ตอนที่ 106 กลัว

งานเลี้ยงหนึ่งเลิกราอย่างไม่สมหวัง

ซุนฮูหยินถูกเซียวฮูหยินเมินก่อน แม้แต่ใบหน้ายังไม่รักษา

จากนั้นถูกเยียนอวิ๋นเกอเสียดสี ด่าว่านางไร้สมอง

รังแกคนมากเกินไปแล้ว!

ระหว่างทางกลับไป เดิมทีนางอยากบ่นกับนายท่านรองตระกูลเยียน

เสียดาย นายท่านรองตระกูลเยียนถูกเยียนอวิ๋นฉวนมอมจนเมาไม่รู้เรื่อง

ซุนฮูหยินขุ่นเคืองอย่างมาก

นางหยิกนายท่านรองตระกูลเยียนอย่างแรง

ความโกรธยังคงไม่สลายหายไป

ก่อนจะเตะอีกหลายที ด่าอีกหลายประโยค

“ดื่มๆ ทั้งวันรู้จักแต่ดื่มสุรา ต้องมีดื่มจนตายสักวัน”

จวนองค์หญิง

เยียนอวิ๋นจือทำสีหน้าบูดบึ้งอย่างมาก

นางเป็นคนที่ไร้ความคิดของตนเอง ง่ายต่อการถูกคนบงการ

ในเวลาเดียวกันนางก็เป็นคนที่ดื้อรั้น

เมื่อคิดว่าเรื่องเป็นอย่างไร นางจะยืนกรานให้ถึงที่สุด

เป็นคนที่มีความย้อนแย้งในตัวเอง

ครานี้ นางทำสีหน้าอมทุกข์

ท่าทางโกรธเคือง อยากพูดบางอย่าง แต่ก็ไม่ยอใพูดออกมา

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะ

ปัง!

นางไม่พูดพล่าม ยื่นมือตบลงบนโต๊ะ แก้วชากระดกขึ้น

เยียนอวิ๋นจือกระโดดขึ้นพร้อมแก้วชา

นางตกใจ ราวกับระลึกถึงความหวาดกลัวที่มีต่อหมัดของเยียนอวิ๋นเกอ ใบหน้าซีดเผือด

นางเปลี่ยนจากสีหน้าไม่พอใจเป็นสีหน้าหวาดกลัว “น้อง น้องสี่ เจ้าตบโต๊ะทำอันใด”

เยียนอวิ๋นเกอยิ้มมีนัย

ปัง!

ก่อนจะตบลงไปอีกทีบนโต๊ะอย่างแรง

เยียนอวิ๋นจือหัวใจเต้นแรง คนทั้งคนรู้สึกไม่ดี ราวกับกำลังจะร้องไห้

เยียนอวิ๋นเกอจ้องมองนาง

นางทำหน้าไม่มั่นใจ แต่ก็ไม่กล้าพูด

เยียนอวิ๋นเกอก็ไม่พูด

ทั้งสองคนเงียบอย่างพร้อมเพียง อากาศราวกับถูกหยุดชะงัก ทำให้คนหายใจไม่ออก

เยียนอวิ๋นจือนั่งไม่ติด สีหน้าหวาดกลัว ไม่รู้ว่าตนเองทำสิ่งใดให้เยียนอวิ๋นเกอไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าเปิดปากถาม

เป็นเวลากว่าครึ่งวัน ในขณะที่เยียนอวิ๋นจือกำลังจะทนรับแรงกดดันไม่ไหวเป็นลมล้มไปนั้น ในที่สุดเยียนอวิ๋นเกอก็เปิดปากพูด

“พี่สามสนิทกับท่านป้าสองมากหรือ”

เยียนอวิ๋นจือดึงสติกลับมา ส่ายหน้าระรัว “ข้าดูถูกบ้านรอง จะสนิทกับท่านป้าสองได้อย่างไร น้องสี่อย่าใส่ร้ายข้า”

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะขึ้นมา “พี่สามไม่พอใจต่อท่านแม่กับข้าหรือ”

เยียนอวิ๋นจือส่ายหน้าระรัว “ไม่มี! พักเข้ามาในจวนองค์หญิงได้ ข้าดีใจมาก”

“พี่สามดีใจก็ดี! ต่อจากนี้ท่านดูแลตัวเอง เอาล่ะ ท่านไปพักผ่อนเถิด ข้าไปทักทายท่านแม่”

“ข้าก็ไปทักทายฮูหยิน!”

“ไม่ต้อง ข้ามีเรื่องส่วนตัวต้องคุยกับท่านแม่”

“อ่อ!”

