บทที่ 93 นี่คือต้นตอของความภาคภูมิใจสินะ!

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 93 นี่คือต้นตอของความภาคภูมิใจสินะ!

บทที่ 93 นี่คือต้นตอของความภาคภูมิใจสินะ!

“ท่านพ่อลืมไปแล้วหรือว่าท่านบาดเจ็บอยู่น่ะเพคะ ท่านพ่อ~ เหตุใดท่านไม่ใส่ใจร่างกายของตนบ้างเลย…”  

เสียงพร่ำบ่นดังขึ้นข้างหูของหนานกงสือเยวียนครั้งแล้วครั้งเล่า นิ้วเรียวยาวจึงหยุดมันด้วยการบีบแก้มเจ้าก้อนแป้งจนปากน้อย ๆ ยื่นออกมา

“ข้ารู้แล้ว” 

เขาจึงจำต้องวางพู่กันในมือลงอย่างช่วยไม่ได้

“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้าควรทำอย่างไรกับฎีกาเหล่านี้ดี?”  

เขาชี้ไปที่กองฎีกาพลางมองหน้าคนตัวเล็กเหมือนรอคอยคำตอบ

เสี่ยวเป่าเหลียวซ้ายแลขวา “นำไปให้พี่ใหญ่หรือไม่ก็พี่สาม!”  

ในเวลาเช่นนี้ เสี่ยวเป่าเอาแต่เป็นห่วงเป็นใยท่านพ่อจนไม่หลงเหลือความเห็นใจที่ควรมีต่อพี่ชายแล้ว

หนานกงสือเยวียนยกยิ้มมุมปากทั้งที่ยังไม่ละสายตาไปจากนาง “ไม่คิดว่ามันเป็นโชคร้ายของพี่ชายเจ้าหรือ?” 

 

เสี่ยวเป่าคว้าแขนกำยำมากอดไว้พลางออดอ้อน

“ท่านพ่อบาดเจ็บอยู่ก็ต้องพักผ่อนสักหน่อยสิเพคะ~”  

หนานกงสือเยวียนเคาะนิ้วเรียวลงบนพนักวางแขนเป็นจังหวะเพื่อทำสมาธิในระหว่างที่ครุ่นคิดอย่างหนัก

เรื่องฎีกา ด้านองค์ชายใหญ่นั้นนับวันยิ่งทำยิ่งคล่องมือ ส่วนองค์ชายสามอายุเพียงสิบห้า ดูเผิน ๆ แล้วเขาจะไหวหรือ?  

“ไปขอการบ้านขององค์ชายสามจากราชครูมาให้เราที”  

ทันทีที่หนานกงสือเยวียนถ่ายทอดคำสั่ง คนที่ยืนประจำที่ของตนอยู่ก็รู้หน้าที่ของตนเป็นอย่างดี  

คนรู้หน้าที่ย่อมไม่ปล่อยให้เขารอนาน ผ่านไปพักเดียวการบ้านขององค์ชายสามก็ถูกนำมาวางตรงหน้าพระพักตร์

หลังจากหนานกงสือเยวียนกวาดสายตาอ่านเนื้อหาด้านใน เขาก็พลันขมวดคิ้วเล็กน้อย 

เสี่ยวเป่าชะโงกหน้าเข้าไปถามหน้าฉงน “เป็นอย่างไรหรือท่านพ่อ? พี่สามเก่งมากใช่หรือไม่?” 

