ตอนที่ 355 – ปล้น
นี่เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางเหนือของอวิ๋นจงแห่งหนึ่ง กำแพงเมืองขาวดุจหิมะทั้งผืน สร้างขึ้นจากหินขาวที่พิเศษชนิดหนึ่ง สิ่งปลูกสร้างที่เรียงรายเป็นแถวในเมืองล้วนเป็นอาคารศิลาโดยไม่มีข้อยกเว้น
ใต้ฟ้าครามกระจ่างใส เมืองที่ประดุจหิมะ ขาวอย่างกระจ่าง ครามอย่างหมดจด โม่เทียนเกอมองดูทิวทัศน์อันงดงามเบื้องหน้า อดทอดถอนใจมิได้ มิน่าเล่าเมืองนี้เรียกว่าเมืองเทียนเสวี่ย* ฟ้าครามหิมะขาว ขนานนามตามความเป็นจริง
“ผู้อาวุโสท่านนี้ ต้องการแผนที่ไหมขอรับ แผนที่โดยละเอียดของเมืองเทียนเสวี่ย รวมถึงถ้ำพำนักที่ผู้ฝึกตนสามารถเช่าพักได้ทั้งหมด แล้วก็ตำแหน่งของตลาด”
“ผู้อาวุโส ท่านจะเสาะหาคนหรือว่าท่องเที่ยว ต้องการคนนำทางไหม”
“ผู้อาวุโส……”
พอออกจากม่านพลังเคลื่อนย้าย โม่เทียนเกอก็ถูกคนหนึ่งกลุ่มรุมล้อม แนะนำสินค้าทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้ฝึกตนที่ไป ๆ มา ๆ มากยิ่ง ถึงโดยมากจะเป็นผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณก็ยังทำให้นางรู้สึกทอดถอน อวิ๋นจงนี้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของการฝึกเซียนโดยแท้ ถึงไม่ใช่เมืองฝึกเซียนอย่างเมืองคุนจงก็ยังมีบรรยากาศเช่นนี้
สุดท้าย นางเพียงซื้อแผนที่ของเมืองเทียนเสวี่ยหนึ่งฉบับแล้วจึงไล่คนอื่นไป
ถึงเมืองเทียนเสวี่ยจะไม่ใช่เมืองหลวงของอาณาจักรตงถังแต่ก็เป็นเมืองใหญ่ บนแผนที่จดไว้ว่าเมืองนี้มีประวัติความเป็นมานับหมื่นปี เพราะละแวกใกล้เคียงมีภูเขาหินขาวหนึ่งลูก และใช้หินขาวมาสร้างเมือง เมืองประดุจหิมะ จึงชื่อว่าเมืองเทียนเสวี่ย
กล่าวกันว่าหินขาวของเมืองเทียนเสวี่ยนี้แข็งแกร่งไร้ที่เปรียบ มีคุณสมบัติดุจหยก มีความสามารถรวบรวมพลังวิญญาณ ถึงจะห่างกันไกลกับศิลาวิญญาณ แต่ก็ดีกว่าไม่มี ด้วยเหตุนี้เมืองนี้มีผู้ฝึกตนระดับกลางและต่ำจำนวนมากพักอาศัย พวกเขาเรียกหินขาวนี้ว่าศิลาวิญญาณขาว พูดล้อเล่นว่าเรือนที่ตนเองพักอาศัยเป็นเรือนศิลาวิญญาณ น่าสนใจยิ่ง
ในเวลาเดียวกัน โม่เทียนเกอก็ค้นพบว่าตัวเมืองเทียนเสวี่ยนี้มีเส้นเลือดวิญญาณที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กหนึ่งเส้น ผนวกกับความสามารถของศิลาวิญญาณขาว ถึงจะไม่พอทำเป็นที่ตั้งของสำนัก แต่เป็นแดนสุขาวดีของผู้ฝึกตนอิสระมากมาย มิน่าเล่าเมืองนี้มีผู้ฝึกตนอิสระมารวมตัวกันมากขนาดนั้น
