ตอนที่ 356 – เช่าถ้ำพำนัก

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 356 – เช่าถ้ำพำนัก

บุรุษตัวใหญ่ไว้หนวดนี้กอดสหาย ร้องไห้โฮ

โม่เทียนเกอมองบุรุษที่รูปร่างสูงหนานี้ร้องไห้อย่างอเนจอนาถ ความรู้สึกประหลาดในใจยิ่งมากขึ้น คนสองคนนี้สรุปว่ามีความสัมพันธ์อะไรกัน นิสัยไม่เหมือนกันอย่างเห็นได้ชัด แต่ดันมีความรู้สึกที่ดีต่อกันอย่างยิ่งยวด อีกอย่าง ยังมีศีลอะไรนั่น……

บุรุษตัวใหญ่นี้ร้องไห้ไปพักหนึ่ง มองเห็นโม่เทียนเกอ เช็ดใบหน้าอย่างท้อแท้ “ผู้อาวุโสอยากฆ่าก็ฆ่าเถอะ เป็นพวกเราที่ล่วงเกินผู้อาวุโสก่อน ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ได้แต่โทษที่พวกเราไม่รักษาศีล และยังไม่รู้จักผู้คน”

โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว มองดูบุรุษตัวใหญ่ไม่พูดจา

ผ่านไปพักใหญ่ บุรุษตัวใหญ่นี้เห็นนางไม่มีเจตนาจะลงมือก็เงยหน้ามองนาง แววตาไม่เข้าใจ “ผู้อาวุโส……”

“เจ้าเป็นผู้ฝึกพุทธ?” โม่เทียนเกอถามขึ้นปุบปับ

บุรุษตัวใหญ่นี้เกิดความลังเลวูบขึ้นในดวงตา นิ่งไปครู่หนึ่ง ในที่สุดยังคงพยักหน้า “ขอรับ ผู้เยาว์เป็นผู้ฝึกพุทธ……”

ไม่ผิดไปจริง ๆ ที่อวิ๋นจง ผู้ฝึกพุทธกับผู้ฝึกเต๋าไม่เหมือนกัน พวกเขามีศีลที่เข้มงวดกว่า เพียงแต่ว่า นางรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ บุรุษต่ำช้านั้นก็ช่างเถอะ บุรุษตัวใหญ่นี้เห็น ๆ อยู่ว่าเก็บศีลไว้ในใจตลอดเวลา เหตุใดกลับมาขวางผู้สัญจรด้วยกันกับเขาเล่า

“ในเมื่อเจ้าเป็นผู้ฝึกพุทธ เหตุใดกลับปลอมเป็นผู้ฝึกเต๋าแล้วยังมาปล้นที่นี่ ข้าเป็นคนแรกที่พวกเจ้าปล้นหรือ”

ได้ยินคำถามนี้ บุรุษตัวใหญ่นี้เงียบไป ผ่านไปพักหนึ่ง ยิ้มขมเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส เรื่องนี้เป็นความลับของข้า เป็นสิ่งที่ตัดสินใจว่าจะไม่พูดออกจากปาก ท่านเป็นคนแรกที่พวกเราปล้นจริง ๆ พวกเราจ้างเด็กน้อยหนึ่งคนให้ขายแผนที่ที่ม่านพลังเคลื่อนย้าย หากเห็นคนไหนเข้าตาก็จะร้องให้เขาขายแผนที่ที่วางอุบายให้คนคนนั้น…… ใครจะรู้ว่าคนแรกพวกเราก็ตาบอดแล้ว เป็นบาปกรรมที่ทำตัวเองโดยแท้”

พูดถึงตรงนี้ เขาถอนหายใจอย่างหดหู่ “ผู้อาวุโส ท่านอยากจะฆ่าก็ฆ่าเถอะ ข้าไม่มีอะไรจะพูด”

แต่เขาหลับตาอยู่เนิ่นนาน เพียงรอจนได้คำถามข้อหนึ่งจากโม่เทียนเกอ “สกุลหลิงไปทางไหน”

บุรุษตัวใหญ่นี้ลืมตา มองโม่เทียนเกออย่างว่างเปล่า “ท่าน…… ไม่ฆ่าข้า?”

