บทที่ 95 เจ้าเป็นพ่อครัวหรือว่าข้าเป็นพ่อครัวกัน

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 95 เจ้าเป็นพ่อครัวหรือว่าข้าเป็นพ่อครัวกัน?

บทที่ 95 เจ้าเป็นพ่อครัวหรือว่าข้าเป็นพ่อครัวกัน?

วันต่อมา กองทัพก็เคลื่อนขบวนเดินทางต่อ

  

ขณะเดียวกันก็มีเฉ่าเหมยสุกจำนวนมากกว่าคราวก่อน

  

กระถางเฉ่าเหมยของเขากระจายไปทั่วทั้งกองทัพแล้ว มีคนจำนวนไม่น้อยแอบมาด้อม ๆ มอง ๆ อยากเห็นว่าผลไม้ที่ทำให้เหล่าผู้นำทัพอดชมเชยไม่ได้มีหน้าตาเป็นอย่างไร

  

ไม่ใช่เพียงแค่ทหารชั้นผู้น้อยที่มาด้อม ๆ มอง ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น แม้กระทั่งเหล่าระดับผู้นำที่ได้ลิ้มลองกินเฉ่าเหมยเมื่อวาน ก็พากันมาอย่างหน้าไม่อาย

  

พวกเขาต่างรีบมาที่นี่ตั้งแต่รุ่งสาง ราวกับกลัวว่าเฉ่าเหมยจะหมด

  

“อา ฮ่าฮ่าฮ่า…อรุณสวัสดิ์พ่ะย่ะค่ะ องค์ชายรอง อรุณสวัสดิ์แม่ทัพน้อยเซี่ย”

  

เซี่ยสุ่ยอันเหลือบมองพวกเขา “ท่านลุงท่านอา ไม่มีผู้ใดไปเชิญพวกท่านเสียหน่อย เหตุใดจึงวิ่งมารวมกันที่นี่ตั้งแต่เช้า?”

  

รู้อยู่แก่ใจแล้วยังจะแสร้งถามอีก!

  

ชายกำยำหน้าดำผู้หนึ่งถูมือด้วยความเก้อเขิน “อ่า…ไม่มีคนเชิญมาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ทางเสียหน่อย พวกเราแค่อยากมาดูว่าเฉ่าเหมยขององค์ชายรองเป็นเช่นไรบ้าง มีสิ่งใดให้พวกเราช่วยเหลือหรือไม่”

  

เซี่ยสุ่ยอันกอดอก “พวกท่านต้องการช่วยสิ่งใด? ช่วยกินหรือ?”

  

“จะกล่าวเช่นนั้นก็ไม่ได้ พวกเราสามารถช่วยดูแลมัน ได้ยินว่าสิ่งนั้นเปราะบางเป็นอย่างมาก ต้องนำออกมาตากแดดรดน้ำใส่ปุ๋ยคอยดูแลทุกวัน”

  

องครักษ์ทั้งสองที่คอยดูแลต้นเฉ่าเหมยได้ยินดังนั้นก็ตื่นตัวขึ้นมาทันใด

  

อะไรกัน? นี่จะแย่งงานของพวกเขาไปหรือ?!

  

คนเหล่านี้เป็นทหารผ่านศึก หน้าไม่อายพูดจาเสียงดังโผงผาง ทั้งยังเล่นลูกไม้หน้าด้าน ๆ เก่งยิ่ง

แต่แน่นอนว่าพวกเขาก็ยังไม่หน้าด้านพอจะตรงไปยังรถม้าขององค์ชายรองเพื่อเก็บเฉ่าเหมยมา

  

เหล่าชายร่างใหญ่กำยำเหมือนหมีต่างหัวเราะยกย่ององค์ชายรองทุกวิธี แสดงความชื่นชอบต่อเฉ่าเหมยของเขา

  

แน่นอนว่า ทหารเหล่านี้อ่านหนังสือมาไม่มาก ดังนั้นจึงคิดคำยกย่องไม่ได้มาก

  

“คำนับองค์ชายรอง เฉ่าเหม่ยของพระองค์เลิศรสยิ่งนัก พระองค์สามารถแบ่งปันมาสักเล็กน้อยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

  

“องค์ชายรองมีความอดทนเป็นอย่างยิ่ง เฉ่าเหมยของพระองค์นั้นหวานยิ่ง สิ่งนั้นมีทั้งรสหวานและเปรี้ยว อร่อยยิ่งนัก พระองค์สามารถแบ่งปันมาสักเล็กน้อยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

  

“องค์ชายรองกระหายน้ำหรือไม่? กระทั่งบิดาก็ยังไม่ได้รับการปรนนิบัติจากกระหม่อมเช่นนี้ หากพระองค์ต้องการเสวย กระหม่อมก็ขอเพียงแค่เฉ่าเหมยส่วนหนึ่ง ฮ่าฮ่าฮ่า…”

  

หนานกงฉีโม่ “…”

  

เซี่ยสุ่ยอันยกมือขึ้นปิดใบหน้า เขารู้สึกอับอายแทนตาแก่หน้าไม่อายเหล่านี้จริง ๆ

  

พวกท่านช่วยทำตัวให้ดูดีกว่านี้สักนิดได้หรือไม่?!

