บทที่ 449 อาณาจักรนี้มีเก้าแดนต้องห้ามดำรงอยู่มาอย่างจีรัง ไปหาพวกเขาก็ได้!

รู้สึกตัวอีกที-ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว-原來我是世外高人

บทที่ 449 อาณาจักรนี้มีเก้าแดนต้องห้ามดำรงอยู่มาอย่างจีรัง ไปหาพวกเขาก็ได้!

ผู้เฒ่าเมิ่งจีครุ่นคิดในใจมากมาย ส่วนเหลิงเจี้ยนลอบสังเกตผู้เฒ่าเมิ่งจีอยู่ตลอด

เขาเห็นผู้เฒ่าเมิ่งจีไม่พูดจา คิดว่าอีกฝ่ายคงตื่นตกใจจนพูดไม่ออก

จะมิให้ตกใจได้อย่างไร

ไม่ต้องพูดถึงแดนมรณา ลำพังอาณาจักรเทียนหยวนของพวกเขา สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรนี้ก็ไม่อาจต้านทานได้ไหว!

หากผนึกกำลังกับแดนมรณา อาณาจักรแห่งนี้ยิ่งปราศจากความหวัง!

“สหายโปรดวางใจ เจ้าไม่มีทางเสียเปรียบถ้ายอมเข้าร่วมพวกเรา!”

เขาคลี่ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยต่อ ความตึงเครียดในใจคลายลงบ้างแล้ว

ไม่มีผู้ใดอยากตาย ผู้เฒ่าเมิ่งจีย่อมเป็นเช่นนั้น เขาคงไม่เป็นอะไร หากผู้เฒ่าเมิ่งจีไม่อยากตาย คงต้องยอมปล่อยเขา

ทว่า เขาไม่มีทางยอมจบง่าย ๆ กับผู้เฒ่าเมิ่งจี!

รอให้ยอดฝีมือจากอาณาจักรเทียนหยวนมาถึงเมื่อใด เขาต้องฆ่าผู้เฒ่าเมิ่งจีเพื่อระบายความแค้นให้ได้ ผู้เฒ่าเมิ่งจีบังอาจตวัดมีดผ่าเขาเป็นสองท่อน ถือเป็นโทษสถานหนักที่ไม่มีทางได้รับการอภัย!

เขาเอ่ยเช่นนี้ เป็นเพียงอุบายประวิงเวลาเท่านั้น

อีกด้าน ไป๋มู่หัวเราะเย็น ๆ ในใจ คิดไปว่าเหลิงเจี้ยนผู้นี้คิดเพ้อเจ้อจริงเชียว!

ผู้เฒ่าเมิ่งจีเกี่ยวข้องกับท่านเซียนอย่างแน่นอน หรืออาจเป็นผู้ที่ท่านเซียนส่งมา

เหลิงเจี้ยนยังคิดชักชวนผู้เฒ่าเมิ่งจีเป็นพวก คิดกระไรเล่านั่น ผู้เฒ่าเมิ่งจีไม่มีทางตอบตกลงอยู่แล้ว

พรวด! พรวด! พรวด!

ตามคาด หลังเหลิงเจี้ยนกล่าวประโยคนี้ มีดพร้าเล่มใหญ่ที่ผู้เฒ่าเมิ่งจีวาดด้วยพู่กันสับลงมาในบัดดล

เลือดสาดกระเซ็น เหลิงเจี้ยนอยู่ในสภาพน่าเวทนา ถูกมีดพร้าเล่มใหญ่สับจนกลายเป็นเศษเนื้อ!

ไอ้บัดซบนี่!

ตาเฒ่าผู้นี้ไม่กลัวตายหรืออย่างไร?

เหลิงเจี้ยนก่นด่าในใจ หลอมร่างที่กลายเป็นเศษเนื้อขึ้นใหม่อย่างยากลำบาก

อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าเมิ่งจีจะลงมือกับเขาอีก!

เขายังไม่ตาย แต่บาดเจ็บหนักยิ่งขึ้น พลังปราณเลือนรางใกล้สลายอยู่รอมร่อ อาจตายได้ทุกเมื่อ!