เยียนอวิ๋นจือมองส่งเยียนอวิ๋นเกอจากไป อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ

นางกลับห้อง

เรือนที่นางพักเป็นเรือนหลังเล็ก

หากจะบอกว่าเป็นเรือนหลังเล็ก อันที่จริงสถานที่กว้างขวางมาก นางพึงพอใจอย่างมาก

นางอารมณ์หดหู่ คิ้วขมวดมุ่น

“คุณหนูยังกลุ้มอยู่หรือ”

“น้องสี่โกรธข้าใช่หรือไม่” นางถามสาวรับใช้คนสนิทจื่อหลัว

“คุณหนูสี่ดูเหมือนไม่พอใจ แต่ว่าคุณหนูย่อมไม่คิดแค้น คุณหนูต้องปล่อยใจให้กว้าง”

ได้ยินคำปลอบของสาวรับใช้ อารมณ์ของเยียนอวิ๋นจือไม่ดีขึ้น

นางถาม “เพราะว่าข้าคล้อยตามคำพูดของท่านอาสอง น้องสี่จึงไม่พอใจใช่หรือไม่”

สาวรับใช้ จื่อหลังครุ่นคิด ก่อนจะพูด “คุณหนู เวลานี้พวกเราพักในจวนองค์หญิง ต้องคำนึงถึงความใกล้ชิดและความห่างเหิน คำพูดสร้างความบาดหมางของซุนฮูหยิน ท่านก็อย่าไปฟัง นางเพียงแค่อิจฉาที่คุณหนูพักเข้ามาในจวนองค์หญิงได้”

เยียนอวิ๋นจือครุ่นคิดอย่างละเอียด “เจ้าพูดได้มีเหตุผล! น้องสี่ต้องคิดว่าข้าไม่แบ่งแยกดีชั่ว ดังนั้นจึงโกรธ รอมืดหน่อย ข้าจะไปขอโทษนาง เวลานี้เราอยู่ใต้ชายคนผู้อื่น จำเป็นต้องก้มหัว”

สาวรับใช้ จื่อหลัวโล่งใจ “คุณหนูคิดได้เช่นนี้ บ่าวก็วางใจ”

เยียนอวิ๋นเพ่ยไม่รอบิดามารดามาเยือนนางที่ตระกูลหลิง หากแต่เดินทางไปเยือนบิดามารดาที่จวนในเมือง

มารดาและบุตรพบหน้ากันก็กอดคอร้องไห้

ไม่พบสองปี คิดถึงอย่างมาก

หลังจากร้องไห้แล้ว ในที่สุดทั้งสองก็หยุดลง

ซุนฮูหยินหยิบผ้าซับน้ำตาแทนบุตรสาว “กูเหยียดีต่อเจ้าหรือไม่ ดูเจ้าผอมเอา ข้าปวดใจยิ่งนัก”

เยียนอวิ๋นเพ่ยยิ้มเขินอาย “ท่านแม่วางใจ กูเหยียดีต่อข้ามาก เวลานี้ข้าไม่ผอม ไต้ฟูบอกว่ากำลังพอดี”

“เจ้ายังหาไต้ฟู หรือว่าร่างกายไม่สบาย เจ้ารีบบอกแม่ ร่างกายเจ้าไม่มีปัญหาใช่หรือไม่”

เยียนอวิ๋นเพ่ยส่ายหน้าช้าๆ “เพียงแค่ปรับตัวไม่ได้เล็กน้อย เมื่อหาไต้ฟูกินยาบำรุงร่างกายไปหลายชุดก็ดีขึ้นมากแล้ว ดูสีหน้าของข้า ดีใช่หรือไม่”

ซุนฮูหยินสังเกตเห็นสีหน้าของบุตรสาว หากจะบอกว่าดีก็ไม่เชิง อย่างน้อยไม่อาจเทียบได้กับตอนที่อยู่ในจวน

แต่หากจะบอกว่าไม่ดีก็ไม่เชิง

เพียงแค่ธรรมดา ไม่ดีไม่ร้าย

แต่นางพูดไม่ออก เห็นท่าทีดีใจของบุตรสาว นางกลัวจะทำร้ายจิตใจของอีกฝ่าย

นางทำได้เพียงแค่พูด “อย่างไรร่างกายสำคัญที่สุด เจ้าต้องระวังร่างกายของตนเองให้ดี”

“อืม ข้าฟังท่านแม่”

ซุนฮูหยินเหลือบมองท้องของบุตรสาว “เจ้า ยังไม่มีข่าวคราวหรือ”

เยียนอวิ๋นเพ่ยเงียบลงทันที สีหน้าดำทะมึนเล็กน้อย

ซุนฮูหยินเห็นที ครุ่นคิดในใจ แย่แล้ว! นางทิ่มแทงใจดำของบุตรสาวเข้าแล้ว

นางเป็นกังวลจึงรีบถาม “หรือว่าคนของตระกูลหลิงปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี หรือว่ากูเหยียรักภรรยารองมากกว่า ทำให้เจ้าเสียใจ”