ออกจากสถานีสำนักเทียนเหยี่ยนที่ม่านพลังเคลื่อนย้ายตั้งอยู่ โม่เทียนเกอใคร่ครวญชั่วขณะ ตัดสินใจไปหาที่พักเท้าก่อน
ห้าสำนักใหญ่อาณาจักรตงถัง หุบเขาเบญจธาตุอยู่ชนบทห่างไกล โรงเรียนผูฝ่าตั้งอยู่ทิศตะวันตก โรงเรียนจิ้งซวีอยู่ใกล้เมืองหลวง สำนักตานเสียอยู่ทิศเหนือ สำนักจิ่วเยี่ยนพอดีห่างเมืองเทียนเสวี่ยไม่ไกล
มาถึงอวิ๋นจง จุดประสงค์หลักของโม่เทียนเกอคือท่องเที่ยว จุดประสงค์รองคือไปสำนักตานเสียสืบถึงต้นตอ เสาะหาร่องรอยของโม่เหยาชิง รวมทั้งตำราทั้งหมดของศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ แต่ว่า สำนักตานเสียถึงอย่างไรเป็นสำนักใหญ่อวิ๋นจง โม่เหยาชิงยังเป็นคนทรยศ ไปถามตรง ๆ ไม่ฉลาด ได้แต่ค่อย ๆ คลำทาง วางแผนช้า ๆ
ดังนั้น สถานการณ์ในขณะนี้ไม่สู้พักอยู่ที่เมืองเทียนเสวี่ยไปก่อน ติดต่อกับคนของสำนักจิ่วเยี่ยน ไต่ถามสถานการณ์ของสำนักตานเสียสักหน่อย แล้วค่อยวางแผนต่อไป
เมืองเทียนเสวี่ยเดิมสร้างขึ้นอิงภูเขา ทั้งเมืองอาศัยเขาหินขาว ไม่ว่าจะเป็นกำแพงเมืองหรือว่าบ้านเรือนล้วนเป็นวัสดุพื้นเมือง ด้วยเหตุนี้ทิศทางของเมืองก็สูงต่ำไม่สม่ำเสมอ
โม่เทียนเกอเดินขึ้นไหล่เขาไปตามแผนที่ บนแผนที่นี้บอกว่าเมืองเทียนเสวี่ยส่วนใหญ่เป็นที่ดินของสกุลหลิงตระกูลฝึกเซียนที่ใหญ่ที่สุดของสำนักจิ่วเยี่ยน สกุลหลิงตั้งอยู่บนยอดเขาหินขาว ยึดครองพื้นที่ที่พลังวิญญาณหนาแน่นที่สุด ใต้ยอดเขาถูกพัฒนาเป็นถ้ำพำนักมากมาย ถ้ำพำนักเหล่านี้มีใหญ่มีเล็ก พลังวิญญาณหลากหลาย เอาไว้ปล่อยเช่า ผู้ฝึกตนอิสระที่มาเมืองเทียนเสวี่ยไม่ว่าจะอยู่นานหรือว่าพักชั่วคราวล้วนจะเช่าถ้ำพำนักจากสกุลหลิง
เดินขึ้นไหล่เขาไปได้ครึ่งทาง โม่เทียนเกออ่านแผนที่ ทำตามที่แผนที่ระบุ เลี้ยวซ้าย
เขาหินขาวลูกนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นภูเขาเหมือง พืชพรรณน้อยยิ่ง มีเพียงดินเหลืองปริมาณน้อยรวมทั้งพุ่มไม้ที่ทนแล้งจำนวนหนึ่ง โม่เทียนเกอคิดว่าผู้ฝึกตนของเมืองเทียนเสวี่ยนี้น่าจะค่อนข้างขาดแคลนโอสถกระมัง ไม่รู้ว่าพวกเขาใช้วัตถุใดหลอมยา?
