ตอนที่ 114 – สกุลฉิน

ชิ่งเฉินพึมพำเสียงเบา ๆ อยู่ข้าง ๆ ว่า “ท่านยกอันนี้ให้ไป พวกเราอยากก่อไฟก็จะยุ่งยากแล้ว”

หลี่ซูถงเอ่ยล้อเลียนอย่างไม่แยแสว่า “ไม่เป็นไร ให้บ้านสะใภ้ช่วยพวกเราก่อไฟก็ได้แล้ว พวกเราไม่ต้องใช้ของเล่นนี่แล้ว”

ชิ่งเฉิน “……เหมือนจะมีเหตุผลจังเลยครับ งั้นคืนนี้พวกเราสามารถไปกินฟรีด้วยใช่รึเปล่าครับ”

“กำลังคิดอย่างนี้อยู่เลย” หลี่ซูถงกล่าว

เวลานี้ จางถงต้านโบกมือจากในป่าไม้ “เด็ก ๆ เก็บของออกมาให้หมด”

เขาหันหน้าไปกล่าวกับฉินเฉิงว่า “เมื่อกี้คุยเรื่องค่าผ่านทางจบแล้ว ตอนนี้คุยธุระเป็นงานเป็นการ จริงสิ แกบอกกับบ้านเขยแกให้ชัดนะว่าพูดเรื่องที่พวกเราทำออกไป ไม่แค่จะลามให้แกทั้งบ้านเข้าคุก ยังจะลามให้พวกเราถูกกองพลที่สองล้อมปราบด้วย แกก็รู้ว่าในคุกหมายเลข 18 น่ากลัวมาก”

ชิ่งเฉินเงียบงันไร้คำพูด พูดตามจริงตอนนี้เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเรือนจำหมายเลข 18 จะน่ากลัวสักแค่ไหน ไม่ใช่ว่าดีจะตายเหรอ

ถ้าคนบ้านนี้ต้องเข้าเรือนจำหมายเลข 18 จริง ๆ เกรงว่ากลับจะมีชีวิตสบายกว่าเสียอีก

ถึงอย่างไร พี่ใหญ่เรือนจำหมายเลข 18 ก็ยืนอยู่นี่นะ

เห็นเพียงในป่าไม้ คนแปดคนยกหนังสัตว์ป่าหนึ่งกองเดินออกมา ฉินเฉินหยิบแว่นตาอันหนึ่งออกมาจากลิ้นชักที่นั่งข้างคนขับ ตรวจสอบหนังทุกผืนโดยละเอียด ในปากยังงึมงำว่า “พวกคุณอย่าใช้กับดักได้รึเปล่า รอยเขี้ยวนี่เจาะอยู่บนหนังก็ทำเสื้อโค้ทไม่ได้แล้วคนมีเงินเขาแคร์เรื่องพวกนี้ คนเขาไม่อยากได้ของมีตำหนิ ให้มือปืนเทพในป่าของพวกคุณยิงลูกตาของเหยื่อตรง ๆ อย่างนี้หนังจะได้ราคาที่สุด”

จางถงต้านจุดบุหรี่กล่าวว่า “มือปืนเทพของพวกเราถูกย้ายไปแล้ว ไม่ตามมาล่าสัตว์แล้ว ทีหลังเป็นหนังอย่างนี้ทั้งหมดแหละ แกจะเอาไม่เอา”

“เอาน่ะเอาแน่อยู่แล้ว ก็แค่ราคาต้องตกมาหน่อย” ฉินเฉิงพูดจบแล้วจึงให้ภรรยาตัวเองล้วงกระเป๋าเอกสารสี่ใบออกมาจากใต้เบาะหลังปิคอัพ “ข้างในเป็นลูกกระสุนสองใบ บวกเกลือหนึ่งใบกับยาหนึ่งใบ ล้วนเป็นสิ่งที่พวกคุณต้องการเร่งด่วนที่สุด”

พูดจบ ฉินเฉิงเปิดกระเป๋าหยิบขวดยาจากข้างในไปสี่ขวด “แต่หนังที่พวกคุณเอามาครั้งนี้คุณภาพต่ำเกินไป ผมต้องหักออกมาสี่ขวด”

คิ้วบนหน้าจางถงต้านขมวดขึ้นมา เขายึดมือของฉินเฉิงไว้ “แกก็ใจดำเกินไปปะ”

