บทที่ 94 แผลเป็น

บทที่ 94 แผลเป็น

เฉ่าเหมยมีทั้งหมดห้ากระถาง ชุดแรกสุกแล้วประมาณสามกระถาง รวมกันแล้วได้ทั้งหมดสิบหกลูก

  

ไม่รู้ว่าน้องสาวของเขาไปพบผลไม้ชนิดนี้ที่ไหนมา แม้ผลของมันจะไม่ได้ใหญ่นักแต่ก็ไม่เล็ก ขนาดเท่าประมาณหนึ่งกำปั้นของเด็กได้

  

เขาเด็ดมันออกมาสองลูกแล้วส่งให้องครักษ์ที่คอยดูแลต้นเฉ่าเหมย

  

“พวกเจ้าแบ่งกันกินเถิด”

  

เห็นได้ชัดว่าองครักษ์ทั้งสองไม่คาดคิดว่าตนเองจะได้รับส่วนแบ่ง ยามรับมาจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

  

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายรอง!”

  

ส่วนผลไม้ที่เหลือ หนึ่งลูกมอบให้กับขันทีข้างกายที่คอยดูแลเขาเป็นอย่างดี เก็บไว้ให้ตนเองและเซี่ยสุ่ยอันสองลูก ส่วนที่เหลือก็ให้เซี่ยสุ่ยอันส่งมอบต่อให้กับเหล่าผู้นำกองทหาร

  

เซี่ยสุ่ยอันถามออกมาว่า “พระองค์ไม่เก็บไว้เองบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

  

หนานกงฉีโม่ส่ายหัว “เสี่ยวเป่าบอกว่าสิ่งนี้ไม่อาจเก็บเอาไว้ได้นาน ดีที่สุดคือควรกินให้หมดภายในหนึ่งวันหลังจากเด็ดออกมา อีกทั้งเฉ่าเมยชุดต่อไปก็จะสุกแล้ว วันพรุ่งนี้ประเดี๋ยวก็มีอีก”

  

เซี่ยสุ่ยอันมองเขาด้วยแววตาซับซ้อน “แล้วเหตุใดท่านถึงต้องการมอบให้พวกเขา ท่านกินมันเพียงผู้เดียวได้ไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”

  

หนานกงฉีโม่มองเขาด้วยรอยยิ้มที่คล้ายไม่ยิ้ม “อันใดกัน? หรือเจ้ากำลังคิดว่าข้าจะฉวยโอกาสนี้ซื้อใจคนอย่างนั้นรึ?”

  

สีหน้าของแม่ทัพน้อยเซี่ยแปรเปลี่ยนเป็นสีดำแดงเล็กน้อย สีดำทำให้ใบหน้าที่เดิมคล้ำอยู่แล้วยิ่งคล้ำลงไปอีก ส่วนสีแดงก็เป็นเพราะความใจเต้น

  

อย่างไรเสียเขาก็เป็นลูกพี่ลูกน้องขององค์ชายใหญ่ ย่อมต้องคำนึงพิจารณาเพื่อลูกพี่ลูกน้องอยู่เสมอ

  

แม้ลูกพี่ลูกน้องจะขอให้เขาคอยดูแลองค์ชายรอง ทว่าเขาก็ยังคงเฝ้าระมัดระวังองค์ชายรองตลอดทาง

  

ถึงเขาจะยังอายุไม่มาก แต่ก็รู้เรื่องราวไม่น้อย ภายในราชวงศ์ล้วนเต็มไปด้วยการนองเลือดมาโดยตลอด ต่อสู้กันแบบฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขาของลูกพี่ลูกน้องใช้การไม่ได้ในตอนนี้ ทำให้องค์ชายรองมีอิทธิพลมากที่สุดในราชสำนัก

  

เขากลัวว่าความหวังดีของลูกพี่ลูกน้องจะถูกองค์ชายรองปัดทิ้งในท้ายที่สุด หลังจากที่องค์ชายรองซื้อใจเหล่าทหารได้แล้วก็จะหันคมดาบชี้เข้าใส่องค์ชายใหญ่

  

หนานกงฉีโม่กินเฉ่าเหมยในมือ รสชาติของมันอร่อยเสียจนทำให้ดวงตาจิ้งจอกหรี่ลงเล็กน้อย

  

“ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่ข้าไม่มีความคิดอยากจะต่อสู้แย่งชิงสิ่งใดกับพี่ใหญ่ ทว่า…”

  

เซี่ยสุ่ยอันมองมาทางเขา

  