โม่เทียนเกอมองดูเขา สีหน้าสงบนิ่ง ย้ำอีกรอบว่า “สกุลหลิงไปทางไหน”

“ทางนั้น……” เขาชี้นิ้วไปยังเสนทางด้านขวาอย่างว่างเปล่า

โม่เทียนเกอพยักหน้า หมุนตัวเดินไป

“ผู้อาวุโส?! ” บุรุษตัวใหญ่นี้ตะโกนไล่หลังนาง

โม่เทียนเกอหยุดลง สายตาเย็นเยียบ “ทำไม อยากให้ข้าฆ่าเจ้าหรือ”

บุรุษตัวใหญ่รีบส่ายหน้า เอ่ยว่า “แหฟ้าตาข่ายดินอันนั้น……”

โม่เทียนเกออดยิ้มไม่ได้ “หรือว่าเจ้ายังอยากจะได้กลับไป”

“……” บุรุษตัวใหญ่เงียบไป รู้ว่าตนเองกำลังฝันเฟื่อง พวกเขาขวางทางปล้นชิงไปถึงศีรษะของผู้อาวุโสก่อเกิดตาน คนเขาไม่ฆ่าเขาก็ดีแล้ว ยังจะสามารถคืนอาวุธเวทให้เขาได้อย่างไร

เพียงแต่ หากสูญเสียชีวิตก็ช่างเถอะ เขาจะไม่คิดอะไรทั้งนั้น เผอิญว่าตอนนี้ซือตี้ตายแล้ว แหฟ้าตาข่ายดินสูญเสียแล้ว เขากลับเหลือชีวิตอยู่หนึ่งชีวิต…… เขาจะบอกกล่าวซือจุน* ได้อย่างไร

ไม่ได้ เขาไม่สามารถจะซังกะตายอย่างนี้ต่อไป อย่างน้อยต้องกลับไป กลับไปเขาไป๋ฝู ทอดมองแผ่นหลังของโม่เทียนเกอที่หมุนตัวจากไป สายตาของบุรุษตัวใหญ่ค่อย ๆ กลายเป็นกระตือรือร้นขึ้นมา

หันกลับไปทางที่ถูกต้อง โม่เทียนเกอล้วงตาข่ายทองออกมาจากในแขนเสื้อ มองดูโดยละเอียด ตาข่ายนี้ถักขึ้นจากเส้นลวดสีทองที่ไม่ทราบชื่อ ละเอียดประณีต เบาดุจไร้วัตถุสิ่งของ พลังวิญญาณที่ติดอยู่ด้านบนพิสดารมาก ไม่เหมือนกับพลังวิญญาณของผู้ฝึกเต๋าอย่างใหญ่หลวง หรือว่าเป็นพลังพุทธ?

คิดอยู่ครู่หนึ่ง นางส่ายศีรษะ เอาตาข่ายทองนี้โยนเข้ากระเป๋าเอกภพ มุ่งหน้าต่อไป

อันที่จริง เมื่อครู่นี้ถ้านางอยากจะรู้เรื่องภายในสามารถใช้วิชาส่องวิญญาณต่อบุรุษตัวใหญ่นี้ได้โดยสิ้นเชิง แต่ว่า นี่มิใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่มีค่าให้ทำเช่นนี้ สำหรับนางในปัจจุบันนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย เกลียดชังบุรุษต่ำช้านั่นก็ฆ่าทิ้ง ไม่อยากฆ่าบุรุษตัวใหญ่ไว้หนวดก็ไม่ฆ่า ผลตามหลังอันใดไม่จำเป็นต้องไปคิด มีความแข็งแกร่งแล้ว ปัญหามากมายล้วนไม่เป็นปัญหา