“ทำธุรกิจมีกฎของการทำธุรกิจ” ฉินเฉิงกล่าว

“ครั้งหน้าจะต้องเอาหนังดี ๆ หน่อยมาให้แก” จางถงต้านกล่าว ลูบปืนพกที่เอวอย่างคลุมเครือ

ฉินเฉิงคิดแล้ววางยากลับลงในกระเป๋า “ได้ งั้นคุณจำไว้นะ ค้าขายครั้งนี้ผมขาดทุนแล้ว”

“ได้เลย พวกพี่น้องไปเถอะ” จางถงต้านโบกมือ ชาวป่าทั้งหมดเดินเข้าไปในป่าไม้ ออกแรงอยู่ไม่กี่นาทีก็หายลับไปอย่างไร้ร่องไร้รอยกันหมด

ระหว่างนี้ ชิ่งเฉินสังเกตดูการแลกเปลี่ยนงวดนี้อย่างสนอกสนใจอยู่ตลอด รู้สึกว่าแปลกใหม่สุด ๆ

หลี่ซูถงที่อยู่ข้าง ๆ ลดเสียงลงยิ้มเอ่ยว่า “ครั้งนี้พาเธอออกมาก็จะให้เธอเห็นโลกที่ภายนอกมาก ๆ ก่อนหน้านี้เคยเห็นทิวทัศน์ที่ดีที่สุดของเมือง ครั้งนี้พาเธอมาดูธรรมเนียมปฏิสัมพันธ์ในป่า น่าสนใจมาก”

ชาวป่ายากมากจะได้รับของใช้ประจำวันที่ไฮเทค ดังนั้นพวกเขาต้องการของอย่างหนึ่งเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยน

ส่วนคนในเมืองต้องการหนังและสัตว์เลี้ยงที่ของสัตว์ป่า ดังนั้นพวกเขาก็ต้องการให้มีคนส่งขึ้นมาให้ตนเอง

เวลานี้ นักล่าในป่าอย่างฉินเฉิงก็เลยมีช่องโหว่ให้มีชีวิตรอด

ชิ่งเฉินค้นพบว่า หลังออกมาจากเรือนจำหมายเลข 18 ที่เป็นกล่องเหล็กใบนั้น ทุกแห่งหนในโลกเต็มไปด้วยความตื่นใจและเหนือความคาดหมาย

เขาเห็นลักษณะของป่า แล้วก็รู้วิธีการใช้ชีวิตของชาวป่า ยังได้เห็นพระอาทิตย์ตกอันไพศาลและเด็กสาวในป่า

คล้ายกับว่าท้องฟ้าล้วนแจ่มชัดและขยับไหว

ส่วนหลี่ซูถงก็ค้นพบว่า ตั้งแต่ที่ออกจากเรือนจำ อารมณ์ของนักเรียนตนเองคนนี้ไม่ได้หดหู่ขนาดนั้นแล้ว

หรือพูดได้ว่า ตั้งแต่ที่เขาพาชิ่งเฉินออกไปเล่นครั้งแรก นักเรียนคนนี้เริ่มฟืนคืนสู่ลักษณะนิสัยที่เด็กหนุ่มควรจะมี

ไม่ต้องหนักแน่นเป็นพิเศษ ไม่ต้องระแวดระวังทุกนาทีทุกวินาที ไม่ต้องยั้งตัวเองอะไร

หลี่ซูถงเข้าใจว่านี่เป็นเพราะอะไร

เพราะไม่เคยมีใครปกป้องเด็กหนุ่มคนนี้ ถึงขนาดที่ว่าอีกฝ่ายต้องเติบโตอย่างช้า ๆ ท่ามกลางขวากหนาม ไม่มีใครสอนเขาว่าควรจะโตเป็นผู้ใหญ่อย่างไร แต่ชีวิตกลับทุบตีเขาตามมาตรฐานของผู้ใหญ่

ตอนนี้ เด็กหนุ่มมีครูแล้ว เป็นเวลาที่ควรจะฟืนคืนสู่นิสัยดั้งเดิม

สิ่งที่โลกเคยพรากไปจากเขา ตอนนี้ครูสามารถให้เขาได้แล้ว

ฉินอี่อี่อยากรู้อยู่บ้างชายกลางคนคนนี้กับเด็กหนุ่มเป็นพ่อลูกกันเหรอ ไม่ค่อยเหมือน หน้าตาไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง แถมพ่อก็จะไม่เห็นลูกสองเท้าเละเทะแล้วยังไม่ปวดใจ บนตัวชิ่งเฉินก็ไม่มีความขบถของวัยรุ่นที่ควรจะมี

แต่ว่า เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้สนิมสนมกันมาก ไม่ใช่พ่อลูก แต่น่าจะเหนือกว่าพ่อลูก

เวลานี้ ฉินเฉิงตะโกนจากที่ไกล ๆ ว่า “อี่อี่, ฉินถง แกสองคนรีบย้ายเต้นท์มา เตรียมก่อไฟหุงข้าว”

ฉินอี่อี่รีบวิ่งไป “มาแล้ว ๆ!”