“สหายรึ ผู้ใดเป็นสหายของเจ้า”

สายตาผู้เฒ่าเมิ่งจีเปล่งประกายโหดเหี้ยม ตะคอกเสียงเย็น “เจ้ามาจากที่ใด พาข้าไปที่นั่น!”

ที่เหลิงเจี้ยนยังไม่ตาย เป็นเรื่องที่เขาตั้งใจไว้ หมายจะให้เหลิงเจี้ยนพาเขาไปยังที่ที่เหลิงเจี้ยนจากมา

ที่นั่นมีรอยร้าว เหลิงเจี้ยนพุ่งเข้ามาผ่านรอยร้าว เขาอยากลองสมานรอยร้าวนั้น!

หากสมานรอยร้าวได้ แม้นไม่สามารถกีดขวางสิ่งมีชีวิตอาณาจักรเทียนหยวนไว้ข้างนอก กระนั้นยังพอยื้อเวลาออกไปได้ไม่มากก็น้อย

เหลิงเจี้ยนมิกล้าไม่ทำตาม ตกลงทันที

“สหายรู้จักคุณชายใช่หรือไม่”

เวลานั้น ไป๋มู่ในหลุมเอ่ยถามผู้เฒ่าเมิ่งจี

หลังจากสรรพนามคุณชายถูกเอ่ยออกมา สีหน้าผู้เฒ่าเมิ่งจีก็เปลี่ยนไป

เขากล่าวด้วยสีหน้าประหลาด “ท่านรู้จักคุณชายหรือ”

“มีวาสนาเคยพบคุณชาย!”

ไป๋มู่พยักหน้า เขาเดาไม่ผิดจริง ๆ ผู้เฒ่าเมิ่งจีเกี่ยวข้องกับท่านเซียน!

“ฮ่า ๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไว้เรามาสนทนากันหน่อย”

ผู้เฒ่าเมิ่งจีกล่าว “ข้าขอไปจัดการเรื่องสำคัญก่อน!”

“ได้!”

ไป๋มู่ตอบ รู้ว่าเมิ่งจีต้องการทำสิ่งใด เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ไม่อาจมัวชักช้าอยู่ อาจเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นทุกเมื่อ

“ไป!”

เมิ่งจีสั่งให้เหลิงเจี้ยนนำทางอยู่ด้านหน้า ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็ไปถึงที่นั่น

ทุกอย่างในที่นี้ดูปกติ ไม่เห็นพิรุธแม้แต่น้อย

ทว่าเมิ่งจีรู้ดีว่านี่เป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น

เขาพาเหลิงเจี้ยนทะยานขึ้นไป ทะลุผ่านชั้นเมฆมากมาย จนมาอยู่ในส่วนลึกของนภา

เมื่อมาถึงที่นี่ก็จะเห็นว่ามีม่านแสงมโหฬารปกคลุมอาณาจักรแห่งนี้ กฎวิถีรักษาระเบียบนานัปการว่ายเวียนอยู่บนนั้น คอยคุ้มกันโลกใบนี้

“มิน่าสิ่งแวดล้อมในฟ้าดินนี้ถึงย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ!”

ผู้เฒ่าเมิ่งจีถอนหายใจ เขาพบสาเหตุแล้ว

พลังส่วนใหญ่ในฟ้าดินนี้ล้วนเกาะอยู่บนม่านแสง แล้วจะมิให้สิ่งแวดล้อมที่พวกเขาอาศัยอยู่ย่ำแย่ลงได้อย่างไร ในเมื่อขาดแคลนการบำรุงจากพลังฟ้าดิน

ภายนอกของม่านแสงไม่เห็นสิ่งผิดปกติ ทว่าหลังจากเมิ่งจีรีดเร้นพลังไว้ที่ดวงตา ก็เห็นว่าบนม่านแสงมีรอยร้าวเล็ก ๆ เกิดขึ้นจริง ๆ

“ไม่ต้องคิดเลย ต่อให้เจ้าสมานรอยร้าวนั้นได้ ก็ไม่อาจแก้ไขสิ่งใด! แดนมรณาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ยิ่ง แข็งใจหมายมั่นจะล้างบางสิ่งมีชีวิตทุกตนในอาณาจักรนี้! นั่นมิใช่พลังที่พวกเจ้าต้านทานไหว!”