กำลังเดินอยู่ จู่ ๆ สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณ โม่เทียนเกอขยับสายตา มุ่งหน้าต่อไปเสมือนไร้เรื่องราว
ตอนที่เดินผ่านพุ่มไม้หย่อมหนึ่ง เหนือศีรษะจู่ ๆ พลังวิญญาณสั่นไหว ตาข่ายสีทองหนึ่งอันตกคลุมศีรษะ ครอบนางไว้อย่างแน่นหนาในพริบตา
“ฮา ๆๆๆ!” เมื่อเห็นว่านางถูกตาข่ายทองครอบไว้จนขยับเขยื้อนไม่ได้ ผู้ฝึกตนสองคนเลี้ยวออกมาจากหลังหินภูเขา คนหนึ่งในนั้นหัวเราะลั่น “พี่ใหญ่ ข้าบอกแล้วว่าไม่มีใครหนีพ้นแหฟ้าตาข่ายดินของพวกเราได้ เป็นอย่างไร”
ผู้ฝึกตนสองคนนี้ล้วนอยู่ระดับสร้างฐานพลัง คนหนึ่งบนใบหน้าหนวดเครายุ่งเหยิง มองรูปลักษณ์ได้ไม่ชัด อีกคนหนึ่งสายตาล่อกแล่ก แลดูต่ำช้ายิ่ง เขาเป็นคนที่พูด คนแรกอยู่สร้างฐานพลังขั้นกลาง คนหลังสร้างฐานพลังขั้นต้น
บุรุษตัวใหญ่ที่หนวดเครายุ่งเหยิงนั้นกลับรอบคอบถึงสิบส่วน ขมวดคิ้วเอ่ยเตือนว่า “อย่าได้ลำพอง คนผู้นี้ระดับการฝึกตนเทียบกับพวกเราแล้วยังสูงกว่า”
“สูงอีกแค่ไหนก็ยังทำลายแหฟ้าตาข่ายดินไม่ได้มิใช่หรือ” บุรุษต่ำช้าหัวเราะฮี่ ๆ จ้องมองโม่เทียนเกอที่ถูกตาข่ายสีทองขังไว้ แลบลิ้นเลียริมฝีปาก “พี่ใหญ่ สตรีนางนี้หน้าตายังไม่เลว ท่านดู……”
“อย่าพูดไร้สาระ!” วาจาเขายังไม่ได้พูด บุรุษตัวใหญ่ไว้หนวดก็ดุว่า “พวกเราขวางทางปล้นชิงที่นี่เดิมเป็นเรื่องจนใจ ได้เงินมาก็พอแล้ว เจ้าลืมศีลแล้วหรือ”
“ศีล?” บุรุษต่ำช้าร้องหึอย่างเหยียดหยาม ไม่พอใจถึงสิบส่วน “พี่ใหญ่ ท่านลืมว่าพวกเราถูกไล่ออกมาแล้วหรือ ตอนนี้พวกเราเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ศีลเกี่ยวอะไรกับพวกเรา”
บุรุษตัวใหญ่ไว้หนวดสายตาไหววูบ เอ่ยเสียงเข้มอีกว่า “ไม่ว่าจะถูกไล่ออกมาหรือไม่ หากพวกเรายังคิดจะฝึกตนต่อไปก็ไม่สามารถลืมศีล! หรือว่าเจ้าไม่กลัวจิตมารของก่อเกิดตาน”
ได้ยินประโยคนี้ บุรุษต่ำช้านั้นในที่สุดถูกโน้มน้าวแล้ว เอ่ยอย่างไม่เต็มใจว่า “เอาล่ะ ๆ ข้ารู้แล้ว!” พูดจบก็เห็นโม่เทียนเกอที่อยู่ในตาข่ายสีทองดิ้นรน เขาหยีตาหัวเราะฮี่ ๆ ล้อเลียนว่า “ข้าว่านะกูเหนียงท่านนี้ เจ้าอย่าดิ้นรนเลย นี่คืออาวุธเวทแหฟ้าตาข่ายดิน! ถึงระดับการฝึกตนเจ้าจะสูงกว่าพวกเรา แต่อยู่ในแหฟ้าตาข่ายดินแล้วก็เหมือนกับคนรอเชือด!”
โม่เทียนเกอได้ยินแล้วก็หยุดลง สายตาทอดมองสองคนนี้อย่างเย็นชา “พวกเจ้าจะเอาอย่างไร”
“เอาอย่างไร?” บุรุษต่ำช้าลูบเคราแพะ จ้องหน้าของโม่เทียนเกอ สายตาละโมบ “ส่งกระเป๋าเอกภพออกมา!”
โม่เทียนเกอไม่ขยับ เพียงมองดูพวกเขา
เห็นนางครึ่งค่อนวันแล้วยังไม่ขยับเขยื้อน บุรุษต่ำช้ารอจนหมดความอดทน ดึงปมตาข่ายในมือ “เร็วหน่อย ไม่อย่างนั้นเจ้านายท่านนี้จะปล้นตัวเจ้าไปด้วย!”