  

หนานกงฉีโม่ไม่เคยพบเจอคนเช่นนี้มาก่อน ทว่าการผูกมิตรกับคนเหล่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความคิดมากเกินไป จึงนับว่าเป็นเรื่องดี

  

“ลองไปดูกันก่อนเถิดว่ามีเฉ่าเหมยสุกมากน้อยเพียงใด”

  

“ดี ดี ดี”

  

“เช่นนั้นพวกเราไปกันเถิด”

  

“ฮ่าฮ่าฮ่า…”

  

มุมปากของหนานกงฉีโม่กระตุก “ยังมีสิ่งที่ข้าต้องแก้ความเข้าใจผิด เฉ่าเหมยเหล่านี้ข้าไม่ได้เป็นผู้ปลูก แต่เป็นน้องหญิงที่มอบให้ข้ามา”

  

คนผู้หนึ่งเกาศีรษะด้วยสีหน้างุนงง “น้องหญิงของพระองค์? องค์หญิงน้อยหรือพ่ะย่ะค่ะ? ถ้ากระหม่อมจำไม่ผิด ได้ยินมาว่าองค์หญิงน้อยทรงมีพระชันษาเพียงสามขวบเองนะพ่ะย่ะค่ะ”

  

หนานกงฉีโม่พยักหน้าเล็กน้อย มุมปากยกขึ้น ดวงตาจิ้งจอกปรากฏความภาคภูมิใจให้เห็นราง ๆ

  

“ใช่แล้ว เพียงแค่สามขวบ แต่นางก็สามารถทำอะไรได้หลายสิ่ง ไม่เพียงแต่เฉ่าเหมย ใช่แล้ว…เสี่ยวฟานเฉีย*[1]เป็นอย่างไรบ้าง?”

คนที่ได้รับหน้าที่ดูแลเสี่ยวฟานเฉียแย้มยิ้มออกมาด้วยความสุขทันที “ฝ่าบาท เสี่ยวฟานเฉียก็สุกแล้วเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”

  

ทุกคน “เสี่ยวฟานเฉีย? คือสิ่งใดกัน?”

  

“กินได้ด้วยหรือ?”

  

“อร่อยหรือไม่? องค์ชายรองให้พวกเราลองชิมได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

  

“ระหว่างทางได้กินแต่อาหารแห้งรสชาติจืดชืด อดอยากปากแห้งมานานแล้ว”

  

หนานกงฉีโม่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดกับเหล่าคนพูดจาโผงผาง ทำเพียงเดินนำไปยังรถม้าที่บรรถทุกต้นเฉ่าเหม่อยเอาไว้ด้านใน

  

วันนี้มีเฉ่าเหมยสุกกว่าเมื่อวานมาก กลุ่มคนที่เคยกินเฉ่าเหมยเข้าไปแล้วอดกลืนน้ำลายอึกใหญ่ไม่ได้

“กลิ่นนี้หอมมาก!”

  

คนข้าง ๆ ต่างพยักหน้าเห็นพร้อม หลังจากต้องกินอาหารแห้งรสจืดชืดมานาน เมื่อวานได้ลิ้มลองเฉ่าเหมยที่แม่ทัพน้อยเซี่ยส่งมาให้ รสชาติหวานอมเปรี้ยวแสนอร่อยแทบทำให้พวกเขากลืนลิ้นเข้าไปด้วย

  

ที่สำคัญคือหลังจากกินเข้าไปแล้วก็ชวนให้อดคิดกังวลไม่ได้ว่า จะไม่มีเฉ่าเหมยให้กินเหมือนเมื่อวานแล้ว พวกเขาจึงมารวมกันอย่างหน้าไม่อายในวันนี้

  

หนานกงฉีโม่ไม่ได้ใจแคบ เขามอบให้ทุกคน คนละสองลูก

  

แม้ว่าวันนี้จะมีเฉ่าเหมยจำนวนไม่น้อยที่สุกแล้ว แต่รวมแล้วก็มีเพียงแค่ห้ากระถาง ไม่อาจแจกจ่ายให้คนในกองทัพทั้งหมดได้

  

ส่วนที่เหลือถูกหนานกงฉีโม่เก็บเอาไว้ค่อย ๆ กินอย่างช้า ๆ

  

“ไปดูเสี่ยวฟานเฉียกันเถอะ”

  

หนานกงฉีโม่เดินไปโดยมีกลุ่มชายร่างสูงใหญ่กำยำตามติด

  

หนานกงฉีโม่มีผิวขาวละเอียด ท่าทางเกียจคร้านทว่าสูงส่งเดินนำหน้า ดูราวกับวิฬาร์ชั้นสูงที่งดงามเพรียวบางปะปนอยู่กับฝูงสุนัขดุร้าย ภาพที่เห็นดูขัดตาแต่ก็กลมกลืนในขณะเดียวกัน

  

เสี่ยวฟานเฉียของเสี่ยวเป่าเจริญเติบโตงอกงามมาเป็นอย่างดี แม้เสี่ยวฟานเฉียจะมีลูกเล็กเท่ากับไข่นกพิราบ แต่มันก็มีจำนวนมากมาย มองแล้วชวนให้น่ายินดีเป็นอย่างมาก

  

“โอ้! เจ้าผลสีแดงเล็ก ๆ นี่สามารถกินได้จริงหรือ?”