ถึงอย่างไรพี่ชายของนางก็ไม่เคยไม่เก่งในสายตานางอยู่แล้ว

“ไม่เลว”  

การเขียนบทความขององค์ชายสามนั้นถือว่าปานกลาง แต่เขาก็ตั้งใจทำการบ้านที่ได้รับมอบหมายจากอาจารย์และราชครู เพียงแต่การจับประเด็นในบทความและการเขียนบทความนั้น เขายังถือว่าธรรมดาเกินไป 

แต่เขามีพรสวรรค์ด้านการคิดคำนวณที่อาจารย์จากสำนักศึกษานอกพระราชวังเป็นผู้สอน และยามที่อาจารย์ตั้งโจทย์ปัญหาให้แก้ไข คำตอบของเขามักจะสมบูรณ์แบบที่สุดในบรรดาพี่น้อง

ทว่าถึงอย่างนั้น หนานกงสือเยวียนก็ยังคิดว่าพระโอรสคนที่สามยังไม่พร้อมสำหรับการอ่านและตอบฎีกาพวกนี้

ฉะนั้น… 

“คงต้องรบกวนพี่ใหญ่ของเจ้าเช่นเดิม” จู่ ๆ เขาก็รู้สึกโมโหเซียวเหยาอ๋อง น้องชายที่รู้แค่วิธีกิน ดื่ม และเที่ยวเล่น แต่กลับช่วยงานการอันใดเขาไม่ได้เลย!  

เสี่ยวเป่าพยักหน้าทั้งที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ทว่าในใจก็รู้สึกเห็นใจพี่ใหญ่อยู่ไม่น้อย นางจึงตัดสินใจว่าจะเก็บลูกท้อส่วนที่เหลือไว้มอบให้พี่ใหญ่เพื่อเป็นการตอบแทน  

จริงสิ! เฉ่าเหมยที่นางให้พี่ใหญ่กับพี่รองน่าจะสุกแล้วนะ

บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหน้าด่าน…  

กองทัพใหญ่เคลื่อนไปข้างหน้า พวกเขายังคงอยู่รอดปลอดภัยกันดี นับตั้งแต่ออกเดินทางในครานี้พวกเขายังไม่พบอันตรายใด ๆ ระหว่างทาง

เพียงแต่การเดินทางด้วยการขี่ม้าหรือรถม้าทุกวันนั้นยากลำบากยิ่ง

แม้หนานกงฉีโม่จะเตรียมใจก่อนออกเดินทางมาไม่น้อยแล้วก็ตาม ทว่าเขาที่เติบโตมาในพระราชวัง และไม่เคยเดินทางไกลเช่นนี้มาก่อน ในเวลาเพียงไม่กี่วัน ร่างกายเขาจึงซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงความเหนื่อยล้าทางร่างกายและจิตใจอย่างไม่เคยพานพบมาก่อน  

แต่ถึงอย่างนั้นหนานกงฉีโม่ก็หาได้ใจเสาะเอ่ยปากขอให้กองทัพหยุดพักเพื่อเขา เขากลับกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อปรับตัวและปรับร่างกายให้คุ้นชินกับสถานการณ์ปัจจุบันให้เร็วที่สุด  

“หยุดพักสักหน่อยเถอะ”  

ความมืดเริ่มโรยตัวปกคลุมท้องนภากว้างใหญ่ กว่าจะเข้าเขตเมืองถัดไปก็อาจจะต้องใช้เวลาอีกครึ่งค่อนวัน เซี่ยสุ่ยอันจึงสั่งหยุดทัพเพื่อตั้งค่ายพักแรมในถิ่นทุรกันดารนี้

“องค์ชายรอง พระองค์ยังไหวหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”  

ใบหน้าของหนานกงฉีโม่ดูไม่จืดเอาเสียเลย ขอบใต้ตาค่อนข้างคล้ำ บ่งบอกว่าสองสามวันมานี้เขานอนหลับไม่สนิท

แต่ถึงกระนั้น รูปร่างหน้าตาของเขายังคงหล่อเหลาไม่เปลี่ยนแปลง มีเพียงซีดเซียวลงเล็กน้อยถึงได้ดูอิดโรยเช่นนี้

“ไม่เป็นไร ปรับตัวอีกหน่อยก็คงดีขึ้น”  

หนานกงฉีโม่ยังคงมีความเย่อหยิ่งที่แฝงมากับความมานะบากบั่นอันแรงกล้าของตน เขายืนยันที่จะกินอาหารแบบเดียวกับเหล่าทหารกล้าโดยไม่เรียกร้องสิทธิพิเศษใด ๆ