“ขาของพี่ใหญ่จำเป็นต้องได้รับการรักษาเป็นอย่างแรก”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว สีหน้าของเซี่ยสุ่ยอันก็ดูจะยุ่งยากเล็กน้อย “ท่านคิดว่าพวกเรายังไม่คิดหาหนทางหรือ? จะหมอหลวงทั้งหลายในสำนักแพทย์หลวง หรือกระทั่งหมอเทวดาข้างนอกที่มีชื่อเสียงทุกคน พวกเราล้วนพามาดูอาการของลูกพี่ลูกน้อง แต่ก็ได้รับคำตอบอันน่าผิดหวัง อีกทั้งทุกครั้งที่มีหมอเข้าไปดู แม้ลูกพี่ลูกน้องจะไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา แต่มองดูก็รู้แล้วว่าเขารู้สึกแย่ลงเรื่อย ๆ”

  

หนานกงฉีโม่จะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร

  

“ข้าได้ข่าวหนึ่งมาว่าหมอปีศาจได้ปรากฏออกมาแล้ว”

“อันใดนะ!!!”

  

เซี่ยสุ่ยอันเบิกตากว้างในทันที เสียงร้องของเขาดังเสียจนคนรอบ ๆ หันมามอง

  

ทว่าเขาหาได้ใส่ใจสิ่งใดไม่ “องค์ชายรอง ท่านกล่าวจริงหรือ!”

  

หนานกงฉีโม่กินเฉ่าเหมยจนหมดลูก “ข้าเองก็ได้รับข่าวนี้มาโดยบังเอิญ แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ข้าก็จะลองออกตามหาดู!”

  

เซี่ยสุ่ยอันมองเขาด้วยสายตาที่ซับซ้อนมากขึ้น เกิดอันใดขึ้นกัน เหตุใดองค์ชายรองถึงได้ดูกระตือรือร้นมากกว่าผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องอย่างเขา?

  

แต่องค์ชายรองก็ดูจริงใจเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคิดคำนึงถึงองค์ชายใหญ่จากใจจริง หรือว่าวางอุบายล้ำลึกเป็นอย่างยิ่งอยู่

  

มองดูแล้วเรื่องนี้ก็ไม่ใช่จะไม่มีทางเป็นไปได้

  

“บางทีเจ้าอาจคิดว่าข้าวางอุบายล้ำลึกสินะ”

  

แววตาของเซี่ยสุ่ยมองมาทางเขาด้วยความตกใจกลัว อะไรกัน?! เหตุใดองค์ชายรองถึงล่วงรู้ความคิดของเขาได้!

  

หนานกงฉีโม่แย้มยิ้มออกมาราวกับสุนัขจิ้งจอก แม่ทัพน้อยเซี่ยผู้นี้มีพรสวรรค์ในการรบอย่างหาตัวจับได้ยาก ทว่าก็ยังเยาว์วัยนัก บนใบหน้าแสดงความคิดออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนยิ่ง

แต่หลังจากยิ้มแล้ว หนานกงฉีโม่ก็เอนหลังพิงต้นไม้ แหงนหน้าขึ้นมองพระจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้า

  

“หลังจากเสด็จพ่อขึ้นครองบัลลังก์ก็ทรงตั้งกฎขึ้นมาใหม่ เหล่าองค์ชายที่อายุครบสามขวบจะต้องถูกส่งไปเรียนยังสำนักศึกษา และติดต่อกับนางสนมน้อยลง

  

เมื่อข้าไปยังสำนักศึกษา ที่นั่นก็มีเพียงแค่พี่ใหญ่ที่โตกว่าข้าหนึ่งปี ทว่าเมื่อไหร่ที่ข้าร้องไห้ พี่ใหญ่ก็จะเป็นผู้ปลอบประโลมด้วยความอดทน คอยสอนข้าอ่าน และจับมือข้าเขียนอักษร

  

หลังจากไปสำนักศึกษาแล้ว คนที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายทั้งหมดก็จะถูกเปลี่ยนเป็นคนของเสด็จพ่อ ในตอนแรกเพราะรอบกายไม่มีคนที่รู้จัก ทำให้คืนแรกข้ากลัวจนต้องนอนร้องไห้บนเตียง

  

คืนนั้นข้าถูกพี่ใหญ่ที่นึกเป็นห่วงมาพบเข้า หลังจากนั้นเขาจึงมานอนเป็นเพื่อน จนข้าที่เหนื่อยจากการร้องไห้ผล็อยหลับไป ทั้งยังช่วยเช็ดหน้าเช็ดตา ห่มผ้าให้ข้านอน สิ่งเหล่านี้เสด็จแม่ไม่เคยทำให้ข้ามาก่อน นางเพียงพร่ำสอนข้าว่าให้เพียรพยายามกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่เหนือผู้ใด”

  

เขาถลกแขนเสื้อขึ้น แสดงรอยแผลเป็นบนแขนให้อีกฝ่ายดู

  