เดินไปบนทางเดินด้านขวา ผ่านไปไม่นานมากก็เห็นว่าเบื้องหน้าปรากฎลานที่ก่อจากหินขาวหนึ่งแห่ง ประตูของลานมีผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณระดับต่ำหลายคนเฝ้าประตู หากมีผู้ฝึกตนมาเยือนก็ปราศรัยกัน

โม่เทียนเกอเดินเข้าใกล้ มีคนมาต้องรับทันที “ผู้อาวุโสท่านนี้ มาเช่าถ้ำพำนักหรือขอรับ”

โม่เทียนเกอพยักหน้า “มิผิด”

คนคนนั้นเอ่ยทันทีว่า “โปรดตามข้ามา”

ตามผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณคนนี้เข้าลาน เข้าเรือนหลังหนึ่ง เรือนนี้ดูไปแล้วเป็นเพียงห้องหนังสือสามัญ เหมือน ๆ กับโถงผู้ดูแลของโรงเรียนเสวียนชิง ด้านข้างวางโต๊ะตัวใหญ่หนึ่งตัว มีผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังนอนอยู่บนโต๊ะโดยไม่ขยับเขยื้อน ในมือยังกำขวดสุรา กลิ่นสุราเต็มห้อง

ผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณที่นำโม่เทียนเกอเข้าประตูเห็นางคิ้วกระตุกอย่างไม่รู้ตัวก็รีบเปิดหน้าต่าง จากนั้นขึ้นหน้าไปผลักผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังที่ดูคล้ายเมามายผู้นั้น “อารอง อารอง!**”

ผ่านไปพักใหญ่ ผู้ฝึกตนนี้จึงได้ขยับ ศีรษะก็ไม่เงยขึ้น เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ทำอะไร?!”

ผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณนี้ยิ้มประจบ “อารอง มีผู้อาวุโสสร้างฐานพลังมาเช่าถ้ำพำนัก”

“อ้อ” ผ่านไปพักหนึ่ง ผู้ฝึกตนนี้ในที่สุดมีปฏิกิริยาขึ้นมา ขยี้ตา ยืดเอว ทิ้งสายตาลงบนตัวของโม่เทียนเกอ

เมื่อเห็นว่าโม่เทียนเกอเป็นสตรีสาว คนคนนี้เก็บความดิบเถื่อนลงไปนิดหน่อย เอ่ยว่า “สหายเต๋าท่านนี้มาเช่าถ้ำพำนักหรือ”

“อืม” โม่เทียนเกอตอบรับโดยสงบ ผู้ฝึกตนของสกุลหลิงคนนี้ดูแล้วเยาว์วัยมาก ท่าทางมีอายุเพียงประมาณสามสิบปี ไว้หนวดสั้น สีหน้าแดงเปล่งปลั่ง น่าเสียดายที่ไม่ดูแลรูปลักษณ์จนเกินไป ดูแล้วสกปรกยิ่ง

ผู้ฝึกตนนี้เหล่มองนาง ชี้ไปที่เก้าอี้ตรงข้ามกับตนเอง “เชิญนั่ง”

โม่เทียนเกอมองชุดเต๋าสีน้ำเงินเข้มที่ปลายแขนเสื้อดำสนิทของเขา แล้วมองเก้าอี้ตัวนั้นอีกครั้ง ลังเลนิดหน่อยแล้วนั่งลงไปอย่างระมัดระวัง

เห็นสีหน้านี้ของนาง ผู้ฝึกตนนี้คงจะรู้สึกอับอาย หน้าแดงเล็กน้อย ม้วนแขนเสื้อขึ้น

“ไม่ทราบว่าสหายเต๋าอยากจะเช่าถ้ำพำนักอย่างใด”

โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “จ้ายเซี่ยไม่คุ้นกับเมืองเทียนเสวี่ย ไม่รู้ว่าถ้ำพำนักที่สกุลท่านปล่อยเช่ามีอะไรไม่เหมือนกัน สหายเต๋าโปรดบอกให้ทราบด้วย”

“อ้อ อย่างนี้เอง!” ผู้ฝึกตนนี้พยักหน้า หยิบม้วนอักษรหนึ่งม้วนออกมาจากกล่อง วาดมือกางเปิดขึ้น

ม้วนอักษรนี้ใหญ่นัก แทบจะคลุมโต๊ะทั้งหมด ด้านบนวาดรูปทรงของภูเขา ดูออกว่าคือแผนที่ของเขาหินขาวนี้ ระหว่างหินภูเขาวาดวงกลมไว้มากมาย วงกลมเหล่านี้มีใหญ่มีเล็ก สีสันไม่เหมือนกัน มีสีขาว มีสีน้ำเงิน มีสีเขียว ยังมีสีม่วง บางอันมีเครื่องหมายกาทับ บางอันไม่มี

ผู้ฝึกตนสกุลหลิงนี้เอ่ยว่า “ถ้ำพำนักของพวกเราสกุลหลิงแบ่งตามพลังวิญญาณเป็นสี่ประเภท สีม่วงคือพลังวิญญาณเข้มข้นที่สุด สีเขียวพอจะใช้ได้ สีน้ำเงินแย่ลงมาหน่อย สีขาวมีเพียงพลังวิญญาณจาง ๆ ขนาดใหญ่เล็กของวงแสดงถึงขนาดใหญ่เล็กของถ้ำพำนัก ถ้ำพำนักขนาดเล็กมีเพียงห้องศิลาสามห้อง ถ้ำพำนักขนาดกลางมีทุกสิ่งครบครัน ห้องฝึกตน, ห้องอสูรวิญญาณ, ห้องหลอมยา, แปลงสมุนไพร ต้องการอะไรมีสิ่งนั้น ถ้ำพำนักขนาดใหญ่ไม่เพียงมีสิ่งเหล่านี้ ยังมีห้องฝึกตนให้ศิษย์ผู้เยาว์อยู่ ส่วนราคา แน่นอนว่ายิ่งใหญ่ยิ่งแพง”

พูดถึงตรงนี้ ผู้ฝึกตนนี้เงยหน้ามองโม่เทียนเกอ “สหายเต๋าเป็นคนคนเดียวหรือ”

“มิผิด”

“หากสหายเต๋าเป็นคนคนเดียว ไม่ต้องใหญ่เกินไป เลือกขนาดเล็กหรือขนาดกลางเถอะ”

โม่เทียนเกอผงกศีรษะแสดงออกว่าเห็นด้วย “เช่นนั้นแบ่งตามพลังวิญญาณคิดราคาอย่างไรหรือ”

ผู้ฝึกตนนี้ไม่ได้ตอบแต่กลับถามว่า “สหายเต๋าอยู่ระยะยาวหรือระยะสั้น”

โม่เทียนเกอคิดแล้วเอ่ยว่า “อาจจะอยู่ไม่กี่เดือนหรือว่าปีสองปี”

“นั่นก็คือไม่ยาวไม่สั้น” ผู้ฝึกตนนี้ใคร่ครวญ จากนั้นเอ่ยว่า “สหายเต๋า ถ้ำพำนักเช่าของพวกเราแบ่งเป็นรายวันกับรายปี หากเช่ารายวันจะราคาสูงกว่ารายปีสามเท่า หากท่านต้องการอยู่สี่เดือนขึ้นไปก็เช่ารายปี ไม่อย่างนั้นก็เช่ารายวันเถอะ”

“อืม……” โม่เทียนเกอครุ่นคิด “เช่นนั้นก็รายปีเถอะ”