เยียนอวิ๋นเพ่ยตั้งสติกลับมา รีบพูด “ท่านแม่พูดเหลวไหลอันใดกัน ตระกูลหลิงดีกับข้ามาก กูเหยียก็ดีกับข้ามาก ถึงแม้กูเหยียจะมีภรรยารอง แต่เขาเคารพข้ามาตลอด ท่านแม่ก็รู้ ตระกูลหลิงให้ความสำคัญกับหลวงรองและกฎระเบียบ ย่อมไม่มีทางปล่อยให้ภรรยารองให้กำเนิดก่อนภรรยาหลวง”

“แต่ท้องของเจ้า สองปีแล้ว เหตุใดจึงยังไม่มีการเคลื่อนไหว” ซุนฮูหยินกังวลอย่างมาก

สีหน้าของเยียนอวิ๋นเพ่ยดำลง “เรื่องของบุตรต้องดูที่วาสนา ไม่ใช่ท่านแม่เร่งเร้า หรือไม่ใช่ข้าอยากมีก็มีได้”

“เจ้าอยากมีย่อมมีได้ อายุเจ้ายังน้อย ร่างกายยังแข็งแรง กูเหยียก็คงไม่มีปัญหา พวกเจ้าสองสามีภรรยาอายุน้องเช่นนี้ การมีบุตรย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างมาก”

เยียนอวิ๋นเพ่ยขมวดคิ้ว ไม่พูด

ซุนฮูหยินจับมือของนาง “อวิ๋นเพ่ย เจ้าบอกความจริงกับข้า เมื่อเจ้าอยู่ในตระกูลหลิง แม่สามีและสะใภ้ในตระกูลปฏิบัติไม่ดีต่อเจ้าหรือไม่ เจ้าติดตามกูเหยียมาเมืองหลวง หาไต้ฟูบำรุงร่างกาย เพราะร่างกายของเจ้าขาดแคลนตอนที่อยู่ในตระกูลหลิงใช่หรือไม่ ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีบุตรเสียที”

เยียนอวิ๋นเพ่ยไม่อาจยอมรับว่าตนเองถูกปฏิบัติไม่ดีเมื่ออยู่ในตระกูลหลิง

นางเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีของตนเอง

เพื่อศักดิ์ศรี ต่อหน้าบิดามารดาผู้ให้กำเนิด นางก็ไม่พูดความจริง

“ท่านแม่ ท่านพูดเหลวไหลอีกแล้ว ข้าบอกแล้วว่าเรื่องบุตรขึ้นอยู่กับวาสนา ท่านอย่าได้เดาไปเรื่อยเปื่อยเลย”

“เจ้าให้ข้าไม่เดา เจ้าก็ต้องบอกความจริงกับข้า ข้ากับท่านพ่อของเจ้าเดินทางฝ่าลมฝ่าฝนมาถึงเมืองหลวง ก็เพื่อดูว่าเจ้าอยู่สุขสบายหรือไม่ หากเจ้าไม่มีความจริงแม้แต่ประโยคเดียว เจ้าจะให้ข้ากับท่านพ่อของเจ้าวางใจได้อย่างไร ข้าเป็นแม่ของเจ้า เจ้ามีเรื่องใดพูดกับข้าไม่ได้ เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานเพื่อศักดิ์ศรีของตนเองหรือ”

ซุนฮูหยินโกรธ

นางมองออกว่าบุตรสาวไม่ได้พูดความจริง

ด้วยความกังวล นางต้องรู้ความจริงให้ได้

เยียนอวิ๋นเพ่ยถูกบีบบังคับจนร้องไห้โฮออกมา

ซุนฮูหยินตกใจ ก่อนจะกอดบุตรสาวเอาไว้แน่น “ร้องเถิด ร้องเถิด ร้องออกมาก็สบายใจแล้ว”

เยียนอวิ๋นเพ่ยร้องเป็นเวลานาน จนดวงตาแดงก่ำ ใบหน้าเปรอะเปื้อน

เรียกสาวรับใช้นำน้ำร้อนมา ล้างหน้า เปลี่ยนชุด แต่งหน้าใหม่จึงดีขึ้น

ซุนฮูหยินแสดงความสงสาร “โธ่ อย่าร้องเลย! ออกเรือนไปเป็นสะใภ้ตระกูลอื่นจะมีเรื่องที่ไม่น้อยใจได้อย่างไร สิ่งสำคัญคือเจ้าก็ต้องสู้ อย่าเงียบเมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรม เจ้าต้องทวงความยุติธรรม และผลประโยชน์ให้ตัวเอง”