เซี่ยสุ่ยอันเหลือบมององค์ชายรองพลางครุ่นคิด เดิมทีเขาคิดว่าองค์ชายรองคงไม่อาจแบกรับความเหน็ดเหนื่อยระหว่างการเดินทางได้ กระทั่งคิดไว้ด้วยว่าหากองค์ชายรองทำตัวยุ่งยากขึ้นมา เขาจะทำเช่นไรดี 

 

แต่ไม่คิดเลยว่า สิ่งที่เขากังวลจะเป็นจริงเพียงส่วนเดียวก็คือ องค์ชายรองเหนื่อยล้าตามคาด ทว่าอีกฝ่ายยังคงออกเดินทางอย่างมุ่งมั่นไปพร้อมกองทัพโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ ส่วนเรื่องอาหารการกินนั้น คนในกองทัพกินอาหารที่ทั้งแห้งและแข็ง มีเพียงบางครั้งที่เอาไปต้มในน้ำเพื่อทำให้อาหารแห้งนิ่มลง

รสชาติย่อมไม่น่าพิสมัย แต่ก็พอให้อิ่มท้อง  

เขายิ่งคิดไม่ถึงว่า องค์ชายรองจะยืนกรานว่าจะดื่มกินอาหารเช่นเดียวกับพวกเขา

สองวันแรกเขากินได้เพียงเล็กน้อย ตอนนั้นสีหน้าเขาเหมือนจะไม่ไหวแล้ว โชคดีที่พักหลังเขากินได้มากขึ้นคงเป็นเพราะออกแรงมากขึ้นกระมัง

คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะทนได้ขนาดนี้

“ที่จริงพระองค์ไม่ต้องกินเหมือนพวกทหารหรอกพ่ะย่ะค่ะ กินของดี ๆ ให้เยอะหน่อยจะได้มีเรี่ยวแรง” 

 

เซี่ยสุ่ยอันเตือนเขาด้วยความหวังดี  

ขันทีที่ติดตามหนานกงฉีโม่มาด้วยเห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็ปวดใจแทบทนไม่ไหว พอได้ยินเซี่ยสุ่ยอันเอ่ยอย่างนั้นก็รีบพยักหน้าเห็นด้วย

หนานกงฉีโม่ “ไม่จำเป็น ยุ่งยาก”  

ขันทีรีบเอ่ยทันที “ไม่ยุ่งยากเลยองค์ชาย เราพาพ่อครัวมาด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงฉีโม่ “แต่ถึงอย่างไรข้าก็ต้องปรับตัวให้คุ้ยเคยอยู่ดี รีบปรับตัวจะเป็นการดีกว่า”  

เซี่ยสุ่ยอัน “ข้าเองก็กินของพวกนี้แค่ตอนเดินทัพเท่านั้น แต่พออยู่ที่เมืองหน้าด่านสิ่งที่ข้ากินนั้นดีกว่านี้มาก แม้แต่ในค่ายทหาร อาหารของผู้บัญชาการกับอาหารของทหารทั่วไปยังไม่เหมือนกัน ส่วนท่านเป็นถึงองค์ชาย ฉะนั้นเสบียงแห้งที่ทำมาเพื่อความสะดวกและอิ่มท้องได้รวดเร็วพวกนี้เก็บไว้กินแค่ตอนเดินทัพและออกรบเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

  

หนานกงฉีโม่ “…”  

แต่ไม่ว่าอย่างไรไม่กี่วันที่ผ่านมาเขาก็กินข้าวพวกนั้นไปแล้ว หากจู่ ๆ เปลี่ยนไปกินอาหารดี ๆ ผู้คนคงได้ซุบซิบอยู่ในใจแม้จะไม่อาจเอื้อนเอ่ยต่อหน้าก็ตาม 

ใจคนยากแท้หยั่งถึง หนานกงฉีโม่หาได้มีความคิดตื้นเขิน ก่อนจะทำสิ่งใดเขาย่อมต้องคิดให้รอบคอบ