ผู้ฝึกตนนี้พยักหน้า “คำนวนตามขนาดกลาง สำหรับเช่ารายปี ถ้ำพำนักปราณม่วงหนึ่งปีสี่ร้อยศิลาวิญญาณ ถ้ำพำนักปราณเขียวสองร้อยแปดสิบ ถ้ำพำนักปราณน้ำเงินหนึ่งร้อยห้าสิบ ถ้ำพำนักปราณขาวเพียงต้องการสามสิบ” เขาประเมินโม่เทียนเกอไว ๆ เอ่ยว่า “สหายเต๋าเป็นผู้ฝึกตนสร้างฐานพลัง ระดับการฝึกตนค่อนข้างสูง ไม่พูดถึงปราณม่วง คิดว่าถ้ำพำนักปราณเขียวกับถ้ำพำนักปราณน้ำเงินน่าจะจ่ายไหว”

โม่เทียนเกอกลับเอ่ยว่า “หนึ่งปีสองร้อยแปดสิบ, หนึ่งร้อยห้าสิบ ราคานี้ไม่นับว่าต่ำกระมัง” แม้แต่ถ้ำพำนักปราณขาว หนึ่งปีสามสิบ ผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณทั่วไปก็เช่าไม่ไหว จำได้ว่าปีนั้นนางอยู่สำนักอวิ๋นอู้ หนึ่งเดือนได้ศิลาวิญญาณห้าก้อน

ผู้ฝึกตนสกุลหลิงนี้หัวเราะฮา ๆ กล่าวว่า “สหายเต่าอย่าได้ดูเบาถ้ำพำนักของสกุลหลิงข้า ถึงจะเป็นถ้ำพำนักปราณขาวก็ดีกว่าที่อื่น ๆ ในเมืองเทียนเสวี่ยมากแล้ว ยิ่งบวกกับประสิทธิภาพของศิลาวิญญาณขาว ไปที่เมืองอื่น ถ้ำพำนักอย่างนี้หาได้ยากมาก”

นี่มิใช่คำโป้ปด พูดถึงที่เกาะเป่ยจี๋ก็ได้ เรือนเล็ก ๆ ของโรงเตี๊ยมนั่น หนึ่งวันศิลาวิญญาณหนึ่งก้อน คำนวณแล้วหนึ่งปีก็สามร้อยกว่าก้อน พลังวิญญาณก็เพียงงั้น ๆ โม่เทียนเกอเดินมาตามทางนี้ รู้สึกเพียงว่าเส้นเลือดวิญญาณที่นี่ถึงจะพื้น ๆ แต่พอประสมกับศิลาวิญญาณขาวก็นับว่าอยู่ระดับกลางขั้นบน ๆ แล้ว

“เอาเถอะ” โม่เทียนเกอเอ่ย “ข้าต้องการถ้ำพำนักปราณน้ำเงิน ขนาดเล็กก็พอ ศิลาวิญญาณเท่าไหร่”

ผู้ฝึกตนสกุลหลิงได้ยินคำพูดนี้แล้วก็กวาดมองนางอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ไม่ได้พูดอะไร ตอบว่า “หนึ่งปีแปดสิบ”

ราคานี้ผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังทั่วไปก็จ่ายไหว โม่เทียนเกอพยักหน้า ล้วงศิลาวิญญาณถุงเล็ก ๆ ออกมาจากกระเป๋าเอกภพยื่นออกไปเทบนโต๊ะ “นี่คือค่าเช่าหนึ่งปี”

ผู้ฝึกตนสกุลหลิงกวาดมองคร่าว ๆ สะบัดแขนเสื้อ ศิลาวิญญาณบนโต๊ะเหลือเพียงไม่กี่ก้อน

โม่เทียนเกอก้มหน้ามอง เหนือความคาดหมายอยู่บ้าง นางไม่ได้นับละเอียด เพียงกะจำนวนเอาโดยประมาณ ผู้ฝึกตนนี้เพียงกวาดมองอย่างนี้แวบเดียวถึงกับนับออกมาแล้วหรือ