  

“กินได้”

  

หนานกงฉีโม่ไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย น้องสาวบอกว่ามันกินได้ย่อมต้องกินได้

  

เขาไม่คิดสักนิดเสียด้วยซ้ำว่า น้องสาวที่เป็นเด็กวัยสามขวบจะรู้เรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างไร

  

ชายหนุ่มเด็ดมันเข้าปากทันที รสเปรี้ยวหวานพลันทะลักไหลเข้ามาในปาก

  

ถึงแม้จะไม่อร่อยเท่าเฉ่าเหมย แต่ก็มีรสชาติยอดเยี่ยม ยิ่งในช่วงระหว่างการเดินทางที่ร้อนพอสมควร การกินมันเข้าไปทำให้รู้สึกสบายขึ้น

“ให้พวกกระหม่อมสักลูกเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

  

ชายร่างใหญ่ใบหน้าดำคล้ำผู้หนึ่งเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิงน้อยปรีชาสามารถยิ่งนัก เพียงสามขวบก็สามารถทำของแปลกที่ไม่อาจพบเจอบ่อย แต่ทานได้อร่อยถึงเพียงนี้”

  

หนานกงฉีโม่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา เด็ดเสี่ยวฟานเฉียให้หลายลูก

  

“กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองก็ด้วย!”

  

เหล่าทหารยศสูงต่างลูบมือเดินเข้ามาขอกินอย่างหน้าไม่อาย

  

หนานกงฉีโม่มอบให้ทีละคนจนครบ

  

“เหตุใดผู้เฒ่าซย่งจึงได้ห้าลูก แต่พวกเราได้เพียงสองลูก”

  

หนึ่งในนั้นกลอกตาคิดก่อนเอ่ยออกมาทันที

  

“องค์หญิงของพวกเราช่างมีความสามารถยิ่งนัก นับเป็นโชคดีของพวกเราแล้ว”

  

หลังจากนั้นเขาก็ได้รับเสี่ยวฟานเฉียเพิ่มอีกสามผล

  

ทุกคน “???”

  

ผู้มีไหวพริบล้วนเข้าใจเรื่องราวได้อย่างรวดเร็ว

  

“องค์หญิงน้อยนับเป็นดาวนำโชคของพวกเราจริง ๆ”

  

“เป็นนางฟ้าตัวน้อยจุติลงมา!”

  

“องค์ชายรองกับองค์หญิงน้อยต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าคำนึงคิดถึงพระองค์แม้ห่างไกล”

  

หนานกงฉีโม่อารมณ์ดีกว่าเดิม มอบเสี่ยวฟานเฉียให้ทุกคนเพิ่ม

  

เซี่ยสุ่ยอัน “…”

  

คิดไม่ถึงเลยว่าองค์ชายรองจะเป็นคนเช่นนี้!

  

ชื่นชมน้องสาวต่อหน้า หนานกงฉีโม่ไม่แม้แต่จะอับอาย กลับภาคภูมิใจเสียด้วยซ้ำ

  

เขาไม่ได้ให้เสี่ยวฟานเฉียเพิ่มอีก ไม่ใช่เพราะเขาขี้เหนียว แต่เพราะจะนำเสี่ยวฟานเฉียที่เหลือไปทำประโยชน์อย่างอื่น

  

“เก็บเสี่ยวฟานเฉียที่เหลือ แล้วไปเรียกพ่อครัวมา”

  

น้องสาวเคยบอกไว้ว่า เสี่ยวฟานเฉียสามารถหยิบมากินเลยเป็นผลไม้ได้ แต่ก็สามารถนำมาทำเป็นซุปเช่นเดียวกับผักได้

  

หลังจากที่พ่อครัวมาถึง เขาก็ยื่นเสี่ยวฟานฉัยทั้งหมดให้ “นำไปทำซุปไข่มะเขือเทศ ใช้ไข่เหล่านั้นที่นำติดมาด้วย”

  

พ่อครัวมองเสี่ยวฟานเฉียอย่างโง่งม “นะ…นี่ต้องนำไปทำเช่นไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

  

หนานกงฉีโม่หรี่ตามอง “เจ้าเป็นพ่อครัวหรือว่าข้าเป็นพ่อครัวกัน? ไปศึกษาหาวิธีด้วยตัวเองเสีย”

สุดท้าย พ่อครัวก็ถูกทิ้งไว้กับตะกร้าที่มีแต่เสี่ยวฟานเฉียอยู่เต็ม

[1] เสี่ยวฟานเฉีย (小番茄)หมายถึง มะเขือเทศราชินี