อเขา จึงนั่งลงพร้อมกล่าว “ดูเหมือนว่าคุณกำลังรอผมมาเนิ่นนานเหลือเกิน”

“มันก็ไม่ได้นานขนาดนั้นหรอกครับ” หลินเจี๋ยว่ากลั้วหัวเราะ เขาพูดออกไปไม่ได้หรอกว่าตนคาดเดาเวลาที่โจเซฟจะมาคืนหนังสือเอาไว้ และกำลังคิดว่าควรจะขอค่าชดเชยอย่างไรดีในกรณีที่เขาไม่คืน

ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบเจ้าชายน้อยและพลิกหน้าหนังสือแบบผ่าน ๆ หลังจากยืนยันว่าหนังสือยังคงอยู่ในสภาพดีแล้ว เขาก็ทำการระบุลงไปในสมุดลงทะเบียนว่าได้รับคืนเรียบร้อย

หลังจากวางปากกาลง เขาก็เอ่ยต่อด้วยรอยยิ้ม “คุณดูดีขึ้นนะครับ ดูเหมือนว่าหนังสือเล่มนี้ได้ช่วยคุณในช่วงที่ผ่านมา”

โจเซฟพยักหน้าพร้อมถอนหายใจ “มันช่วยผมลดความเจ็บปวดลงมาก แถมยังทำให้ผมผ่อนคลายแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมเป็นหนี้บุญคุณคุณจริง ๆ ครับ”

“ไม่เป็นไรเลยครับ การช่วยแก้ปัญหาของลูกค้าถือเป็นความสุขที่สุดของผมแล้ว”

PTSD ไม่ใช่สิ่งที่จะรักษาได้ง่าย ๆ แต่ในเมื่อนิทานเด็กช่วยให้เขาผ่อนคลายลง นี่ก็ถือเป็นยาดีสุดวิเศษสำหรับโจเซฟแล้ว

การได้ช่วยนำความโล่งใจมาให้ลูกค้าซึ่งถูกโรคภัยทรมานทำให้หลินเจี๋ยเบิกบานนัก

รอยยิ้มการค้าแย้มกว้างขึ้นไปอีก นี่ก็ถึงเวลาขายคำปรึกษาทางจิตวิทยาแล้วสิ “อ๊ะ จริงด้วยสิครับ คุณได้คิดถึงสิ่งที่ผมพูดไว้ก่อนหน้านี้แล้วรึยังครับ”

โจเซฟสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้ววางวัตถุที่พาดหลังลง

ปัง!

วัตถุนั้นกระแทกลงบนโต๊ะ และผ้าที่พันไว้ก็หลุดออก เผยให้เห็นมันชัดเจน

เป็นดาบยาวจริง ๆ

ด้ามดาบทองคำถูกประดับประดาด้วยคริสตัลชิ้นเล็กชิ้นน้อย และฝักดาบสีขาวดูหรูหรามากพิธีพุ่งเข้ามาในครรลองสายตาของหลินเจี๋ย

นี่มันงานศิลปะอันวิจิตร

“ผมคิดมาแล้วครับ” โจเซฟกล่าว “นี่แหละคือการตัดสินใจของผม”