ได้รับศิลาวิญญาณแล้ว ผู้ฝึกตนสกุลหลิงนี้เอ่ยว่า “เอาล่ะ อยากอยู่ที่ไหน สหายเต๋าดูเองเถอะ ที่ไม่ได้ขีดฆ่าก็คือขณะนี้ไม่มีคนพักอาศัย สามารถเลือกตามสบาย”

โม่เทียนเกอเก็บศิลาวิญญาณไม่กี่ก้อนบนโต๊ะ ก้มหน้ามองม้วนอักษร สุดท้ายเลือกวงกลมเล็ก ๆ สีน้ำเงินที่อยู่ตรงมุม “อันนี้เถอะ”

ผู้ฝึกตนสกุลหลิงพยักหน้า ปลายนิ้วรวบรวมพลังวิญญาณ จิ้มไปบนวงกลมเล็กสีน้ำเงิน แสงสีน้ำเงินสว่างขึ้นด้านบน ปรากฏเครื่องหมายขีดฆ่า จากนั้น เขาล้วงแผ่นหยกหนึ่งชิ้นจากในกระเป๋าเอกภพ ออกทักษะเวท ยื่นออกไป “นี่เป็นป้ายคำสั่งถ้ำพำนัก สหายเต๋าเก็บให้ดี”

โม่เทียนเกอรับมา “ขอบคุณมาก”

ผู้ฝึกตนสกุลหลิงโบกมือ ร้องเสียงดังว่า “เสี่ยวชุ่น มานี่!”

ผู้ฝึกตนระดับต่ำที่นำโม่เทียนเกอเข้าถ้ำพำนักก่อนหน้านี้รีบวิ่งเข้ามา “อารอง”

ผู้ฝึกตนนี้ชี้โม่เทียนเกอ “พานางไปถ้ำพำนักอักษรสวนหมายเลขยี่สิบสาม”

“ขอรับ” ผู้ฝึกตนระดับต่ำนี้หันมาทางโม่เทียนเกอ “ผู้อาวุโสเชิญ”

โม่เทียนเกอเดินออกจากเรือน เห็นผู้ฝึกตนสกุลหลิงนี้หยิบขวดสุราขึ้นมาอีก อดส่ายหน้ามิได้ ผู้ฝึกตนบนโลกนี้ยังมีคนที่ติดสุราอย่างนี้ด้วย

……………………………

*ซือจุน (师尊) แปลว่าอาจารย์ ไม่แน่ใจว่าต่างจากซือฟุอย่างไร อาจจะเป็นคำเรียกอาจารย์ของผู้ฝึกพุทธโดยเฉพาะก็ได้ล่ะมั้งคะ ภาษาจีนนี้มีคำว่า “อาจารย์” เยอะจริง ๆ เหล่าซือ ซือฟุ เหวยซือ ซือจุน ฟูจื่อ เซียนเซิง ไม่รู้ว่าแต่ละคำมันต่างกันยังไงด้วยนี่สิ

** อารองในที่นี่ไม่ใช่ “อารอง” ที่แปลว่าน้องของพ่อ แต่เป็นเครือญาติในรุ่นพ่อเท่านั้นค่ะ อย่างถ้าเป็นญาติรุ่นเราที่ไม่ใช่พี่น้องจะใช้คำว่าลูกพี่ลูกน้อง หรือ ลูกผู้พี่ ลูกผู้น้อง แต่สำหรับลำดับญาติรุ่นพ่อนี่ภาษาไทยน่าจะไม่มีคำเรียกแบ่งอาจริงกับอาห่าง ๆ นะคะ

นี่เป็นหนึ่งตอนสำคัญ คือเป็นตอนสุดท้ายที่คนปแลอังกฤษแปลมาถึง หลังจากนี้เรื่องโดนเทอย่างเป็นทางการแล้วค่ะ