บทที่ 94 คำถามวัดใจ

บทที่ 94 คำถามวัดใจ

ผู้อาวุโสเหม่ยกล่าวอย่างร่าเริง

หมอจงเกาอี้เขาเป็นผู้มีคุณงามความดี เขาถือว่าเป็นหมอที่ดีคนหนึ่ง ครั้งก่อนไป๋จือหม่ากระโดดลงมาจากตู้ของเขา เท้าของมันลื่นไปโดนโต๊ะกาแฟจนได้รับบาดเจ็บ พวกเราก็เลยพาไปให้หมอจงเกาอี้ช่วยดู โชคดีที่มันไม่เป็นอะไร

ซูเถาเกาคางของไป๋จือหม่า “ซนจริง ๆ นะเรา”

ไป๋จือหม่าส่งเสียงร้องเหมียว แล้วก็ลืมตัวลงนอนข้าง ๆ เธอ เผยให้เห็นหน้าท้องขาว ๆ ของมัน

ผู้อาวุโสเหม่ยกล่าวอีกว่า “ใช่แล้ว ครั้งนี้เขานำหนังสือเกี่ยวกับการผ่าตัดมาด้วย เวลาที่ไม่มีคนไข้ที่คลินิกเขาก็จะพาเฉินซีไปอ่านหนังสือ ฉันว่าเขาคงเห็นแววว่าเฉินซีนั้นเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี แล้วต้องการที่จะเพาะปลูกน่ะ”

ซูเถาหันไปถามจวงหว่าน “จริงเหรอคะ?”

จวงหว่านรู้สึกเขินอายเล็กน้อย “ใช่ หมอจงเกาอี้เป็นนักศึกษาอันดับต้น ๆ ที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยการแพทย์โส่วตูก่อนวันสิ้นโลก หลังจากที่เฉินซีรู้เรื่องนี้ เธอก็เอ่ยปากกับเขาเล่น ๆว่าอยากที่จะเรียนรู้ หมอจงคงทนความตื๊อของเธอไม่ไหว ก็เลยต้องยอมรับ”

ซูเถาได้ยินดังนั้นก็คลี่ยิ้มกว้าง “เฉินซีแกเป็นเด็กที่ฉลาดจริง ๆ เธอรู้วิธีที่จะหาครูให้ตัวเอง”

แถมยังไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกด้วย

อีกหน่อยเฉินซีต้องมีอนาคตที่สดใสแน่ ๆ

ผู้อาวุโสเหม่ยเองก็ชื่นชมเฉินซี และในขณะเดียวกันผู้อาวุโสเหม่ยก็เปลี่ยนเรื่องคุย

“หนูเถา ฉันยังมีโควตาสามสิทธิ์นั่นอยู่ใช่ไหม ฉันอยากให้โควตานั้นกับครอบครัวของอู๋เจิ้น ครอบครัวเขามีสามคน ให้เขาย้ายจากโส่วอันมาที่เถาอยาง เธอลองดูว่า…”

ซูเถารู้สึกประหลาดใจมาก “อู๋เจิ้นตกลงแล้วเหรอคะ?”

ผู้อาวุโสเหม่ยถอนหายใจ “ตกลงแล้ว ตัวเขาน่ะอยากมา แต่กลับทะเลาะกับภรรยาใหญ่โต ทั้งคู่ทะเลาะกันเรื่องนี้มาหลายวัน ในที่สุดเขาก็ขู่ว่าเขาจะมาที่นี่คนเดียว เมื่อภรรยาของเขาได้ยินดังนั้น เธอก็เลยยอมประนีประนอม”

ซูเถานึกถึงทัศนคติของอู๋เจิ้นที่มีต่อโส่วอัน มันมั่นคงมาก แต่กลับเปลี่ยนไปในเวลาไม่ถึงสัปดาห์?

เธอถาม “คุณพูดอะไรกับอู๋เจิ้นเหรอคะ ทำไมเขาถึงยอมตกลง ไม่ใช่ว่าเขาคิดว่าเขามีชีวิตที่ดีในโส่วอันแล้วเหรอ?”

ผู้อาวุโสเหม่ยพูดตามตรง “ฉันก็พูดถึงเรื่องราวของพวกเราในเถาหยาง ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะมาได้ โส่วอันนั้นไม่ได้สงบสุข อยู่กับไอ้พวกกองกำลังแบ่งแยกดินแดนนั่นไม่มีค่าแม้แต่น้อย ฉันกลัวว่าถ้าฉันตายไปฉันจะไม่มีหน้าไปอธิบายให้เพื่อนเก่าของฉันฟังเรื่องลูกชายคนเดียวของเขา”

ซูเถายกนิ้วให้อีกครั้ง “คุณช่วยฉันได้มากเลยค่ะ อู๋เจิ้นไม่ได้บอกคุณเรื่องที่เขามีพลังวิเศษ และมันเป็นพลังที่เป็นที่เราต้องการมาก เขาสามารถเพิ่มผลผลิตของพืชได้อย่างมาก และยังมีประสิทธิภาพอีกด้วย”