มันเป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากการเฆี่ยนตีตั้งแต่ตอนที่เขายังเล็ก จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เลือนหาย

  

ม่านตาของเซี่ยสุ่ยอันหดแคบลงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

  

หนานกงฉีโม่กลับเล่าออกมาด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ราวกับว่ารอยแผลเป็นอันน่ารังเกียจไม่ได้อยู่บนร่างของเขา

  

“ยากที่จะเชื่อใช่หรือไม่ ทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือของเสด็จแม่ ทั้งที่แขน หลัง และขา เพียงแค่ข้าไม่อาจเรียนเก่งได้เท่ากับพี่ใหญ่ ทุกครั้งที่หยุดเรียนพอกลับไปยังตำหนักของนาง นางก็จะปิดประตูให้ข้าคุกเข่าบนพื้นเย็นเยียบ ทั้งยังบอกให้ข้ายื่นมือออกไปให้ตีครั้งแล้วครั้งเล่า

  

มือของข้าบวมแดงไปหมด แต่นางก็ยังไม่ยอมหยุด พร่ำบอกว่าเพื่อให้ข้าได้จำขึ้นใจ เพื่อประโยชน์ของตัวข้าเอง หลังจากนั้นอาจเป็นเพราะบนมือสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเกินไป นางจึงตีข้าที่แขนและขาแทน”

  

เขาดึงแขนเสื้อลง ก่อนที่ประกายเย็นเยียบจะปรากฏขึ้นในแววตา

  

“ถ้าข้าโตมากับนางและไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากพี่ใหญ่ บางทีข้าอาจจะค่อย ๆ เติบโตมาอย่างบิดเบี้ยว และคล้อยตามความต้องการของนาง”

  

ทว่าด้วยกฎที่วางเอาไว้ล่วงหน้าแล้วของเสด็จพ่อ ทำให้เขาได้มีเวลากับเสด็จแม่น้อยลง ทั้งยังมีเวลาให้พี่ใหญ่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งทุกครั้งที่กลับไปก็ล้วนถูกตำหนิดุด่า

  

เดิมทีนิสัยของเขาก็มีความดื้อรั้นอยู่บ้าง ทำให้หลังจากนั้นเขาก็กลับไปที่นั่นน้อยลงเรื่อย ๆ

หลังจากนั้นเรื่องราวทั้งหมดก็เปลี่ยนแปลงไป

  

เซี่ยสุ่ยอันอ้าปาก ใบหน้าดำแดงดูอึดอัดใจ ไม่รู้ควรจะพูดสิ่งใดออกมา เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าหนานกงฉีโม่ที่มีฐานะสูงส่ง จะต้องเผชิญกับเรื่องน่าเวทนาเช่นนี้

  

อีกทั้งเรื่องเหล่านี้ยังเกิดขึ้นเพราะมารดาที่ควรจะเป็นคนที่สนิทสนมด้วยมากที่สุด อี๋กุ้ยเฟยวิปลาสไปแล้ว!

  

เขาเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจหนานกงฉีโม่ขึ้นมา นี่มันเลวร้ายยิ่งกว่าการถูกคนนอกทุบตีเสียอีก

  

เซี่ยสุ่ยอันไม่รู้ว่าควรจะพูดสิ่งใดเพื่อปลอบใจเขา สุดท้ายก็ทำได้แต่เกาหัว

  

“ข้า…ข้อขอโทษพ่ะย่ะค่ะ”

  

หนานกงฉีโม่กลับหัวเราะออกมา “เจ้าขอโทษข้าด้วยเหตุใด? เจ้าไม่ได้เป็นผู้ตีข้าเสียหน่อย แค่นี้ก็คิดเป็นจริงเป็นจังเสียแล้ว ช่างโง่เขลาเสียจริง”

  

เซี่ยสุ่ยอัน “…”

  

เหตุใดคนผู้นี้จึงปากเสียถึงเพียงนี้!

  

อีกฝ่ายแสดงรอยแผลเป็นบนร่างตนเองออกมาด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนกับไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย

  

ทว่า…ไม่ได้ใส่ใจจริง ๆ หรือ?

  

ไม่รู้ว่าเป็นเพียงภาพลวงตาของเขาหรือไม่ เซี่ยสุ่ยอันจึงรู้สึกอยู่เสมอว่ารอยยิ้มบนใบหน้าองค์ชายรองนั้น ‘ว่างเปล่า’ ประหนึ่งกำลังสวมหน้ากากเอาไว้ รอยยิ้มนั่นทำให้คนไม่อาจกระจ่างแจ้งได้ว่าภายในใจของเขาคิดสิ่งใดอยู่