หลี่ซูถงก็ไม่ได้มีความคิดอยากจะช่วย ทว่ากล่าวกับชิ่งเฉินว่า “ไปเถอะ ให้บ้านสะใภ้ยุ่งไปก่อน เราสองคนไปเดินรอบ ๆ ฉันได้ยินเสียงของแม่น้ำ ไม่แน่ว่ายังจะสามารถตกปลาสักหลายตัวกลับมา”

ชิ่งเฉิน “……”

……

ในเวลาเดียวกัน ข้างทะเลสาบจือจึสามสิบกว่ากิโลเมตรทางทิศใต้ของพวกเขา รถสามสิบกว่าคันของขบวนรถล่าฤดูใบไม้ร่วงล้อมกันเป็นวง ข้างในก่อกองไฟอันแผดเผาลุกโชน

วิธีที่คนเหล่านี้จุดกองไฟหยาบง่ายสักหน่อย ถึงกับเทเชื้อเพลิงความเข้มข้นสูงที่หอบมานิดหน่อยลงไปไม้ฟืนโดยตรง จุดไม้ขีดไฟหนึ่งอันโยนเข้าไปก็สามารถก่อไฟได้อย่างรวดเร็ว

ข้างทะเลสาบจือจึ เด็กหนุ่มสิบกว่าคนหยิบเบ็ดตกปลาออกมา แต่ละคนพนันกันว่าใครจะตกปลาได้เร็วกว่า ตัวใหญ่กว่า

นอกวงล้อมของรถ ข้ารับใช้สี่ห้าคนกำลังกางเต้นท์ให้ทุกคน ปูเบาะกันน้ำที่อ่อนนุ่มไว้ข้างในเพื่อกันความชื้น

เทียบกับพวกฉินเฉิงแล้ว คนเหล่านี้เหมือนกับมาเที่ยวมากกว่า

ในขบวนรถ มีชายกลางคนโดดเดี่ยวหนึ่งคนนั่งอยู่บนหลังคารถอย่างเงียบสงบ ด้านล่างของเขา ต้นหนที่สวมแว่นฮอโลแกรมคนนั้นกำลังควบคุมโดรมบินเฝ้ายามอาณาเขต

ข้างกองไฟ หลี่อีนั่วผู้กำยำพาหนานเกิงเฉินนั่งบนพื้น เธอเอาเนื้อน่องที่เพิ่งจะย่างสุกหนึ่งชิ้นจากบนกองไฟ ใช้มีดที่พกติดตัวตัดหนึ่งชิ้นใหญ่ ๆ อย่างดุดันยัดเข้าไปในชามของหนานเกิงเฉิน “กินซะ”

หนานเกิงเฉินมองเนื้อที่เกือบจะใหญ่กว่าหน้าตนเองในชาม กล่าวอย่างระทมทุกข์ว่า “ผมกินไม่หมด”

หลี่อีนั่วกล่าวอย่างแช่มช้าว่า “แต่ละวันกินข้าวอย่างกับลูกเจี๊ยบจิกข้าวเปลือก เมื่อไหร่ถึงจะแข็งแรงได้สักหน่อยล่ะ”

“ผมไม่ได้อยากจะกลายเป็นแข็งแรงนิ ผมอยากเป็นแฮกเกอร์” หนานเกิงเฉินเอ่ยอย่างอ่อนแอ

“แฮกเกอร์มีความหมายอะไร ฉันไม่ได้ตอบรับนายไปแล้วเหรอว่าจะหาครูที่ดีที่สุดให้นาย” หลี่อีนั่วเอ่ยอย่างไม่แยแสว่า “วางใจเถอะ ฉันให้คนไปจับแฮกเกอร์ใหญ่ที่กำลังหลบหนีคนนั้นแล้ว จับเขาได้ก็จะให้เขามาสอนนาย”

“ดีครับ” หนานเกิงเฉินสายตาเป็นประกาย

………………………………………..

ตอนที่ 115 – ตีรัง