เหลิงเจี้ยนกัดฟันเอ่ย ยังคงกระเสือกกระสนบอกเล่าความทรงพลังและความน่าพรั่นพรึงของแดนมรณา เพื่อให้เมิ่งจียอมปล่อยเขา

“นี่มิใช่ปัญหาที่เจ้าต้องกังวล!”

เมิ่งจีมีสีหน้าเย็นชา “ภารกิจของเจ้าลุล่วงแล้ว เจ้าเองก็ออกเดินทางเถิด!”

เขาลงมือทันที ปลิดชีพเหลิงเจี้ยนในฝ่ามือเดียว

ก่อนนี้เหลิงเจี้ยนถูกทำร้ายจนสาหัส บัดนี้เขาจึงใช้กำลังของตนสังหารเหลิงเจี้ยนได้

“ขอข้าลองดูหน่อยว่าสมานได้หรือไม่!”

ดวงตาเมิ่งจีวาวโรจน์ จับพู่กันวาดภาพ ผนึกพลังมากมายลงบนรอยร้าว หมายจะสมานให้ได้

ทว่าถึงแม้รอยร้าวนี้ดูเรียวเล็กดั่งเส้นผม แต่หากคิดจะสมาน กลับต้องใช้พลังอีกมหาศาล

เขาเปล่งพลังแกร่งกล้ากว่านี้ผ่านพู่กันวิเศษ กระนั้นก็ยังไม่ไหว ไม่อาจสมานรอยร้าวได้แม้แต่รอยเดียว ยังขาดพลังอีกมากโข

“คิดแล้วก็คงเป็นไปไม่ได้! หากสมานได้ง่ายดายเยี่ยงนี้ พลังคุ้มกันนี้คงมิกำลังเหลือแสนหรือ!”

เมิ่งจีถอนหายใจพลางเอ่ย ในใจรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้

ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นม่านแสงคุ้มกันที่ประสานพลังมากมายนับไม่ถ้วนในปฐพีนี้ คอยกีดขวางสิ่งมีชีวิตจากอาณาจักรเทียนหยวน ไฉนเลยจะสมานได้ง่าย ๆ

หากสมานง่าย ๆ ได้จริง ม่านแสงคุ้มกันก็ไม่มีความจำเป็นต้องดำรงอยู่ สิ่งมีชีวิตอาณาจักรเทียนหยวนทลายได้ง่ายดาย แล้วรุกรานเข้ามา

“ข้าใช้พู่กันวาดภาพ นำร่องพลังมหาศาลเข้ามาเพื่อสมานรอยร้าวได้ ปัญหาคือจะหาพลังมหาศาลเยี่ยงนี้จากที่ใด…”

ตาของเขาเป็นประกาย กลับสู่ที่แห่งนั้นอีกครั้ง ไปหาไป๋มู่

ไป๋มู่ยังมิได้ไปไหน กำลังรักษาอาการบาดเจ็บของตน

เดิมเขาถูกพลังพิศวงในเคียวสีดำรัดตัว ไม่อาจรีดเร้นพลังในกาย ทว่าหลังจากเคียวสีดำโดนเมิ่งจีทำลาย พลังพิศวงในตัวเขาก็มลายหายไปด้วย

เขาในตอนนี้ดีขึ้นกว่าเก่ามาก พลังปราณไม่อ่อนแรงอีกต่อไป ความสามารถระดับเขา ฟื้นตัวได้ไวยิ่ง

“สหายได้เรื่องบ้างหรือไม่”

ไป๋มู่ลืมตา รู้สึกถึงการมาของเมิ่งจีในทันที เขาหยุดบำเพ็ญ และเอ่ยถามเมิ่งจี

“ได้เรื่องแล้ว”

เมิ่งจีพยักหน้า “เพียงแต่มีปัญหานิดหน่อย”

“ปัญหาอันใด” ไป๋มู่ถาม

“หารอยร้าวพบแล้ว แต่การสมานรอยร้าวต้องใช้พลังมหาศาล ลำพังข้าคนเดียวไม่ไหว”

เมิ่งจีเอ่ย “สหายมีพลังแกร่งกล้าปานนี้ เกรงว่าภูมิหลังคงไม่ธรรมดากระมัง”