“ตอนที่ฉันได้พบกับเขาเป็นครั้งแรก ฉันอยากให้เขาย้ายมาอยู่ที่เถาหยางใจจะขาด อยากจะมอบพื้นที่เพาะปลูกของฉันให้เขาในอนาคต เพื่อที่จะได้ให้ทุกคนได้เก็บเกี่ยวพืชผลที่ดี แต่ฉันก็ยังไม่ทันได้ลงมือเลย คุณก็ทำให้เขาตกลงจะย้ายมาอยู่ที่นี่ได้สำเร็จ ต้องยกความดีความชอบนี้ให้คุณเลยค่ะ”

ผู้อาวุโสเหม่ยไม่รู้เรื่องนี้จริง ๆ ดังนั้นเขาจึงมีปฏิกิริยาตอบกลับโดยการหัวเราะเสียงดัง

“นี่มันคือพรหมลิขิต แต่เขาอาจต้องจัดการอะไรบางอย่างที่โส่วอันก่อน ฉันเดาว่าพวกกองกำลังแบ่งแยกดินแดนคงไม่ปล่อยเขามาง่าย ๆ แน่”

ซูเถาพยักหน้า “ไม่ต้องรีบร้อนค่ะ รอเขาจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน”

……

เมื่อซูเถากลับมาที่ห้องของตัวเอง เธอกวาดสายตามองไปยังการตกแต่งที่คุ้นเคย จากนั้นก็เอนกายลงบนโซฟาตัวนุ่มนิ่มเพื่อพักผ่อน เธอเหนื่อยเหลือเกิน หรือพรุ่งนี้ตอนฟ้าสว่างเธอค่อยไปทำโรงแรมที่ภูเขาผานหลิวดีนะ

เธอถามหลินฟางจือ

“ฟางจือ หลังจากนี้นายมีแผนอะไรหรือเปล่า?”

ตามกฎแล้ว หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ หลินฟางจือต้องกลับไปที่ฝ่ายพลาธิการ แต่ซูเถาอยากจะเลี้ยงดูเขาเพื่อช่วยพัฒนาจิตใจของเขา อยากที่จะเก็บเขาเอาไว้

เธอเคยเกริ่นเรื่องนี้ไปแล้ว และดูเหมือนว่าหลินฟางจือเองก็เต็มใจ ดังนั้นเธอจึงถามความตั้งใจของเขา

กว่าที่หลินฟางจือจะเข้าใจ เขาก็ใช้เวลาสักพัก และค่อย ๆ พ่นคำออกมาสี่พยางค์

“จะอยู่…กับพี่”

ซูเถาหัวเราะออกมา “งั้นดีเลย อีกสองสามวันฉันจะหาครูมาให้นาย พวกเรามาเรียนเรื่องการอ่านการเขียนก่อนดีไหม”

เมื่อหลินฟางจือได้ยินเกี่ยวกับการอ่านการเขียน เขาก็ไม่ได้มีท่าทีต่อต้านเลยแม้แต่น้อย และเขายังดูมีความหวังเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าอย่างแรง

หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีบทสนทนาอะไรต่อ

ตื่นขึ้นมาอีกวันก็เกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว เธอนอนอยู่ในห้องตัวเองแทบไม่อยากลุกเลยด้วยซ้ำ แต่ว่าสายเรียกเข้าจากเผยตง ทำให้เธอต้องใช้พลังงานอย่างมากเพื่อดีดตัวลุกขึ้นมา

“พลตรีสือบอกฉันแล้ว ฉันได้รับอุปกรณ์ทางการแพทย์มาแล้วนะ ต้องยกความดีความชอบนี้ให้เธอด้วย เดี๋ยวฉันจะเข้าไปรับเธอ เธอจะได้มาเลือกบางส่วนเอากลับไปที่เถาหยาง”

“ได้เลย! ฉันพาคนไปด้วยได้ไหม? ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องอุปกรณ์พวกนี้เท่าไหร่ ฉันจะให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นคนไปเลือก”

เผยตงรู้ว่าคนที่เธอหมายถึงคือจงเกาอี้ เธอครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงตอบตกลง

หลังจากวางสาย ซูเถาก็รีบไปอาบน้ำและลงไปที่ชั้นล่าง เธอเรียกจงเกาอี้ซึ่งจะอยู่ตรวจโรคที่เถาหยางเป็นวันสุดท้ายขึ้นรถของเผยตง

ซูเถานั่งอยู่ที่เก้าอี้ด้านหลัง เธอเกาศีรษะและทักทายด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เจอกันนานเลยพี่เผย”

เผยตงพยักหน้า “ร่าเริงเหมือนเดิมนี่ ยินดีด้วยที่เธอกลับมาอย่างราบรื่นและปลอดภัย”

หลังจากพูดจบ เธอก็มองไปที่จงเกาอี้จากกระจกมองหลัง “หมอจง มาอยู่ที่เถาหยางสองครั้งแล้ว เป็นยังไงบ้าง?”

