บทที่ 82 สิบอันดับสุดยอดสาวงาม (ปลาย)
จากนั้น หงซิงอิง ก็เริ่มเล่าประวัติของ ซูอัน ให้กับทุกคนฟัง..
“เขาคือลูกเขยขยะของท่านอ๋อง คนนั้นน่ะเหรอ?”
“อ๋อ ไอ้ลูกเขยที่เป็นแค่ในนามคนนั้นน่ะเอง!”
“คนอย่างเขาจะมีค่าพอจนดึงดูดความสนใจของคุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่
ได้ยังไง!”
“บางทีเขาอาจมีอะไรดีซ่อนอยู่ก็ได้นา…”
…
กลุ่มผู้ชายเผยรอยยิ้มหื่นกามและแสดงสีหน้าประมาณว่า
‘ต้องเป็นเรื่องอย่าว่าแน่ ๆ!’
ในขณะเดียวกัน กลุ่มสาว ๆ ก็เริ่มจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกปาก
“เขาดูดีมากเลยทีเดียว ตัวจริงของเขาไม่เห็นจะดูเลวร้ายอย่างที่ข่าวลือว่าเอาไว้เลย”
“มิน่าล่ะ! ไม่งั้นเขาจะเข้าตา ฉู่ชูเหยียน ได้ยังไงจริงไหม?”
“ฮิฮิ ถึงแม้ว่า ฉู่ชูเหยียน จะวิเศษวิโสขนาดไหน นางก็ยังลงเอยกับสามี
ที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้”
“ฮิฮิฮิ…”
อาจารย์ที่จัดการการทดสอบพรสวรรค์ก็ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับลูกเขยที่มาจากตระกูลฉู่ อาจารย์ที่รู้จักกันในชื่อ หนี่เตียน ซึ่งเพิ่งโดน ซูอัน หักหน้าไปเมื่อครู่ตะโกนลั่นทันที “ข้ารู้แล้ว! ลูกแก้วต้องชำรุดเป็นแน่ ดังนั้นข้าขอยึด
การทดสอบจากท่านอ๋องเป็นหลัก ซูอัน ระดับติงขั้นต่ำ ชั้นเรียนสีเหลือง!”
การสอนของสถาบันจันทร์กระจ่างถูกแบ่งออกเป็น 3 ระดับและแต่ละระดับก็มีการแบ่งชั้นเรียนเป็น 4 ชั้นเรียนตามพรสวรรค์ของนักศึกษา ได้แก่ชั้นเรียนสีเหลือง สีดำ ปฐพีและนภา ผู้ที่มีพรสวรรค์อย่าง หงซิงอิง แน่นอนว่าจะถูกจัดให้ไปเรียนในชั้นเรียนนภา ซึ่งเป็นแหล่งรวมผู้ที่พระสวรรค์ระดับอี้ขึ้นไป ก่อนหน้านี้ ส่วน เว่ยสั่ว ซึ่งเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับติง เขาจะได้รับการจัดสรรให้อยู่กับชั้นเรียนสีเหลืองเช่นเดียวกับ ซูอัน
ทางด้านของอาจารย์อีกคนเมื่อเห็นเช่นนี้ก็กำลังจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อท้วงติง แต่เขาก็หยุดปากเอาไว้เพราะเขามองข้ามฝูงชนไปเห็นร่างหญิงสาวที่งดงามคนหนึ่งยืนอยู่ในสวนที่อยู่ห่างออกไปไกลพอสมควร หญิงสาวคนนั้นยกนิ้วขึ้นมาแตะริมฝีปากของนางเป็นสัญญาณว่าให้อาจารย์ผู้นั้นหุบปากไว้
ทางด้านของ ซูอัน เขาไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดเลยกับการที่ทุกคนเข้าใจผิดกันไปแบบนี้ เพราะเขาอยากจะทำตัวไม่เป็นจุดเด่นเพื่อเอาตัวรอดอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ค้านอะไร
“เหอะเหอะ อีกาก็เป็นเพียงอีกาวันยังค่ำ ไม่ว่ามันจะพยายามขนาดไหนมันก็ไม่มีทางเป็นหงส์ไปได้!” หงซิงอิง เดินไปหา ซูอันพร้อมกับเหยียดหยามก่อนจะจากไป
เขาแสดงท่าทางราวกับว่าเกียรติของเขาจะถูกแปดเปื้อนหากคุยกับ ซูอัน มากไปกว่านี้
ในทางกลับกัน ซูอัน ยังคงรู้สึกดีใจที่ในที่สุดพรสวรรค์ของเขาก็ไม่ถูกเปิดเผย เขาจึงเลือกที่จะให้ หงซิงอิง เย้ยหยันเขาได้ตามใจโดยที่เขาไม่โต้เถียงเลย จากนั้นชายหนุ่มก็หันไปหาเฉิงโส่วผิงและพูดว่า “ข้าจะเข้าสถาบันเดี๋ยวนี้ เจ้ากลับไปได้แล้ว”
“นายน้อย ข้า…ข้าพูดอะไรผิดไปก่อนหน้านี้หรือเปล่า” เฉิงโซวผิง
ถามขึ้นด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ
ซูอัน ตบไหล่ของเขาเบา ๆ และยิ้ม “ไม่ใช่เลย เจ้าทำได้ดีมากต่างหาก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้รอยยิ้มอันสดใสปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฉิงโซวผิงทันที “นายน้อย ท่านช่างดีกับข้าจริง ๆ !”
