บทที่ 95 กางพิมพ์เขียว
บทที่ 95 กางพิมพ์เขียว
ท้ายที่สุดก็ต้องใช้รถขนาดเล็กขนอุปกรณ์ทางการแพทย์กลับมาที่เถาหยาง เนื่องจากตอนนี้ยังไม่มีที่วางก็เลยต้องตั้งไว้ที่ชั้นล่างของอาคารสำนักงานชั่วคราว
จงเกาอี้ไม่สามารถผละจากอุปกรณ์เหล่านี้ได้ ฝ่ามือคู่นั้นลูบไปที่อุปกรณ์เหล่านี้ครั้งแล้วครั้งเล่าแล้วพูดกับซูเถา
“ผมไม่ได้เห็นเครื่องมือเหล่านี้มาหลายปีแล้ว ผมเองก็ลืมวิธีการใช้งานไปบ้าง ผมขอศึกษามันก่อนนะ”
แต่เขาก็นึกขึ้นได้ว่า วันพรุ่งนี้เขาต้องกลับไปที่เขตตะวันออก ดังนั้นเขาจึงถอนหายใจแล้วถามว่า
“ผมขอถ่ายรูปไว้ได้ไหม ผมจะเอากลับไปศึกษาที่เขตตะวันออก”
จวงหว่านและเฉียนหลินไม่กล้าเข้าไปด้านในเมื่อเห็นเครื่องมือราคาแพงมากมายวางอยู่ คนงานด้านการเพาะปลูกหน้าใหม่สองคนที่มาด้วยก็ไม่กล้าแม้แต่จะเฉียดเข้าไปใกล้
คนงานคนหนึ่งมองเข้าไปข้างในและถามจวงหว่านด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ผู้จัดการจวง นี่คือเครื่องอะไรเหรอ?”
พวกเขามาอยู่ที่เถาหยางได้เพียงครึ่งเดือน พวกเขาได้เห็นเครื่องจักรต่าง ๆ มากมาย ทั้งเครื่องจำหน่ายอาหาร เครื่องทำน้ำแข็ง เครื่องจำหน่ายของใช้ในชีวิตประจำวันและอื่น ๆ บางครั้งพวกเขาก็ยังได้รับอนุญาตให้นำอาหารจากเถาหยางกลับบ้านมากขึ้น หลังจากที่พวกเขาทำงานแล้วเลิกงานดึก ซึ่งทำให้ญาติและเพื่อนบ้านของพวกเขารู้สึกอิจฉา
แม้ว่าจวงหว่านจะไม่รู้วิธีการใช้เครื่องมือเหล่านี้ แต่เพื่อไม่ให้เป็นการผิดพลาด เธอจึงกางพิมพ์เขียวออก
“ใช้สำหรับการรักษาพยาบาล ในอนาคตเถาหยางจะสร้างโรงพยาบาลของรัฐขนาดใหญ่ จะมีแผนกผู้ป่วยนอก ห้องฉุกเฉิน ห้องผ่าตัด แผนกผู้ป่วยใน เครื่องมือเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องมือพื้นฐานในตอนนี้เท่านั้น”
คนงานทั้งสองตกตะลึง อดไม่ได้ที่อยากจะมาอยู่ที่นี่ ที่เถาหยางมีแพทย์อัจฉริยะเข้ามาทำการตรวจโรคทุกเดือน และพวกเขาก็กำลังจะสร้างโรงพยาบาล ความปลอดภัยของผู้เช่านี้ถือว่าดีมากเลยทีเดียว
เฮ้อ แต่พวกเขาก็เป็นแค่คนงานที่มาทำงานที่ไร่เท่านั้น พวกเขาโชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้เข้ามาทำงานในเถาหยาง แต่การที่จะเข้ามาอยู่…มันคงเป็นเรื่องที่ไกลเกินเอื้อม
หลังจากที่เฉียนหลินได้ยินที่พวกเขาพูด เธอก็เงยหน้าขึ้นทันทีและเรียกซูเถา
“เถ้าแก่ซู ผักกาดแก้วที่เรือนกระจกเก็บได้แล้วนะ คุณอยากไปดูหรือเปล่า?”