“ซือตี้!” เขาเพิ่งพูดจบ บุรุษตัวใหญ่ไว้หนวดนั้นก็ตะโกน เลิกคิ้วถลึงตาใส่เขา
บุรุษต่ำช้าอ่อนลงภายใต้สายตาของเขา พึมพำว่า “เอาล่ะ ๆ ข้ารู้แล้ว”
บุรุษตัวใหญ่ไว้หนวดนั้นมองไปทางโม่เทียนเกอ น้ำเสียงอ่อนโยน “สหายเต๋าท่านนี้ ข้ากับซือตี้ทำเรื่องเลวนี้เพราะไม่มีทางเลือกจริง ๆ ข้าสามารถรับประกันว่าจะไม่ทำร้ายท่าน”
โม่เทียนเกอมองบุรุษตัวใหญ่ไว้หนวดนี้ ยิ้มเย็นชา “พวกเจ้าอยากได้กระเป๋าเอกภพของข้ากับต้องการชีวิตของข้าจะแตกต่างกันอันใด สำหรับผู้ฝึกตน ความสำคัญของกระเป๋าเอกภพใต้เท้ามิใช่ไม่รู้กระมัง”
บุรุษตัวใหญ่ไว้หนวดได้ยินแล้วหมดคำพูด ผ่านไปพักหนึ่งจึงได้กล่าวว่า “เช่นนั้นท่านส่งศิลาวิญญาณมาก็ได้”
โม่เทียนเกอมองคนผู้นี้ อดหรี่ตาไม่ได้ “เพียงต้องการศิลาวิญญาณ หรือท่านไม่กลัวว่าหลังจากปล่อยข้าแล้วจะฆ่าท่านทิ้งหรือ”
บุรุษตัวใหญ่ไว้หนวดส่ายหน้า “นี่……พวกเรามีวิธีการของเรา”
“พี่ใหญ่ จะพูดกับนางมากขนาดนี้ทำอะไร ถึงอย่างไรก็ทำไปแล้ว” บุรุษต่ำช้าตัดบทสนทนาของพวกเขาอย่างหมดความอดทน แววตาที่มองโม่เทียนเกอเผยประกายอำมหิต “พี่ใหญ่ข้าพูดเก่ง ข้ากลับพูดไม่เก่ง ถ้าเจ้ายังไม่ส่งศิลาวิญญาณออกมาก็จะให้เจ้าลิ้มลองความเจ็บปวดนิดหน่อย” ว่าแล้วดึงปมตาข่ายในมือ
โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว รู้สึกเพียงว่าสถานที่ที่ถูกตาข่ายทองครอบคลุมบนร่างเจ็บปวด นางประหลาดใจอยู่บ้าง เจิ้นหยางซือป๋อบอกว่าอาวุธเวทของผู้ฝึกตนอวิ๋นจงควบคุมพลังวิญญาณเป็นส่วนใหญ่ คิดไม่ถึงว่าเพียงผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังสองคน บนมือถึงกับมีอาวุธเวทที่ควบคุมพลังวิญญาณนี้ด้วย
“ซือตี้!” บุรุษตัวใหญ่ไว้หนวดตะโกนขึ้นมาอีก
“พี่ใหญ่!” บุรุษต่ำช้าเอ่ยอย่างไม่มีความสุข “ในเมื่อพวกเราตัดสินใจว่าจะทำเรื่องอย่างนี้แล้ว ไยจึงต้องหดหัวหดหาง นี่มีความหมายอะไรหรือ”
บุรุษตัวใหญ่ไว้หนวดได้ยินแล้ว สายตามืดมนลง ก้มหน้าไม่พูดจา
สายตาของโม่เทียนเกอมองสลับสองคนหนึ่งรอบ ถามว่า “พวกเจ้าสองคนเหตุใดจึงซุ่มโจมตีอยู่ที่นี่ ที่นี่มิใช่ทางผ่านไปสกุลหลิงหรือ คิดว่าผู้สัญจรน่าจะไม่น้อย ไม่กลัวถูกคนอื่นทำลายเรื่องหรือ” นี่ก็คือสิ่งที่นางประหลาดใจ นางติดอยู่นี่นานขนาดนี้แล้วถึงกับไม่มีคนมาเลย
“สกุลหลิง? ฮ่า ๆ!” บุรุษต่ำช้าฟังคำถามนางแล้วก็หัวเราะอย่างภาคภูมิใจ เอ่ยว่า “คนโง่บนโลกนี้มากจริง ๆ ใครบอกว่าเส้นทางนี้นำไปสู่สกุลหลิง”
โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว เอ่ยช้า ๆ ว่า “แผนที่ฉบับนั้นเป็นของปลอม?”
“เจ้ายังไม่ได้โง่จนเกินไปนี่!” บุรุษต่ำช้าหัวเราะจนตาหยี “ความคิดนี้ไม่เลวเลยกระมัง แพะอ้วนที่มาถึงเมืองเทียนเสวี่ยใหม่ ๆ ผู้ฝึกตนตัวคนเดียวโดดเดี่ยว ขอเพียงทำลูกเล่นนิดหน่อยบนแผนที่ย่อมจะผ่านมา”
โม่เทียนเกอสีหน้ามืดครึ้มลง “พวกเจ้า……”
“ส่งกระเป๋าเอกภพออกมาเร็ว!” บุรุษต่ำช้าหมดความอดทน ร้องตะโกน “ยังไม่ส่งอีกข้าจะไม่เกรงใจแล้วนะ!”