ตี้จวินตนหนึ่ง ย่อมมีภูมิหลังไม่ธรรมดา

บวกกับเมิ่งจีเชี่ยวชาญวิชาพยากรณ์ ลำพังจากโหงวเฮ้งก็พอมองอะไรต่ออะไรออกอยู่บ้าง ไป๋มู่มีกลิ่นอายของเจ้าขุนมูลนายในตัวอย่างล้นหลาม ย่อมต้องเป็นผู้กุมอำนาจใหญ่ในมือ

และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เขากลับมาหาไป๋มู่

“ข้าคือผู้นำตระกูลไป๋”

ไป๋มู่มิได้ปิดบัง บอกตัวตนของเขาออกไป

“ตระกูลไป๋ยอดนิกายหรือ” เมิ่งจีถาม

เขาเคยได้ยินว่ามียอดนิกายปรากฏในยุคนี้ หรือก็คือตระกูลไป๋

“อืม” ไป๋มู่พยักหน้า

อย่างที่คิด เขาคาดไว้ไม่ผิด ไป๋มู่มีฐานะไม่ธรรมดา เป็นถึงผู้นำตระกูลไป๋แห่งยอดนิกาย

เมิ่งจีกล่าว “เช่นนี้ง่ายขึ้นมาก คิดแล้วรากฐานของตระกูลไป๋คงหนาแน่นเหลือคณา ข้าอยากให้สหายนำของวิเศษออกมา ให้ข้าได้ยืมพลังเข้าไปสมานรอยร้าว”

“เรื่องนี้มิใช่ปัญหา เพียงแต่ตระกูลไป๋ในยามนี้มิสู้ในอดีต น่ากลัวว่าต่อให้ยกรากฐานออกมาทั้งหมดก็ยังไม่พอ!”

ไป๋มู่ถอนหายใจ สงครามใหญ่ในยุคโบราณผลาญกำลังของพวกเขาลงไปมาก รากฐานตระกูลไป๋ในตอนนี้มิได้เหลือล้นอย่างเก่า

“อย่างนี้เองหรือ…”

เมิ่งจีขมวดคิ้ว ลืมคิดเรื่องนี้ไป

สงครามใหญ่ในยุคโบราณส่งผลให้อารยธรรมฝึกตนทุกกองกำลังเสียหายอย่างหนัก ตระกูลไป๋เคยต่อสู้อยู่แนวหน้าสุด ย่อมเสียหายไม่น้อย

“ข้าพอติดต่อยอดนิกายอื่น และยอดเผ่าอื่นได้ หรืออาจติดต่อกองกำลังทั้งหมดในโลกนี้เพื่อสั่งสมพลัง เพียงแต่เกรงว่าก็ยังไม่พอ ทุกคนต่างไม่สู้อดีต ไม่แน่ว่าจะสำเร็จ”

ไป๋มู่กล่าว

เมิ่งจีรู้ว่าที่ไป๋มู่ว่ามาคือความจริง กองกำลังฝึกตนต่าง ๆ ในยุคนี้ล้วนมีรากฐานไม่เท่าเก่า

“ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ต้องลองดู สมานได้เท่าไรเท่านั้น อย่างไรก็พอประวิงเวลาได้บ้าง” เขาบอก

“เดี๋ยวก่อน!”

เวลานั้น ไป๋มู่ตาเป็นประกายขึ้นมา “ข้าพอรู้สึกกองกำลังบางแห่งที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามใหญ่ยุคโบราณ มิหนำซ้ำรากฐานของพวกเขายังหนาแน่นน่าทึ่งยิ่งกว่ายอดนิกาย ยอดเผ่าทั้งหมดด้วย”

“หืม?”

เมิ่งจีสนอกสนใจ

“พวกเขาไม่เคยได้รับผลกระทบ ไม่ถูกผลาญกำลังแม้แต่น้อย รากฐานทุกอย่างได้รับการสืบทอดต่อมาเป็นอย่างดี หากยืมของวิเศษจากพวกเขามาได้ คงช่วยสมานรอยร้าวได้!” ไป๋มู่กล่าว

“พวกเขาเป็นใคร”

เมิ่งจียิ่งสนใจเข้าไปใหญ่

“อาณาจักรนี้มีเก้าแดนต้องห้ามที่ดำรงอยู่มาอย่างจีรัง ข้าหมายถึงเก้าแดนต้องห้าม!” ไป๋มู่บอก