ซูเถาได้ยินดังนั้นเธอก็รีบหันศีรษะมาทันที ตั้งแต่เธอกลับมาเธอยังไม่เคยไปดูเรือนกระจกเลย
จากนั้นเฉียนหลินก็แนะนำคนงานทั้งสอง
ทั้งสองไม่เคยพบกับซูเถามาก่อน ทั้งคู่งุนงงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเธอเป็นเพียงหญิงสาวที่เพิ่งเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นตามข่าวลือ เธอยังเด็กเกินไป..แต่ดูเหมือนว่าผู้จัดการจวงและหัวหน้าเฉียนจะค่อนข้างเชื่อมั่นในตัวเธอ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่สามารถตัดสินคนจากภายนอกได้
เมื่อถึงห้องเรือนกระจก ซูเถาเห็นแถวของผักสีเขียวขนาดเล็กด้วยตาของเธอเอง ดูเหมือนว่าเธอจะมีพลังขึ้นมาอย่างน่าตกใจ
คนงานแซ่ซ่งเก็บผักใส่ตะกร้าแล้วมอบให้ซูเถา
ซูเถารับเอาไว้ ผักกาดแก้วที่ปลูกเอาไว้มีสีเขียวและสดมาก มีใบใหญ่โดยที่ยังมีหยดน้ำเกาะอยู่ตามใบ…มันดูน่ากิน จนเธออดไม่ได้ที่จะชื่นชม
“งามมาก เดี๋ยวฉันจะเอาผักตะกร้านี้ไปให้คุณย่าเฉินก่อน ให้เธอช่วยทำผัดผักน้ำมันหอยให้ทุกคนได้ลองชิมกัน ช่วงนี้ทุกคนทำงานหนัก เดี๋ยวคืนนี้ฉันจะเลี้ยงไอศกรีมทุกคนเอง”
ทุกคนยิ้มเมื่อได้ยินเถ้าแก่พูดว่าจะตอบแทนด้วยการเลี้ยงไอศกรีม
ใบหน้าของเฉียนหลินเต็มไปด้วยความอิ่มเอม
“เป็นเพราะมีสภาพแวดล้อมที่ดี ห้องเรือนกระจกของเราเทียบเท่ากับโรงเรือนเพาะปลูก แถมยังมีเครื่องปรับอากาศส่วนกลางอีกด้วยเพื่อช่วยปรับอุณหภูมิ ซึ่งช่วยแก้ปัญหาอุณหภูมิสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เช่นนั้นเราคงไม่สามารถปลูกผักกาดแก้วชุดแรกได้เร็วและผลลัพธ์ดีขนาดนี้”
“อีกเดี๋ยวผักปลังและผักบุ้ง ที่เพาะปลูกในชุดแรกก็จะเก็บเกี่ยวได้แล้ว อ้อ เงินที่เบิกมา 100,000 เหลียนปังครั้งที่แล้ว ฉันใช้ไปไม่ถึง 60,000 เหลียนปัง เดี๋ยวฉันจะโอนส่วนที่เหลือให้คุณหรือผู้จัดการจวง”
ซูเถาชื่นชมเธอจริง ๆ หลังจากซื้อของไปมากมาย ก็ยังเหลือเงิน 40,000 กว่าเหลียนปัง
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณเก็บไว้เป็นทุนของทีมเถอะ ถ้ามีความต้องการอย่างอื่นก็บอกฉันได้นะคะ ในอนาคตถ้ามันต้องใช้จ่ายอะไรก็ใช้ได้เลยค่ะ อย่าเกรงใจ”
เมื่อเฉียนหลินได้ยินคำพูดเหล่านี้ เธอก็รู้สึกสบายใจจริง ๆ เถ้าแก่ที่คิดถึงผู้อื่นเสมอ ทำให้เธอมีเรี่ยวแรงในการทำงาน
ซูเถายังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “มีอีกเรื่องหนึ่งค่ะ อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เราจะมีผู้ที่มีพลังเหนือธรรมชาติด้านเวทพฤกษา เขาสามารถเพิ่มผลผลิตพืชผักของเราได้เป็นอย่างมาก ฉันคิดว่าจะให้คุณมาช่วยควบคุมคนและช่วยจัดการในสิ่งต่าง ๆ ส่วนเขาก็จัดการในเรื่องพืชพรรณสีเขียวทั้งหลาย คุณคิดว่ายังไงคะ?”
เฉียนหลินไม่อยากจะเชื่อเมื่อเธอได้ยินว่าจะมีคนที่มีพลังเหนือธรรมชาติด้านเวทพฤกษามา เธอตกตะลึงไปครู่หนึ่งและพยักหน้าทันที
“ดีมากเลย! คุณไปเจอคนที่มีพรสวรรค์แบบนี้มาจากที่ไหน พระเจ้า”
ตอนแรกซูเถากลัวว่าเฉียนหลินจะคิดมาก โดยคิดว่าคนที่มีพลังเหนือธรรมชาตินั้นจะมาแย่งงานในมือเธอ แต่ดูจากการแสดงออกของเธอ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้คิดอย่างนั้น ตรงกันข้ามเธอมองเห็นแต่การพัฒนาหลังการเพาะปลูกมากกว่าจะมาคิดเล็กคิดน้อยอะไรแบบนี้
ซูเถาหัวเราะออกมา “เป็นผู้อาวุโสค่ะที่เป็นคนหา งั้นรอเขามาแล้ว ฉันรบกวนคุณให้ช่วยแนะนำด้วยนะคะ เหนื่อยหน่อยนะคะ”
เฉียนหลินส่ายหัว “มันเป็นสิ่งที่พวกเราควรทำอยู่แล้ว ไม่ลำบากอะไร ถ้าพูดถึงการทำงานหนักก็พวกของเสี่ยวซ่งนั่นแหละ พวกเขาดูแลมันทั้งวัน ทั้งกลางวันและกลางคืน”
ทั้งสองคุยกันสักพักในห้องเรือนกระจก กว่าจะพูดคุยเสร็จก็จวนจะถึงเวลากินข้าวแล้ว
เฉียนหลินไปที่โรงอาหารกับคนงานทั้งสี่อย่างมีความสุข ทุกคนรอคอยที่จะได้กินไอศกรีมและผัดผักน้ำมันหอยในตอนเย็น
ซูเถากลับไปให้อาหารเจ้าพวกขนปุกปุยก่อนแล้วค่อยตามไป แต่ทันทีที่เธอมาถึงอาคารที่พัก เธอก็ได้ยินเสียงคุณย่าเฉินร้องไห้พร้อมกับสาปแช่ง
“ให้ตายเถอะ ไอ้พวกหัวขโมย! แกกล้าขโมยผักที่เพิ่งเก็บมาใหม่ได้ยังไง ที่คือผักที่ทุกคนใช้เวลาหลายเดือนในการปลูก เฝ้าดูพวกมันเติบโต! ฉันขอให้แกกินเข้าไปแล้วท้องเสีย”