เยียนอวิ๋นเพ่ยน้อยใจ “หลิงฉางเฟิงไม่ยอมเข้าห้องข้าแม้แต่น้อย ข้าจะทวงความยุติธรรม ทวงผลประโยชน์ให้ตัวเองได้อย่างไร เรื่องเหล่านี้ข้าไม่กล้าเขียนในจดหมาย กลัวพวกท่านกังวล แต่ท่านบังคับให้ข้าพูดออกมา”

“อะไรนะ” ไฟโกรธของซุนฮูหยินปะทุขึ้นมา “กูเหยียไม่เข้าห้องของเจ้า มิน่าออกเรือนสองปี ท้องของเจ้ายังไม่มีการเคลื่อนไหว กูเหยียคิดสิ่งใดอยู่ หรือว่าเขาไม่ต้องการบุตรหรือ เขาจะเป็นศัตรูกับตระกูลเยียนหรือ”

เยียนอวิ๋นเพ่ยยิ่งน้อยใจ ขอบตาแดงก่ำ “เริ่มแรก เพราะว่าโรคของข้า ด้านล่างมักไม่สะอาจ กูเหยียรังเกียจความสกปรก ดังนั้นจึงไม่ยอมเข้าห้องข้า ต่อมาข้ารักษาจนหายแล้ว กูเหยียก็หาว่าข้าโง่ ช่วยเหลือเข้าไม่ได้ ทำให้เขาถูกกับดักของเยียนอวิ๋นเกอจนอับอายอย่างมาก เขาแค้นเยียนอวิ๋นเกอ ทำให้แค้นข้าไปด้วย ฮือ ๆ…ท่านแม่ เหตุใดข้าจึงลำบากเพียงนี้!”

“อย่าเพิ่งร้อง อย่าเพิ่งร้อง ระหว่างเจ้ากับกูเหยีย เหตุใดจึงเกี่ยวข้องกับเยียนอวิ๋นเกอ เจ้าบอกข้ามาให้ละเอียด เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่”

เยียนอวิ๋นเพ่ยหยุดน้ำตา บอกเล่าเรื่องทั้งหมดนับแต่มาถึงเมืองหลวงให้ซุนฮูหยินฟัง

ซุนฮูหยินได้ยินว่าเยียนอวิ๋นเกอให้คนเปลื้องผ้าหลิงฉางเฟิงจนหมดตัว แขวนห้อยหัวไว้บนเสาในตลาด นอกจากอับอายแล้ว ยังถูกหลิงฉางจื้อโบก นางก็โกรธจนหน้าบิดเบี้ยว!

“เยียนอวิ๋นเกอกล้าได้อย่างไร นางเอาความกล้ามาจากที่ใด บังอาจลงมือกับคนของตระกูลหลิง”

ซุนฮูหยินโกรธเคือง คำรามราวดับสัตว์ที่ถูกขัง

เยียนอวิ๋นเพ่ยพูดไปร้องไห้ไป “ไม่มีเรื่องที่เยียนอวิ๋นเกอไม่กล้าทำ ข้าได้ยินคนพูดว่า ปีก่อนนางเพิ่งมาถึงเมืองหลวง เป็นแขกขององค์หญิงเฉิงหยางครั้งแรก ก็พังทลายจวนองค์หญิง”

“อะไรนะ นางยังกล้าพังจวนองค์หญิง”

ซุนฮูหยินเหมือนได้ยินเรื่องเหลือเชื่อบางอย่าง

เยียนอวิ๋นเกอพังจวนองค์หญิง เยียนโส่วจ้านรู้

แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องดี เยียนโส่วจ้านย่อมไม่พูด

ดังนั้นซุนฮูหยินจึงได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก

นางถามด้วยสีหน้าฉงน “เยียนอวิ๋นเกอพังจวนองค์หญิง องค์หญิงไม่ลงโทษนางหรือ”

เยียนอวิ๋นเพ่ยส่ายหน้า “ได้ยินว่าท่านป้าใหญ่ออกหน้ากดเรื่องนี้ลง เยียนอวิ๋นเกอไม่เจ็บตัวแม้แต่น้อย อีกทั้งยังเป็นสหายกับคุณหนูของจวนองค์หญิง”

ซุนฮูหยินกัดฟันกรอด โกรธจนหน้าดำหน้าแดง

“รังแกคนเกินไป รังแกคนเกินไปเสียจริง! มิน่าบังอาจวางแผนลอบทำร้ายกูเหยีย ที่แท้มีมารดาที่เป็นองค์หญิงเป็นที่พึ่ง เพียงแต่เหตุใดนายน้อยใหญ่ตระกูลหลิงจึงเฆี่ยนตีกูเหยีย ทั้งๆ ที่กูเหยียเป็นเจ้าทุกข์”

ซุนฮูหยินไม่เข้าใจ นายน้อยใหญ่ตระกูลหลิงไม่ออกหน้าแทนน้องชาย อีกทั้งยังเฆี่ยนตี ไร้เหตุผล!