จงเกาอี้รู้ว่าเธอกับกู้เหล่าต้านั้นเป็นศัตรูที่อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงกลัวเล็กน้อย แต่เขาก็ตอบกลับไปว่า

“เถาหยางดีมากเลยครับ เถ้าแก่ซูดูแลต้อนรับเป็นอย่างดี ทำให้ผมรู้สึกขอบคุณมาก”

เผยตงถามออกมาดื้อ ๆ “เถาหยางกับเขตตะวันออกที่ไหนดีกว่า?”

คำถามนี้เป็นเหมือนคำถามวัดใจ ถ้าเขาบอกว่าเถาหยางดีก็เท่ากับว่าเขาทรยศต่อกู้เหล่าต้า ต่อหน้าชาวเถาหยางทั้งสอง ถ้าเขาบอกว่าเขตตะวันออกดีกว่าก็คงไม่เกิดผลดีเป็นแน่

จงเกาอี้เหงื่อออกท่วมศีรษะ และหลังจากนนั้นไม่นานเขาก็พูดออกมาด้วยความจริงใจ

“รองเผย คุณอย่าทำให้ผมลำบากใจเลย ผมเป็นแค่หมอตัวเล็ก ๆ ไม่มีสิทธิ์เลือกหรอกนะ”

เผยตงไม่คิดจะปล่อยเขาไปง่าย ๆ “ฉันแค่อยากฟังความในใจของคุณ”

ความในใจเหรอ?

เมื่อสิ่งนี้บังคับให้เขาต้องเลือก เขาก็ต้องเลือกข้าง

จงเกาอี้ยิ้มอย่างขมขื่น “กู้เหล่าต้าดีกับผมมาก ผมก็ไม่อยากเป็นคนอกตัญญู เถ้าแก่ซูก็มีน้ำใจกับผมมาก ผมเองก็ไม่ใช่คนที่แยกแยะไม่ออกว่าอะไรดีไม่ดี รองเผย ผมคิดว่าที่ที่ผมอยู่ตอนนี้ดีที่สุด”

เขาพอใจมากที่เขาได้มาที่เถาหยางเดือนละสองสามวันทุกเดือน สิ่งที่เขาได้รับมันมากเกินควรแล้ว

เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาตอบ เผยตงก็ส่งเสียงตอบรับในลำคอแล้วไม่ถามอะไรต่ออีก

ซูเถาคงดูแลเขาดีมาก

กู้หมิงฉืออาจไม่ได้ให้ความสนใจกับจงเกาอี้มากนัก คงคิดว่าการรักษาของเขานั้นไม่ค่อยเท่าไหร่

จงเกาอี้สามารถหักหลังกู้หมิงฉือได้ และร่วมมือกับเธอเพื่อทำการรักษาที่ดีขึ้นและได้รับความสนใจมากกว่านี้ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ทำ เพราะกู้หมิงฉือใจดีกับเขา

เธอชอบคนที่รู้วิธีตอบแทนน้ำใจคนและยังมีศีลธรรม คนประเภทนี้สามารถยับยั้งความปรารถนาของตัวเองได้ ถือว่าเขาเป็นผู้ร่วมงานที่ดีคนหนึ่งเลย

แต่น่าเสียดายที่กู้หมิงฉือโชคดีได้ตัวเขาไปเสียก่อน

เมื่อมาถึงที่โกดัง เมื่อจงเกาอี้เห็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ข้างในนั้น เขาก็รู้สึกหายใจติดขัด

ก่อนวันสิ้นโลก สิ่งเหล่านี้มีค่ามาก ไม่ต้องพูดถึงวันสิ้นโลก อุปกรณ์เหล่านี้สามารถยกระดับการแพทย์ของโรงพยาบาลตงหยางได้เป็นอย่างมาก

“พลตรีสือ เป็นคนที่มีความสามารถจริง ๆ…” เขาให้ข้อสรุป

ซูเถาเฝ้าดูอย่างกระตือรือร้นและกระตุ้นเขา “คุณไปเลือกสิ เลือกสิ่งที่เป็นที่ต้องการของเถาหยาง”

จงเกาอี้เป็นมืออาชีพอย่างสมภาคภูมิ เขาพิจารณาแล้วว่าเถาหยางมีเขาคอยตรวจรักษาโรค ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือผ่าตัด เขาเลือกความต้องการด้านอายุรศาสตร์ที่สามารถใช้ที่บ้านได้เป็นหลัก เช่น เครื่องวัดความดันโลหิต เครื่องวัดอุณหภูมิร่างกาย เครื่องกระตุ้นหัวใจ เครื่องช่วยหายใจ เครื่องพ่นละอองยาเป็นต้น

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เป็นอุปกรณ์ฉุกเฉินที่สามารถช่วยชีวิตได้ในช่วงวิกฤติอีกด้วย

เผยตงก็พูดอย่างใจกว้าง “คุณดูว่าอันไหนจำเป็นก็เอาไปได้เลย แล้วเดี๋ยวฉันจะเป็นคนไปบอกหัวหน้าเอง”

ซูเถามองเครื่องมือเหล่านี้บรรทุกเข้าไปในรถแล้วรู้สึกไม่พอใจ

ดูเหมือนว่าต้องขยายคลินิกและควรสร้างห้องฉุกเฉินขึ้นมาก่อน