“ไม่เกรงใจ? ข้าก็อยากเห็นว่าพวกเจ้าจะไม่เกรงใจอย่างไร!” ท่ามกลางสายตาของสองคนนี้ โม่เทียนเกอโบกแขนเสื้อ พลังวิญญาณทั่วร่างปั่นป่วน ทันใดนั้นแรงกดดันของผู้ฝึกตนก่อเกิดตานแผ่ขยายออกมา ตาข่ายทองที่ครอบบนร่างนางยกตัวขึ้นโดยไร้ลม
บุรุษตัวใหญ่ไว้หนวดเห็นแล้วก็ตะลึงอย่างหนัก ตะโกนว่า “ท่านเป็นระดับก่อเกิดตาน……”
บุรุษต่ำช้าหลังจากอึ้งไปก็รีบทำศาสตร์มุทรา อยากจะรวบปากตาข่ายทอง
โม่เทียนเกอร้องหึเสียงเย็น ยกมือขึ้นเบา ๆ บุรุษต่ำช้านี้สัมผัสได้ทันทีถึงแรงกดดันอันกล้าแข็งที่ถ่ายทอดมาจากอีกปลาย สีหน้าแดงกล่ำขึ้นมาทันที เหงื่อเม็ดเท่าถั่วเขียวหลั่งออกมา
“ผู้อาวุโส!” บุรุษตัวใหญ่ไว้หนวดตะโกน ไม่กล้าขึ้นหน้า ล้วงกระเป๋าเอกภพของตนเองออกมา “ผู้อาวุโส โปรดปล่อยซือตี้ของจ้ายเซี่ย จ้ายเซี่ยยินดีจะมอบทรัพย์สมบัติทั้งหมด!”
โม่เทียนเกอเหลือบมองบุรุษตัวใหญ่นี้แวบหนึ่ง เขาชาญฉลาด รู้ว่าไม่อาจต่อต้าน ขอความเมตตาทันที น่าเสียดายที่สายเกินไปแล้ว โม่เทียนเกอเพียงมองเขาแวบหนึ่ง ภายใต้พลังวิญญาณที่ปั่นป่วน ปลายแขนเสื้อนางพริ้วโดยไร้ลม หมัดขวากางแล้วกำ บุรุษต่ำช้าร้อง “อ๊าก” จับตาข่ายทองในมือไม่อยู่ มองดูตาข่ายนี้ถูกนางรับเข้าไปในมือตาปริบ ๆ
บุรุษต่ำช้าตกตะลึงจนสูญเสียปฏิกริยาไปแล้ว โม่เทียนเกอชิงชังคำพูดหยาบคายที่เขาเพิ่งพูดก็เลยไม่ยั้งมือไว้ไมตรี พลังวิญญาณในมือควบรวม หนึ่งฝ่ามือซัดออกไป!
“อ๊าก!” เสียงร้องอย่างอนาถ บุรุษต่ำช้าปลิวออกไปกระแทกบนหินภูเขาหนึ่งก้อน ศีรษะเอียงพับ คนทั้งคนตกลงบนพื้นเบา ๆ สิ้นลมหายใจไปแล้ว
“ซือตี้!” บุรุษตัวใหญ่ไว้หนวดเบิกตากว้าง โถมตัวไป พบว่าลมหายใจเขาขาดห้วงแล้ว ตะลึงคาที่ทันที
ผ่านไปพักหนึ่ง เขาหันขวับมองมาทางโม่เทียนเกอ “ท่าน……”
“เป็นไร เจ้าคิดจะล้างแค้นหรือ” เห็นคนผู้นี้สองตาเผยประกายอำมหิต โม่เทียนเกอเลิกคิ้ว ถาม
คนผู้นี้ตะลึงไปก่อน จากนั้นใบหน้าเผยแววเศร้าโศก คนทั้งคนห่อเหี่ยวลงไป ผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน เขาเป็นแค่สร้างฐานพลังขั้นกลางตัวเล็ก ๆ จะล้างแค้นอย่างไร
มองดูท่าทีของคนคนนี้ โม่เทียนเกออดรู้สึกพิลึกไม่ได้ ฟังจากคำพูดเมื่อครู่นี้ของพวกเขา สองคนนี้นิสัยไม่เหมือนกันเลย เหตุใดกลับมาทำเรื่องชั่วอย่างขวางทางปล้นชิงด้วยกันเล่า เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนประหลาด สรุปว่าเป็นเรื่องอันใด
…………………………………..
*เมืองเทียนเสวี่ย เทียนแปลว่าท้องฟ้า/สวรรค์ เสวี่ยแปลว่าหิมะ