ซูอัน ผลักเขาออกไปทันที “เฮ้ แต่ข้าขอเตือนเอาไว้ก่อนนะ ในอนาคตหากไม่ได้รับอนุญาตเจ้าห้ามพูดอะไรซี้ซั้วออกมาอีกในที่สาธารณะเข้าใจไหม!”
ตอนนั้นเองที่อาจารย์คนหนึ่งเดินเข้ามาและพาพวกเขาเข้าไปในสถาบัน ระหว่างทาง อาจารย์ผู้นั้นได้เตือนว่า “รอบ ๆ สถาบันมีค่ายกลป้องกันมากมายถูกวางเอาไว้และพวกมันถูกเปิดใช้งานอยู่ตลอดเวลา จุดประสงค์หลักเพื่อป้องกันผู้บุกรุก ดังนั้นทางที่ดีอย่าเที่ยวเดินเตร็ดเตร่มากเกินจำเป็น มิฉะนั้นพวกเจ้าอาจจะเจ็บตัวได้หากเผลอไปกระตุ้นหนึ่งในค่ายกลพวกนั้นเข้า
โดยบังเอิญ”
คำพูดนี้ทำให้ ซูอัน รู้สึกเสียวสันหลัง โชคดีที่เมื่อวานเขาไม่ได้บังเอิญเดินไปเหยียบหนึ่งในค่ายกลของสถาบันเหล่านั้นเข้า ไม่เช่นนั้นป่านนี้ชะตากรรมของเขาจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้
แต่เมื่อเขานึกถึงเรื่องนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้ว่าการทำงาน
ของค่ายกลในโลกนี้มันจะเหมือนกับค่ายกลในหนังจีนกำลังภายในเรื่องมังกรหยกที่ อึ้งเอี๊ยะซือ(มารบูรพา) ได้วางเอาไว้บนเกาะดอกท้อรึเปล่า?
“ค่ายกลพวกนั้นอันตรายแค่ไหน?” ซูอันถามด้วยความสงสัย
“อยู่ไปนาน ๆ เข้าเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” อาจารย์ผู้นั้นตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
อันน่าสยดสยอง ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ทันความคิดของ ซูอัน
ต่อจากนั้น พวกเขาก็เดินผ่านทุ่งกว้างซึ่งดูเหมือนสนามฟุตบอลของมหาวิทยาลัยในชีวิตก่อนหน้านี้ แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือทุ่งโล่งแห้งนี้ไม่มีการ
ตีเส้นใด ๆ แถมยังมีกลุ่มนักศึกษากำลังลุก ๆ นั่ง ๆ อยู่กลางทุ่งอีกต่างหาก
“ลุกนั่งให้แข็งขันกว่านี้! มาดูกันว่าพวกเจ้าจะกล้ามาสายกันอีกไหมในอนาคต!” ชายวัยกลางคนที่ถือไม้บรรทัดจ้องเขม็งไปที่กลุ่มนักศึกษาที่กำลังผลัดกันลุกนั่งด้วยความยากลำบาก
ชายวัยกลางคนคนนั้นบนหัวของเขามีผมเพียงน้อยนิดเขาพยายามหวีผมที่ยังเหลืออยู่ไปด้านข้างเพื่อพยายามปกปิดส่วนที่ล้านตรงกลางศีรษะ อย่างไรก็ตามมันดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผลเท่าไหร่เพราะเขาไม่มีผมด้านข้างมากนัก หัวล้านยังคงมองเห็นได้ชัดเจนผ่านเส้นผมเพียงไม่กี่เส้นที่หวีปิดไว้
บางทีอาจเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงเจตนาของ ซูอัน ที่พยายามหาช่องโหว่ของสถาบันเพื่อพยายามหนีออกไป ชายคนนั้นหันกลับมาและจ้องเขม็ง
มาที่ ซูอัน ทันทีพร้อมกับตะโกนเสียงดัง “เอ็งมองหาอะไร!?”