แม้จะไม่คิดแก่งแย่งตำแหน่งนั้นกับผู้ใด แต่เขาก็ไม่อยากถูกกล่าวหาว่าเป็นองค์ชายเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเช่นกัน  

“ถึงเมืองหน้าด่านค่อยคุยเรื่องนี้”  

“องค์ชายรองพ่ะย่ะค่ะ พืชผลในกระถางที่ท่านนำมาด้วยเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้ว”  

ขันทีผู้หนึ่งปรี่เข้ามารายงานแก่หนานกงฉีโม่  

หนานกงฉีโม่ชะงัก เขาเกือบลืมไปว่าน้องสาวให้ต้นเฉ่าเหมยที่นางภูมิใจเป็นหนักหนามาด้วย ก่อนจากกันคนตัวเล็กเตือนเขานับพันครั้งว่าให้เก็บผลเฉ่าเหมยกินเมื่อมันเปลี่ยนเป็นสีแดง

“ข้าจะไปดูหน่อย”  

หลังจากลุกขึ้น เขาก็หันไปชวนเซี่ยสุ่ยอัน “แม่ทัพน้อยเซี่ย ไปด้วยกันเถอะ”  

บุรุษผู้มีคิ้วคมดั่งคมกระบี่ประดับบนดวงหน้าสีแทนนามว่าเซี่ยสุ่ยอันเลิกคิ้วทันทีที่ได้ยินคำชวนนั้น จะว่าไปแล้วสิ่งที่องค์หญิงน้อยคะยั้นคะยอให้องค์ชายรองนำมาด้วยนั้น เขาเองก็สงสัยใคร่รู้อยู่ไม่น้อย

“ได้สิ”  

ทั้งสองคนเดินไปเปิดม่านประตูรถม้า ทันใดนั้น กลิ่นหอมชวนน้ำลายไหลก็โชยออกมาจนไม่อาจละสายตาจากมันได้

หนานกงฉีโม่ผู้กินข้าวแข็ง ๆ มาหลายวัน ถึงกับกลืนน้ำลายขณะที่สายตายังจับจ้องผลไม้สีแดงขนาดเท่ากำปั้น

ลูกกระเดือกในลำคอหนาของเซี่ยสุ่ยอันพลันขยับขึ้นลงเช่นกัน กลิ่นหอมขนาดนี้ รสชาติต้องดีมากแน่ ๆ

“นี่คือสิ่งที่องค์หญิงมอบให้ท่านหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

พืชผลเหล่านี้มีคนคอยดูแลตลอดการเดินทาง ทุกครั้งที่หยุดพักพวกเขาจะย้ายมันลงจากรถม้าเพื่อรดน้ำและให้มันได้รับแสงแดด  

ทุกคนค่อนข้างแปลกใจกับสิ่งที่เห็น เพราะตั้งแต่เดินทัพมาพวกเขาเคยเห็นแต่คนที่หอบหิ้วข้าวของมากมายหลายชนิด ทว่าไม่เคยเห็นผู้ใดขนต้นไม้มาด้วยเช่นนี้

แรก ๆ ผลมันเล็กนิดเดียว แต่ผ่านไปไม่กี่วันพวกมันก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ตอนนี้มันเปลี่ยนเป็นสีแดงฉ่ำสวยงามน่ากิน ซ้ำยังมีกลิ่นหอมตลบอบอวล! 

มุมปากของหนานกงฉีโม่ยกขึ้น “อืม นางยืนยันว่าข้าต้องเอามาด้วย” 

ถึงว่ายามที่เจ้าก้อนแป้งเอ่ยถึงเจ้าเฉ่าเหมยนี่ทีไร น้ำเสียงถึงได้เปี่ยมไปด้วยความภูมิอกภูมิใจขนาดนั้น!  

หนานกงฉีโม่ไม่รอช้า เดินตรงเข้าไปเก็บเฉ่าเหมยผลใหญ่ผิวแดงฉ่ำพวกนั้นทันที