โอย…สวรรค์ทำไมต้องให้ข้ามาเจอกับอาจารย์อารมณ์ร้อนแบบนี้
อีกเนี่ย!
ซูอัน ไม่ใช่คนประเภทที่จะยอมใครง่าย ๆ แต่ในขณะที่เขากำลัง
จะอ้าปากเถียง นักศึกษาร่วมชั้นเรียนที่ชื่อ เว่ยสั่ว ก็รีบดึงแขนเสื้อของซูอันเอาไว้และพูดว่า “เฮ้ย หยุดเลย อย่าไปทำให้เขาโมโห!”
ซูอันประหลาดใจกับคำพูดนั้น เขากลับมามองเว่ยสั่วและถามว่า “ทำไม? เขาวิเศษมากขนาดเลยเหรอไง?
เว่ยสั่ว ลดเสียงของเขาและพูดว่า “เขาเป็นอาจารย์ผู้คุมกฎ
ของสถาบันเรา ลู่เต๋อ ฉายาโล้นเหี้ยม เขาขึ้นชื่อในเรื่องการเข้มงวดกับนักศึกษามาก เจ้าเห็นไม้บรรทัดที่เขาใช้ตีนักศึกษาไหม”
“อืม..เห็น” ซูอัน สังเกตเห็นนักศึกษาคนหนึ่งร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดหลังจากถูกชายหัวล้านใช้ไม้บรรทัดฟาดไปที่ก้นอย่างแรง
“บนไม้บรรทัดอันนั้นมีคำว่า ‘คุณธรรม’ สลักเอาไว้ ทุกครั้งที่เขาลงโทษนักศึกษาด้วยไม้บรรทัดนั่น เขาจะอ้างว่าเขาใช้ ‘คุณธรรม’ เพื่อสั่งสอนนักศึกษา ว่ากันว่าการถูกไม้บรรทัดนั่นตีนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่าการถูกฟาดด้วยแส้คร่ำครวญของคุณหนูรองตระกูลฉู่ซะอีก เขาไม่เหมือนอาจารย์ที่เราพบก่อนหน้านี้ เขามีอำนาจมากในสถาบันมันจะเป็นการดีที่สุดสำหรับเจ้าที่จะไม่ไป
ยั่วยุเขา” เว่ยสั่ว เตือน
“บ้าเอ๊ย นี่มันยุคสมัยไหนแล้วทำไมถึงยังมีการลงโทษทางร่างกายในสถาบันการศึกษากันอยู่อีก!” ซูอัน พูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ไม่มีใครคิดจะห้ามปรามเขาเลยบ้างรึไงกัน?”
“ชู่ววว อย่าพูดเสียงดังสิ!” เว่ยสั่ว รีบเอามืออุดปากของ ซูอัน ทันที
“ในสถาบัน เขาเป็นคนที่มีอำนาจที่สุดรองจากอาจารย์ใหญ่เพียงคนเดียวเท่านั้น! และนี่ยังไม่รวมไปถึงเขาเป็นผู้บ่มเพาะระดับ 6 ใครกันจะกล้าขวางทางเขา? นอกจากนี้ยังมีนักศึกษาจำนวนมากในสถาบันที่ชอบตัวหยิ่งผยองและสร้างปัญหา ดังนั้นสถาบันจึงจำเป็นต้องมีคนอย่างเขาเอาไว้เพื่อปรามไอ้พวกเด็กหัวดื้อพวกนั้น ด้วยเหตุนี้พฤติกรรมของเขาจึงได้รับการอนุโลมไปโดยปริยายจากอาจารย์ใหญ่”
ซูอัน พยักหน้ารับรู้ จากนั้นเขาถามต่อด้วยสีหน้าสงสัย “เดี๋ยวนะ
ไม่ใช่ว่าเจ้าก็เป็นนักศึกษาใหม่เหมือนกับข้าไม่ใช่เหรอ? ทำไมเจ้าถึงรู้เรื่องภายในสถาบันได้มากมายขนาดนี้? ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ารู้เรื่องแส้คร่ำครวญ
ของน้องภรรยาข้าอีกต่างหาก…”
“มันเป็นเพราะข้าทำการบ้านก่อนมาที่นี่น่ะสิ!” เว่ยสั่ว ตอบกลับ
ด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ เขาคิดว่าเขาเห็นแววตาชื่นชมของ ซูอัน ที่ส่งมาให้กับตัวเองซึ่งมันยิ่งกระตุ้นให้เขาอยากอวด ดังนั้นเขาจึงสะกิดไหล่ของ ซูอัน และพูดว่า “เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับสิบอันดับสุดยอดสาวงามของสถาบันเรารึเปล่า?”